ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 222 วิญญาณ
บทที่ 222 วิญญาณ
บนหมู่เกาะฝูซางนอกเมืองท่า เป็นที่รู้จักกันในนามรัฐผิงอัน สองหนุ่มสาวเดินไปตามถนนอย่างช้า ๆ
ชายผู้นั้นมีเรือนผมสีขาว ร่างกายสูงโปร่งท่าทางผึ่งผาย ใบหน้าหล่อเหลา กำลังถือร่มให้หญิงสาวด้านข้าง ขณะหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่มนั้นดูมีรูปร่างอ่อนกว่าวัย เอวบางร่างน้อย ทว่ามีภาวะทางอารมณ์เป็นผู้ใหญ่
ทั้งคู่สวมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บตามแบบฉบับท้องถิ่นของฝูซาง โดยชุดหนึ่งเป็นสีดำและอีกชุดหนึ่งเป็นสีขาว ทั้งสองเดินเล่นไปตามถนนที่มุ่งสู่เมืองหลวง
ฤดูกาลนี้เมื่อดอกอิงฮวาบานเต็มที่ สองข้างทางของถนนที่มุ่งสู่เมืองหลวงจึงเต็มไปด้วยดอกอิงฮวาที่บรรดาเจ้าหน้าที่ดูแลแคว้นบรรจงปลูกอย่างพิถีพิถัน ผลิบานไปทั่วทั้งภูเขาและทุ่งนา มองไกล ๆ คล้ายเป็นทะเลสีชมพู
บางครั้งสามารถมองเห็นเป็นระยะว่ามีบรรดาครอบครัวพร้อมด้วยลูกหลานพากันออกมาเดินเล่นร่วมกันในเมือง ในขณะที่ทั้งสี่หมู่เกาะของฝูซางเต็มไปด้วยสงครามที่มีการรบราฆ่าฟันและนองเลือด ทว่าภายในเมืองหลวงยังคงสงบ ผู้คนพากันร้องเล่นเต้นรำ
“นี่คือหัวเมืองของฝูซาง นครหลวง”
ขณะเดินอยู่บนถนน เจียงหลานแนะนำไป๋ชิวหรานด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เป็นผลมาจากเกาเทียนหยวน แม้ว่าภาพรวมจะเกิดการต่อสู้อย่างไม่รู้จบ ถึงกระนั้นก็ยังคงเคารพและเห็นแก่จักรพรรดิแห่งนครหลวง ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบจนเดือดร้อนจากปัญหาสงครามมากนัก หลังจากที่สามารถตัดสินผู้ชนะได้เป็นการชั่วคราวแล้ว พวกเขาจะยกทัพมาที่นครหลวงตามกฎ ‘ซ่างลั่ว’ ที่มีมาแต่นาน”
หลังจากหยุดไปชั่วคราว นางกล่าวเสริมขึ้น
“แต่ข้าได้ยินมาจากเหยาเอ๋อร์ว่าเกิดการสู้รบกันขึ้นที่นี่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา บรรดาขุนนางมากอิทธิพลจำนวนมากได้นำกองกำลังมาที่นี่ ก่อนจะทำสงครามอย่างยืดเยื้อในเมืองหลวงติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้เมืองนี้เต็มไปด้วยความโกลาหล”
“หากไม่บอกกล่าวก็คงไม่รู้ว่าเคยมีความขัดแย้งทางการทหารเกิดขึ้นที่นี่”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองแสงสว่างจากช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ส่องกระทบลงบนใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยเหล่านั้น
“พวกเขาเหล่านี้ล้วนมาจากตระกูลร่ำรวยภายในนครหลวง”
เจียงหลานเหลือบมองตามเช่นกันแล้วอธิบายต่อไป
“ยุคสมัยนี้ มนุษย์ธรรมดาสามัญล้วนใช้ชีวิตกันอย่างลำบากยากเข็ญ มีเกษตรกรจำนวนมากที่อาศัยอยู่ใกล้นครหลวงที่ไม่มีอาหารการกินอย่างเพียงพอ”
“ในบางครั้ง ข้านึกตำหนิความสามารถของเผ่ามนุษย์เช่นเราที่นิยมความฟุ่มเฟือยและสร้างแต่ตัณหา”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“เจ้าต้องการปฏิวัติแนวคิดนั้นงั้นรึ?”
เจียงหลานเงยหน้ามองเขาพร้อมเอ่ยถาม
“ปฏิวัติ? นั่นเกินความสามารถของข้าไปเสียแล้ว”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“พวกขุนนางทั้งหลายมีทั้งอำนาจและทหารที่พร้อมจะทำงานภายใต้บังคับบัญชาไม่ใช่หรือ? เรื่องดังกล่าวควรจัดการดูแลโดยผู้ชนะจึงจะเหมาะสม”
ย้อนกลับไปในยุคสมัยอดีต เผ่าเทพกดขี่เผ่ามนุษย์ จากนั้นเผ่ามนุษย์ก็ถูกรุกรานโดยเผ่าพันธุ์อื่น ทว่าตอนนี้กลับเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามนุษย์ด้วยกันเอง ส่วนไป๋ชิวหรานก็ไม่มีหน้าที่ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
พลังของผู้ฝึกตนเปรียบเสมือนเทพเจ้าสำหรับมนุษย์ปุถุชน ต่อหน้าพวกเขาไม่ว่ากองทัพจะยิ่งใหญ่เรืองอำนาจถึงเพียงใดก็ไม่มีความแตกต่าง ด้วยวิธีนี้จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ฝึกตนต้องทำความดีไม่ประพฤติความชั่ว เพราะหากเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดายังมีผู้มีอำนาจเหนือกว่าปราบปรามได้ กลับกันหากเป็นผู้ฝึกตนที่กระทำความชั่วเสียเอง อาจไม่มีใครสามารถหยุดยั้ง
ดังนั้นภายในเขตเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน พันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมจึงพยายามอย่างดีที่สุดเสมอมา เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ปุถุชน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ภายใต้อิทธิพลของพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารเองก็มีแนวโน้มว่าจะยึดหลักนี้เช่นเดียวกัน
สำหรับแคว้นหนึ่งในโลก วัฏจักรเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างหนึ่ง เมื่อชนชั้นสูงสุดของรัฐเริ่มเสื่อมเสถียรภาพ เมื่อนั้นก็ถึงเวลาที่ชนชั้นล่างจะลุกฮือขึ้นโค่นชนชั้นสูงสุดให้ล้มลง ถึงแม้จะตกสู่วัฏจักรที่วนเวียนต่อไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงก็ตาม สถานการณ์โดยรวมยังนับว่ามีความพัฒนาและไม่ล้าหลัง
สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวไป๋ชิวหรานเอง เขาไม่มีความคิดอยากจะปกครองรัฐในฐานะจักรพรรดิแต่อย่างใด ฉะนั้นควรให้พวกเขานำพาการปกครองของตนก้าวหน้าต่อไปเท่านั้น เป็นการดีที่สุดที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด ๆ หรือแทรกแซงในส่วนของเหตุและผลที่ควรจะเป็น
“ข้าเข้าใจ”
เจียงหลานพยักหน้าพร้อมจับมือเขาไว้
“เพราะอย่างนี้ข้าจึงใคร่ให้ผู้อาวุโสไป๋พาไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น เวลาล่วงเลยผ่านมาหลายแสนปีมาแล้ว แม้ว่าจะส่งลูกศิษย์ให้ลงไปฝึกยังประสบการณ์ยังดินแดนเบื้องล่าง ทว่าข้าไม่เคยสัมผัสด้วยตนเองเลยสักครั้ง”
“ย่อมได้”
ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกล่าวว่า
“ไปกันเถิด”
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เจียงหลานได้ร่ายเวทคาถาสำหรับตัวนางและเขา เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในวิถีแห่งการฝึกตนเท่านั้นที่สามารถสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของทั้งสอง
ทั้งสองจับมือกัน พลางถือร่มเดินเข้าไปสู่นครหลวงแห่งฝูซาง และเริ่มเที่ยวเล่นเพื่อสังเกตการณ์
สถานที่แห่งนี้แตกต่างจากสถานที่ที่อยู่ในภาวะสงครามแห่งอื่น เนื่องจากกฎ ‘ซ่างลั่ว’ ของฝูซางที่ยังคงมีผลบังคับใช้อย่างเคร่งครัด บ้านเรือนที่สร้างอยู่ริมถนนจึงสะอาดเรียบร้อย แม้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในจะไม่ถึงขั้นมีฐานะร่ำรวย ทว่าไม่ถึงขั้นอดอยากปากแห้ง
อาจเป็นเพราะผู้ที่มีฐานะยากจนและมีอาหารการกินไม่พอยาไส้ ไม่ควรอาศัยอยู่ในนครหลวงแห่งนี้
ทว่าความสงบเงียบเช่นนี้กลับกลายเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ทันทีที่เลี้ยวไปยังหัวมุมถนน ไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานเห็นคนบางกลุ่มล้อมรอบอยู่ตรงทางเข้าจวนแห่งหนึ่ง ทั้งสองเดินผ่านไปสังเกตการณ์ด้วยความสงสัย พบว่าประตูจวนนั้นว่างเปล่า มีเสื่อฟางแถวหนึ่งปูเรียงรายอยู่บนพื้น ผู้คนที่นอนอยู่บนนั้นล้วนเสียชีวิตแล้ว มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก!
ผู้คนหลายสิบที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ สวมชุดล่าสัตว์สีขาว กำลังตรวจสอบศพที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น และยังมีทหารหลายนายที่แขวนกระบี่ไว้กับเข็มขัด ยืนป้องกันอยู่รอบบริเวณจวนเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาใกล้
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวว่า
“มีกลิ่นอายร้ายกาจแผ่ออกมาจากศพของผู้ตายเหล่านี้”
“ไม่เป็นเพียงกลิ่นอายร้ายกาจเท่านั้น”
จื้อเซียนที่ถูกแขวนอยู่ตรงบั้นเอวของเขาที่แสร้งทำเป็นตายมานาน จู่ ๆ กลับโพล่งขึ้น
“มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นปราณวิญญาณ”
“ปราณวิญญาณงั้นรึ?”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“เป็นความสามารถพิเศษของอสูรในโลกนี้หรือไม่?”
“คงไม่ เพราะในฝูซาง หากบรรดาอสูรกระทำสิ่งชั่วร้าย สิ่งที่หลงเหลือไว้เป็นร่องรอยก็ควรเป็นกลิ่นอายของอสูร”
เจียงหลานตอบกลับ
“แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้คือปราณวิญญาณ หมายความว่าสิ่งที่คร่าชีวิตคนเหล่านี้อาจไม่ใช่อสูร แต่เป็นวิญญาณ”
“น่าแปลก เหตุใดวิญญาณถึง…”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกประหลาดใจ
ในฐานะที่เขาเป็นผู้สร้างยมโลกขึ้น และหลังจากต่อสู้ยื้อชีวิตกับเชวียหลิงมาเป็นเวลาเกือบสองพันปี ไป๋ชิวหรานตระหนักดีว่าภายในโลกนี้ ประโยคที่ว่ามนุษย์และวิญญาณมีเส้นทางชีวิตแตกต่างกันไม่ใช่วลีที่เป็นเพียงคำชวนเชื่อ
งานของยมทูตไม่ใช่เพียงจับกุมวิญญาณของคนตายแล้วนำพวกเขาไปยังยมโลก เพื่อตัดสินพิจารณาความดีความชั่วและส่งให้ไปเกิดใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องแบกรับความรับผิดชอบในการควบคุมการกระทำของวิญญาณอีกด้วย
ก่อนตาย บางคนอาจได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจอย่างแสนสาหัสหรือเสียชีวิตด้วยความคั่งแค้น พวกเขาจึงกลายเป็นวิญญาณที่มีสภาพไม่ต่างไปจากสัตว์อสูรในโลกนี้ พวกเขามักตามไปแก้แค้นผู้ที่ฆ่าตนเองให้ตายอย่างบ้าคลั่ง ถึงกระนั้นพฤติกรรมเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยมโลกอนุญาต
เพราะวิญญาณเหล่านี้ หลังจากฆ่าศัตรูทิ้งสำเร็จแล้วจะกลืนกินดวงวิญญาณของอีกฝ่ายเพื่อเติบโต ยิ่งไปกว่านั้น กฎแห่งยมโลกไม่ได้ถูกกำหนดไว้เพียงผิวเผิน ชีวิตหลังความตายวิญญาณจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามที่ยังมีชีวิตได้ เพราะบาปของคนเป็นจะถูกตัดสินโดยกฎแห่งกรรมและจะพิพากษาหลังความตาย นี่ไม่ใช่เพียงกฎเหล็กของยมโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสมดุลของสวรรค์และโลกอีกด้วย
ดังนั้น หลังจากที่คนคนหนึ่งกลายเป็นวิญญาณ ตามหลักแล้วยมทูตมักจะออกไปจับกุมวิญญาณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
ผู้รับผิดชอบจัดการยมโลกในปัจจุบันคือเชวียหลิง ทว่าไป๋ชิวหรานรู้จักอุปนิสัยของชายผู้นี้เป็นอย่างดี ระดับความรับผิดชอบในการทำงานของเขาอาจกล่าวได้ว่าเข้มงวดผิดปกติ น้อยครั้งที่ปลาหนึ่งหรือสองตัวอาจลื่นไถลหลุดออกไปจากตาข่าย ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ที่วิญญาณฆ่ามนุษย์ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กกลางนครหลวง… จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด!
“อาจเป็นเพราะข้าเคยจับตัวเขาขังไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานพึมพำอย่างไม่แน่ใจนัก
ขณะนั้นเอง ผู้ที่คอยตรวจสอบสถานการณ์ในที่เกิดเหตุก็ดูเหมือนจะทำงานเสร็จแล้ว พวกเขาห่อศพด้วยเสื่อฟาง อุ้มขึ้นรถม้าแล้วเตรียมออกไปจากที่แห่งนั้นพร้อมด้วยบรรดาทหาร ก่อนจากไปมีสองคนที่หันศีรษะกลับมา คล้ายจะเหลือบมองไปยังทิศทางที่ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานยืนอยู่
“คนเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกกระบวนหยินและหยาง”
เจียงหลานกล่าว
“พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนของรัฐแห่งนี้ ไม่สนใจเรื่องการเมืองการปกครอง แบกรับความรับผิดชอบในการกำจัดภัยพิบัติที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ทั้งหมดภายในรัฐ”
“ขั้นการฝึกตนของพวกเขา… เหตุใดถึงไม่สูงไปกว่าข้า?
ไป๋ชิวหรานตั้งคำถาม
“ไม่มีผู้ใดที่บรรลุสูงกว่าขั้นกลั่นลมปราณเลยหรือ?”
“ผู้คนเหล่านั้นเคยอาศัยอยู่ในเกาเทียนหยวน ได้รับวิธีการฝึกตนมาจากเทพเจ้าที่เรียกขานว่าภูตในปัจจุบัน”
เจียงหลานอธิบาย
“ไม่มีทางสูงไปกว่านี้ เพราะจำนวนคนที่อาศัยอยู่ในฝูซางมีอยู่เพียงน้อยนิด”
หลังจากที่เจียงหลานกล่าวเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง เดิมทีคิดว่าไป๋ลี่ไม่ใส่ใจดูแลเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะนี้ แต่หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีแล้ว ฝูซางมีมนุษย์อยู่น้อยเกินไปจริง ๆ
พื้นที่รวมกันของเกาะใหญ่ทั้งสี่นี้ รวมแล้วเป็นพื้นที่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเสียอีก ไม่ต้องกล่าวถึงจำนวนประชากรบนเกาะที่น่าสมเพชยิ่งกว่า
เหตุผลหลักที่ทำให้เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินสามารถสร้างโลกแห่งการฝึกตนขึ้นอย่างเป็นระบบได้ อาจขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม รวมถึงพื้นที่สำหรับเพาะปลูกที่เพียงพอ แม้แต่ราชวงศ์เซียนยังต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นการพัฒนาวิถีการฝึกตนจึงไม่เคยเป็นเรื่องง่าย
“ตอนนี้เราจะไปไหนกันต่อดี?”
เจียงหลานจับมือไป๋ชิวหรานแล้วถามไถ่
“เจ้าต้องการสืบสวนเรื่องนี้ให้แน่ชัดหรือไม่?”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงตอบกลับไป
หากเรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นจากผลพวงของการที่ไป๋ชิวหรานกักขังเชวียหลิงไว้ชั่วคราวจริง เช่นนั้นเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบในการกระทำของตน