ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 223 เจียงหลานผู้กลัวผี
บทที่ 223 เจียงหลานผู้กลัวผี
ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่พูด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานจึงตัดสินใจสืบหาข้อมูลด้วยตนเอง
หลังจากถามไถ่ไปตามละแวกใกล้เคียง ทั้งสองจึงรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ปรากฏว่าหลังจากความโกลาหลที่เกิดขึ้นเพราะสงครามเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่านครหลวงคล้ายจะฟื้นคืนความสงบสุขกลับมาได้แล้ว ทว่าสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘การก่อกบฏ’ กลับเริ่มปะทุขึ้นบ่อยครั้งในดินแดนนี้กินระยะทางกว่าหนึ่งพันลี้รอบนครหลวง
กล่าวโดยสรุปคือชาวนาต่างรวมตัวกันจากหลายหมู่บ้าน เพื่อต่อสู้กับระบอบการปกครองในปัจจุบันโดยการก่อจลาจลพร้อมอาวุธครบมือ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการขอลดภาษีหรือภาระจำยอมลง
ส่วนเจ้าของจวนหลังนี้เป็นถึงเสนาธิการทหารแห่งนครหลวง เขายกทัพไปปราบปรามกบฏชาวนาที่ก่อจลาจลขึ้นใกล้กับนครหลวงหลายต่อหลายครั้ง
เมื่อสามวันก่อน กบฏชาวนาก่อเหตุอีกครั้งในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับนครหลวง เสนาธิการทหารได้รับคำสั่งให้พาคนไปปราบปราม แต่ทันทีที่กลับมาหลังเสร็จสิ้นภารกิจ ผู้คนกลับพบว่าครอบครัวของเขาที่อาศัยอยู่ในจวนหลังนี้ ไม่ว่าคนชราหรือคนหนุ่มสาวล้วนเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน!
บางคนกล่าวว่าเป็นเพราะเสนาธิการทหารว่างเว้นจากการกระทำความดี ที่นำไปสู่การสาปแช่งของเหล่าทวยเทพ แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานและเจียงหลานไม่เชื่อถือคำกล่าวอ้างเหล่านี้อย่างแน่นอน
พวกเขาถามถึงทิศที่ตั้งของหมู่บ้านจากคนเหล่านี้ ก่อนจะเดินทางตรงไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น
ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานเดินทางไปถึงที่นั่นอย่างรวดเร็วพอสมควร แม้ว่าเจียงหลานไม่เห็นด้วยกับการที่ไป๋ชิวหรานจะใช้กระบี่บินในการสัญจร ถึงกระนั้นทั้งสองยังเดินทางด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าคนทั่วไปเพียงอาศัยการเดินเท้าเท่านั้น
ทั้งสองต่างเชี่ยวชาญด้านการเหาะเหินเดินอากาศ ทุกย่างก้าวที่คล้ายว่าเดินหน้าไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่กินระยะทางหลายสิบจั้งในคราวเดียว
หมู่บ้านดังกล่าวอยู่ไม่ห่างไปจากนครหลวงมากนัก ห่างออกไปราว ๆ สองร้อยลี้ ไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานที่เดินทางออกจากเมืองหลวงในช่วงบ่ายมาถึงสถานที่ดังกล่าวเมื่อใกล้ค่ำ พวกเขาจึงเห็นหมู่บ้านขนาดเล็กตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา คล้ายหมู่บ้านบนภูเขาสูง
หลังจากมาถึงที่แห่งนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นทุนเดิมหรือไม่ ทว่าบรรยากาศกลับอึมครึมลงเป็นอย่างยิ่ง ปราณวิญญาณที่แผ่กลิ่นอายอยู่รอบหมู่บ้านค่อนข้างรุนแรงเช่นกัน ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่น
ที่แปลกประหลาดที่สุด คือเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น กลับไม่มีควันจากการก่อกองไฟลอยขึ้นมาจากหมู่บ้าน ราวกับว่าทั่วทั้งหมู่บ้านไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย
“บนพื้นมีรอยเท้า”
เจียงหลานกล่าวเบา ๆ ก่อนจะร่ายเวทคาถาที่ไป๋ชิวหรานเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน นางโบกมือครั้งหนึ่งเพื่อปลดปล่อยลำแสงสีฟ้าคราม จากนั้นควบคุมให้ลำแสงเหล่านี้รวมตัวกันบนพื้น ครอบคลุมโครงร่างของรอยเท้าของบางสิ่งบนพื้นดิน ทำให้รอยเท้าเปล่งประกายจนเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หลังจากทำเช่นนี้ เจียงหลานเผยรอยยิ้มเมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของไป๋ชิวหราน
“นี่เป็นเพียงเคล็ดลับเล็กน้อยที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเอง เพื่อใช้ในการตามหาบรรดาศิษย์ที่ซุกซนเหล่านั้นน่ะ”
“เป็นความคิดที่ดีมาก”
ชายหนุ่มยกย่องความสามารถของนาง จากนั้นมองดูรอยเท้าบนพื้นดินอีกครั้ง
“นี่ควรจะเป็นรอยเท้าของเสนาธิการทหารและกองทัพทหารที่เขาพามาโจมตีชาวบ้านในท้องที่แห่งนี้… เหตุใดถึงมีจำนวนน้อยเช่นนี้เล่า? จากการคาดเดาแล้วคงมีเพียงสิบถึงยี่สิบคนเท่านั้น?”
“ดูจากรอยเท้าเหล่านี้แล้ว พวกเขาน่าจะเป็นทหารของนครหลวงไม่ผิดแน่ แม้ว่าเกราะจะไม่ใช่โลหะชั้นดีนัก แต่อย่างน้อยอาวุธธรรมดา ๆ คงจะดีกว่าชาวบ้านที่ต่อสู้โดยใช้เครื่องมือทำการเกษตร”
เจียงหลานตรวจสอบพื้นดิน ก่อนจะกล่าวต่อไป
“อีกทั้งจำนวนคนในหมู่บ้านก็ไม่ควรจะมากจนถึงขั้นแห่แหนกันมาทั้งหมู่บ้าน ควรเป็นชาวบ้านเพียงบางส่วนเท่านั้น”
“แต่ดูแล้วเหมือนไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้านเลย”
ไป๋ชิวหรานจับมือเจียงหลานไว้
“เอาล่ะ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
“อืม”
ทั้งสองตรงเข้าไปในหมู่บ้าน หมู่บ้านแห่งนี้ดูดีกว่าหมู่บ้านที่ถูกพวกอสูรเข้ายึดครองที่ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ พบเข้าเมื่อมาถึงฝูซางเป็นครั้งแรก ถึงกระนั้นยังมีข้อจำกัดเช่นกัน บ้านเรือนทั้งหลายเต็มไปด้วยกระท่อมทรงเตี้ย มีเพียงเรือนหลังยาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ที่อาจเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านมักมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยเรื่องต่าง ๆ
ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัด รอยเท้าของเสนาธิการทหารและเหล่าทหารค่อยเลือนหายไปเช่นกันเมื่อพวกเขามาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นชาวนาที่อาศัยอยู่ที่นี่ หรือแม้แต่ทหารที่ยกทัพมาปราบปราม ล้วนหายไปทั้งหมด!
“เคล็ดลับทั่วไปของพวกวิญญาณ”
ไป๋ชิวหรานออกความคิดเห็น
หลังจากคอยรับมือกับเชวียหลิงมาหลายปี เขาย่อมคุ้นเคยกับพฤติกรรมของพวกวิญญาณเป็นอย่างดี วิญญาณเหล่านี้ไม่นิยมโจมตีมนุษย์เป็นเส้นตรงเช่นเดียวกับสัตว์อสูร หรือแม้แต่จิตวิญญาณและกระบวนการคิดยังแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป
นั่นเป็นเพราะพวกเขาคือดวงวิญญาณที่ถือกำเนิดหลังจากการตายโดยสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต เป็นร่างวิญญาณที่เกิดมาพร้อมความสามารถในการสร้างภาพลวงตา มักใช้ภาพลวงตาเพื่อชักนำและข่มขู่มนุษย์ ค่อย ๆ ทำลายการป้องกันทางจิตใจของอีกฝ่าย แล้วปล่อยให้หวาดกลัวจนนำไปสู่ความตาย…
แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงวิญญาณที่มีความสามารถในการดูดกลืนวิญญาณของสิ่งมีชีวิตโดยตรง แต่วิญญาณอีกส่วนหนึ่งที่มีความสามารถดังกล่าว มักจะเลือกใช้การสร้างภาพลวงตาหลอกลวงผู้อื่น ที่ดูเหมือนจะเป็นสัญชาตญาณของพวกเขาไปแล้ว
อย่าคิดว่าด้วยรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามของเชวียหลิงที่ถือโซ่วิญญาณเส้นหนาอยู่ในมือตลอดเวลา เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับไป๋ชิวหราน เขายังคงใช้ภาพหลอนเพื่อต่อสู้กับไป๋ชิวหรานประกอบกับความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขา
ดูเหมือนว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะกลายเป็น ‘พื้นที่ล่า’ สำหรับวิญญาณไปเสียแล้ว
ไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานเดินเข้าไปในหมู่บ้านโดยยังจับมือกันไว้แน่น สายลมหวีดหวิวเริ่มพัดผ่านบนพื้นดินราบเรียบ กระแสลมดังกล่าวไม่แรงนัก แต่ยังให้ความรู้สึกหนาวเหน็บชวนขนลุก
ตุบ!
ทันใดนั้นเสียงอู้อี้พลันดังขึ้นจากด้านข้าง ตามด้วยเสียงก๊อกแก๊กในความมืด บางสิ่งที่มีขนาดใกล้เคียงกับศีรษะมนุษย์กลิ้งออกมาจากเงามืด ทว่ามันเป็นเพียงหม้อดินเผาเท่านั้น
ทั้งสองเดินหน้าต่อไปอีกสองก้าว หน้าต่างบนกระท่อมที่อยู่อีกด้านหนึ่งถูกเปิดออกจนเกิดเสี่ยงดังเอี๊ยด เมื่อไป๋ชิวหรานและเจียงหลานเงยหน้ามองตามเสียง พวกเขาพบว่ามีเงาสีขาวแวบผ่านหน้าต่างบานนั้นไป
“…”
เจียงหลานโน้มตัวเข้าไปใกล้ไป๋ชิวหรานมากขึ้นอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหยุดเดินชั่วคราวแล้วเอ่ยถามเบา ๆ
“ชิวหราน เจ้าสามารถใช้สัมผัสเทวะเพื่อตรวจสอบว่าวิญญาณเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ที่ใดได้หรือไม่?”
ท่าทางของนางดูหวาดกลัวเล็กน้อย
ปฏิกิริยาของเจียงหลานทำให้ไป๋ชิวหรานนึกขบขันเล็กน้อย แม้ว่านางจะกลายเป็นเซียนจากยุคโบราณที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่ายุคสมัยอดีตเป็นอย่างยิ่ง ทว่ายังคงหวาดกลัวสิ่งเหล่านี้ที่ความจริงไม่อาจสู้นางได้ด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะในยุคเผ่าเทพยังไม่มีการก่อตั้งยมโลกขึ้น บนโลกจึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ
ขณะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายหนุ่มจึงตอบคำถามของอีกฝ่าย
“ข้าพยายามตรวจสอบครั้งหนึ่งก่อนที่จะเข้ามาในหมู่บ้าน ทว่ากลับไม่เกิดผล วิญญาณเหล่านี้เป็นวิญญาณที่มีความคับข้องใจก่อนตาย ส่งผลให้กลายเป็นร่างวิญญาณชนิดหนึ่ง ซึ่งมักจะซ่อนตัวอยู่ในที่ที่แม้แต่เรายังไม่อาจซ่อนตัวได้ พวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาจึงยิ่งเสาะหายากเข้าไปใหญ่ ซ้ำยังสามารถซ่อนอยู่ในความฝัน หรือความคิด แม้แต่จื้อเซียนเองก็ไม่อาจมองเห็นร่างวิญญาณเหล่านั้น แต่ไม่เป็นไร โชคดีที่ข้าพอมีประสบการณ์”
ไป๋ชิวหรานเพิกเฉยต่อปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเหนือธรรมชาติที่วิญญาณรอบกายจงใจสร้างขึ้น เขายังจับมือเจียงหลานไว้แน่น ก่อนจะเดินตรงไปยังเรือนหลังยาวที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน
ทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้าไปในเรือนด้วยเท้าข้างหนึ่ง ขณะนั้นลมกระโชกแรงพลันพัดผ่านเท้าอีกข้างของพวกเขา กระทั่งประตูกระแทกปิดลง!
ทันใดนั้นเรือนหลังยาวตกอยู่ในความมืดมิด ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่ามือของเจียงหลานกระชับจิกมือเขาแรงยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันน้ำเสียงของนางที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเป็นระยะยังสั่นเล็กน้อย
“ชิวหราน เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ขั้นตอนต่อไป คงต้องตกปลา…”
ยังไม่ทันที่ไป๋ชิวหรานจะกล่าวจบ เศษซากต่าง ๆ ภายในเรือนหลังยาวทั้งหมดพลันพุ่งออกออกมาจากความว่างเปล่า ร่วงตกไปที่พื้นเรือนเสียงดัง
“อ๊ะ!”
เจียงหลานเปล่งเสียงอุทานออกมา จากนั้นเผลอเบียดร่างกายไปแนบชิดพร้อมโผเข้ากอดแขนของไป๋ชิวหรานไว้แน่น
กึก กึก กึก…
ทันใดนั้น เสียงราวกับของเหลวเปียกหนึบพลันดังขึ้นจากพื้นเรือน ราวกับว่าเท้าเปล่าของใครบางคนถูกย้อมไปด้วยของเหลวแล้วย่ำเหยียบลงบนเสื่อน้ำมัน ทั้งสองมองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นเกิดขึ้น พบว่าวิญญาณพวกเขาปรากฏตัวขึ้นแล้วจากความว่างเปล่า อีกทั้งบนพื้นดินเต็มไปด้วยรอยเท้าเปรอะเปื้อนเลือด
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นพายุฝนฟ้าคะนองกลับส่งเสียงดังขึ้นจากนอกเรือน ทันทีที่แสงจากฟ้าแลบส่องผ่านเข้ามาภายในเรือนหลังยาว ทั้งสองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกระโปรงโชกเลือด ผมยาวสีดำปิดบังใบหน้า ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของเรือนหลังยาว
ร่างกายของเจียงหลานสั่นเทายิ่งกว่าเก่า ขณะนั้นเองสายลมแห่งปราณวิญญาณอันแรงกล้าก็กระทบเข้ากับแก้มของทั้งสอง เจียงหลานรู้สึกว่ามีบุคคลที่สามกำลังยืนอยู่ข้างหลัง และกำลังสาวดึงเส้นผมยาวสลวยของนาง!
เจียงหลานตื่นตระหนกยิ่งจนไม่อาจระงับไว้ได้อีกต่อไป นางกรีดร้องลั่นก่อนจะฟาดหลังมือตบไปด้านหลัง…