ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 218 เขาคือสามีของนายท่าน
บทที่ 218 เขาคือสามีของนายท่าน
ขณะที่ซูเซียงเสวี่ยกำลังบินขึ้นไปนั้น เฟิงเจียนเหยาก็เล่าเรื่องราวให้ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ รับทราบเกี่ยวกับองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในโลกอันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารฝูซาง
สถานที่แรกคือแผ่นดินใหญ่ ที่ซึ่งอสูรเผ่ามาร เผ่ามนุษย์ และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อาศัยอยู่ร่วมกัน… เผ่ามนุษย์นิยมอาศัยอยู่ภายในหมู่เกาะฝูซางทั้งสี่ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก
แต่ปัจจุบันมีมนุษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงตั้งถิ่นฐานอยู่ในหมู่เกาะฝูซาง และถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเชื่อถือนัก ทว่าตามคำกล่าวของเฟิงเจียนเหยา ในอาณาเขตหมู่เกาะทั้งสี่แล้ว กลับแบ่งออกยิบย่อยมากกว่าหกสิบรัฐโดยที่ขึ้นตรงกับรัฐใหญ่เช่นฝูซางเป็นหลัก
พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะเคารพในกฎหมายสูงสุดแห่งจักรวรรดิฝูซาง ทว่าความเป็นจริงแล้วการปกครองถูกแบ่งแยกและปกครองกันเอง ทำให้อำนาจศูนย์กลางในการควบคุมความสงบเรียบร้อยของรัฐใหญ่อ่อนแอลงทุกขณะ ฟังจากความหมายที่เฟิงเจียนเหยาต้องการสื่อ คือรัฐเหล่านี้ยังคงต่อสู้กันเอง
ไม่น่าแปลกใจที่สถานที่หลายแห่งบนหมู่เกาะฝูซางจะยังคงล้าหลังและน่าสังเวช
ลึกลงไปด้านใต้ของแผ่นดินใหญ่คือรัฐโบราณเรียกว่ารัฐหวงเฉวียน สถานที่ที่วิญญาณของผู้ตายจะไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่หลังความตาย ครั้งหนึ่งมันเคยถูกปกครองโดยเทพเจ้าอี้เสีย ทว่าตอนนี้ถูกราชาแห่งนรกปกครอง
ดูเหมือนว่าตำนานแห่งฝูซางจะไม่ได้อธิบายไว้ว่ารัฐหวงเฉวียนถูกก่อตั้งขึ้นได้อย่างไร แต่เฟิงเจียนเหยากล่าวว่า อาจารย์ของนางเพียงบอกเล่าให้ฟังว่ารัฐหวงเฉวียนถูกสร้างขึ้นโดยผู้มีอำนาจคนหนึ่งในสมัยโบราณ
ตามความเข้าใจของไป๋ชิวหราน ผู้ดำรงอยู่ที่ทรงพลังในสมัยโบราณที่ว่า และเป็นผู้เรียกขานสถานที่ดังกล่าวว่ารัฐหวงเฉวียน คงเป็นบรรดายมทูตที่อยู่ภายใต้การปกครองของเชวียหลิงอีกทีหนึ่ง…
เพราะเมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงที่ไม่แยแสของเฟิงเจียนเหยา จึงคาดเดาได้ว่าผู้ปกครองสถานที่แห่งนั้นคงไม่มีอำนาจมากนัก
นอกเหนือจากนั้นยังมีเกาเทียนหยวน ที่ที่พวกเขากำลังจะเดินทางไปถึงในการเดินทางครั้งนี้ ในตำนานฝูซางกล่าวว่ามันเคยเป็นที่พำนักของเหล่าทวยเทพ แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ปกครองสูงสุด และเหล่าเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ต่างอาศัยอยู่ในที่แห่งนั้น
อย่างไรก็ตาม เฟิงเจียนเหยาได้กับบอกไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ เพียงว่าในโลกใบนี้ไม่มีเทพเจ้าที่แท้จริง และเกาเทียนหยวนเป็นสถานที่พำนักของภูตที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ ภูตเหล่านี้มีการฝึกฝนเฉกเช่นผู้ฝึกตนทั่วไป ส่วนคนที่เป็นต้นตอสถาปนาความเชื่อเกี่ยวกับพวกเขาคือมหาวิหารฝูซาง
ซูเซียงเสวี่ยบินผ่านชั้นเหนือเมฆมาแล้ว ภายใต้การแนะนำของเฟิงเจียนเหยา นางได้บินผ่านเข้าไปสู่วงกลมแห่งมายาที่ไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นคนสร้างขึ้น กระทั่งมาถึงเกาเทียนหยวน
จากการแนะนำให้รับทราบเบื้องต้นของเฟิงเจียนเหยา เกาเทียนหยวนเป็นหมู่เกาะที่ลอยอยู่กลางชั้นบรรยากาศ อาคารบ้านเรือนที่ถูกสร้างขึ้นหลายแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะในแบบฉบับของฝูซาง สี่ฤดูกาลที่นี่เปรียบเสมือนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา เพราะมีดอกซากุระที่ดูแล้วคล้ายกับเกล็ดหิมะสีชมพูกำลังออกดอกเบ่งบานอยู่ทุกหนทุกแห่ง คล้ายกับดินแดนในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบสถานที่บนชั้นเหนือเมฆซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับรัฐใหญ่ พื้นที่แห่งนี้มีขนาดเล็กเกินไปอย่างแท้จริง
เมื่อร่างมังกรใหญ่โตของซูเซียงเสวี่ยโผล่พ้นออกมาจากกลุ่มเมฆ ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในเกาเทียนหยวนต่างตื่นตกใจจนสับสนอลหม่านไปพักหนึ่ง ด้วยความยาวตลอดลำตัวประมาณสามสิบจั้ง ทำให้สัตว์ร่างยักษ์ดังกล่าวคงเป็นสิ่งที่เกินจินตนาการสำหรับผู้อยู่อาศัยอยู่ในหมู่เกาะฝูซาง!
ดังนั้นทันทีที่ไป๋ชิวหรานกระโดดลงจากหลังมังกรลงมายังก้อนเมฆ พวกเขาเห็นว่ามี ‘ภูต’ จำนวนมากที่มีรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกัน บินกรูกันออกมาจากเกาะกลางท้องฟ้าแห่งนี้ทันที บางตนสวมเกราะพร้อมต่อสู้ บางตนถือกงล้อหน้าตาแปลกประหลาด หรือแบกวัตถุขนาดใหญ่อยู่บนหลัง
โชคดีที่เฟิงเจียนเหยาในฐานะบุคคลจากมหาวิหารฝูซาง ดูเหมือนจะมีฐานะสูงส่งสำหรับที่นี่พอสมควร พวกเขาจึงอาศัยอำนาจบารมีของนางในการเกลี้ยกล่อม ‘ภูต’ เหล่านี้ให้ล่าถอยไป
หลังจากที่เหล่าภูตที่เป็นเจ้าถิ่นยอมถอยจากไปแล้ว เฟิงเจียนเหยาได้พาไป๋ชิวหรานและบรรดาผู้ติดตามไปยังเกาะที่ลอยอยู่อย่างอิสระเหนือท้องฟ้าในตำแหน่งที่สูงขึ้นไป เกาะดังกล่าวมีสะพานไม้และใบพัดอากาศ แตกต่างจากหมู่เกาะอื่น ๆ เพราะไม่มีอาคารบ้านเรือนอื่นเลย
“นี่คือสถานที่สำหรับเปลี่ยนการสัญจร”
เฟิงเจียนเหยาอธิบาย
“ข้าได้ส่งสัญญาณไปยังโลกเบื้องบนแล้ว ในไม่ช้ายวดยานพิเศษคงลงมารับเราขึ้นไปยังมหาวิหารฝูซาง”
พวกเขารอคอยอยู่เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่ท้องฟ้าฝั่งทิศตะวันออกจะเปล่งแสงสีทองในทันใด!
ราวกับมีดวงอาทิตย์สีทองปรากฏลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า กลุ่มเมฆลอยตัวพลุ่งพล่านเช่นกัน จากนั้นเรือลำใหญ่ที่กางใบเรืออย่างเต็มพิกัดพลันแล่นผ่านกลุ่มเมฆออกมา และค่อย ๆ ขับเคลื่อนออกจากทะเลเมฆหมอกอย่างช้า ๆ
โซ่เหล็กหนาสองเส้นทอดยาวจากบริเวณด้านหน้าลำเรือ เชื่อมกับบางอย่างที่นำอยู่ด้านหน้า ท่ามกลางทะเลเมฆหมอก เต่าทมิฬที่มีขนาดลำตัวใหญ่โตเท่าภูเขากำลังคลานเคลื่อนออกมาจากกลุ่มเมฆ แล้วบังคับลากเรือให้เลี้ยวไปทางเกาะเบื้องล่าง
“ท่านตา ไม่พบเจอกันนานทีเดียว”
เฟิงเจียนเหยาโบกมือให้เจ้าเต่าลึกลับที่กำลังลากจูงยานพาหนะคล้ายลำเรือ ซึ่งสัตว์ยักษ์ตรงหน้าพยักหน้ารับช้า ๆ แทนการตอบโต้
ยวดยานพิเศษเคลื่อนมาจอดเทียบท่าได้สำเร็จแล้ว บันไดหนึ่งจึงวางพาดลงมาจากเรือลำใหญ่ มีสตรีรูปร่างสะสวยสง่างามผู้หนึ่งสวมชุดกระโปรงสีดำยืนอยู่ตรงนั้น
“ท่านยาย!”
ครั้นเห็นสตรีตรงหน้า เฟิงเจียนเหยาไม่รอชารีบกล่าวทักทายทันที
“ข้ารับคำสั่งมาจากนายหญิงว่าเจ้าพาแขกกลุ่มหนึ่งมาที่นี่”
สตรีผู้งดงามในชุดกระโปรงสีดำเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของเฟิงเจียนเหยาด้วยท่าทีที่เป็นมิตร จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น กระทั่งเห็นไป๋ชิวหรานยืนอยู่ด้านหน้า
นางตกตะลึงนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยมือจากเฟิงเจียนเหยาพร้อมเดินตรงเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้แววตาของอีกฝ่ายเกิดความสงสัยใคร่รู้ จากนั้น… ภายใต้แววตาฉงนสนเท่ห์ของเฟิงเจียนเหยา และบรรดาภูตแห่งฝูซางที่อยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกำลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในเกาเทียนหยวนจนไม่อาจละสายตา นางกลับเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิวหราน แล้วคุกเข่าลงอย่างช้า ๆ
“ข้าชื่อหลินรุ่ย”
สตรีชุดดำก้มศีรษะลงต่ำก่อนจะกล่าวต่อไป
“ขอคำนับนายท่าน”
“อะแฮ่ม…”
ซูเซียงเสวี่ยกระแอมไอทันที
“เจ้าคือ…”
ไป๋ชิวหรานมองดูสตรีในชุดดำผู้มีหน้าตาสะสวยอย่างพิจารณา รัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนางทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย ทว่าดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง
นอกจากนี้ กลิ่นเฉพาะตัวบนร่างกายของอีกฝ่าย ยังผสมปนเปกับกลิ่นคาวระคนหอมหวานพิลึกบางอย่าง ไป๋ชิวหรานสูดหายใจเข้าเพียงสองสามครั้ง ทันใดนั้นกลับรู้สึกคันเล็กน้อยภายในโพรงจมูก
เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปยังสตรีตรงหน้าพร้อมกล่าวออก
“เจ้าคืออสรพิษที่เคยอยู่บนไหล่ของหลานเอ๋อร์ใช่หรือไม่?”
“เป็นข้าเองเจ้าค่ะ”
หลินรุ่ยยังคงคุกเข่าอยู่เช่นนั้น พร้อมกล่าวต่อไป
“พิษที่นายท่านผสมลงไปในต้นมธุรสเมื่อครานั้น เกิดจากพิษของข้าเองเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“เจ้ารีบลุกขึ้นก่อนเถิด”
หลินรุ่ยรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนจากพื้น ขณะนั้นเฟิงเจียนเหยาที่ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าเริ่มแสดงปฏิกิริยาตอบสนองเช่นกัน นางรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วถามไถ่
“ท่านยาย คนผู้นี้เป็นใครกันเจ้าคะ?”
“เขาคือสามีของนายหญิง”
หลินรุ่ยตอบกลับ
“หมายความว่า…”
เฟิงเจียนเหยายิ่งประหลาดใจถึงขั้นกล่าวคำใดไม่ออก
“ใช่แล้ว”
หลินรุ่ยกล่าวต่อไป
“หมายความว่า เขามีสถานะเป็นนายท่านแห่งมหาวิหารฝูซาง”
ขณะเดียวกันนั้น ซูเซียงเสวี่ยรีบสาวเท้าเดินเขาไปหาไป๋ชิวหราน แล้วเอ่ยถามเขาว่า
“ชิวหราน แม่นางผู้นี้คือ…”
“นางเคยเป็นสัตว์เลี้ยงข้างกายของหลานเอ๋อร์”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองไปยังหลินรุ่ย
“เวลานี้คล้ายว่านางจะฝึกฝนจนสามารถหลอมสร้างร่างกายของตนขึ้นได้แล้ว”
ซูเซียงเสวี่ยมองไปที่หลินรุ่ยด้วยไม่สามารถมองทะลุถึงความแข็งแกร่งของนางได้ ภายในใจพลันรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
ในเมื่อนางมองไม่เห็นแม้แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้ที่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยง นั่นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงความแข็งแกร่งของผู้ที่เป็นนายของอีกฝ่าย
“พวกนางเป็นคู่ชีวิตของนายท่านในยุคสมัยนี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
หลินรุ่ยเดินตรงเข้ามาใกล้ พลางเหลือบมองไปที่ซูเซียงเสวี่ยและถังรั่วเวยพร้อมเอ่ยถาม
“แม่นางผู้นี้เป็นศิษย์สายตรงของข้า ส่วนแม่นางผู้นั้นคือสหายของศิษย์ข้า”
ไป๋ชิวหรานแนะนำพวกนางทั้งสองอีกครั้ง เพิกเฉยต่อแววตาไร้ความสบอารมณ์ของหลีจิ่นเหยาเช่นเคย จากนั้นจึงเหลือบมองไปทางซูเซียงเสวี่ย
“เช่นนั้นคงมีแม่นางผู้นี้เพียงคนเดียว บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลินรุ่ยโค้งคำนับหญิงสาวทั้งสาม ก่อนจะกล่าวต่อไป
“เช่นนั้นเชิญพวกท่านขึ้นเรือกันก่อนดีกว่า อย่าให้นายหญิงเสียเวลารอนานเลย”