ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 224 ข้าไม่สอน
บทที่ 224 ข้าไม่สอน
ไม่ว่ารากฐานการฝึกฝนจะสูงส่งเพียงใด แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวพลันเกิดขึ้นตรงหน้า หากไม่ได้รับการฝึกเป็นพิเศษ เกรงว่าเป็นใครก็คงหวาดกลัว นี่คือการตอบสนองตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต
เจียงหลานไม่เคยประสบกับการฝึกพิเศษในพื้นที่นี้มาก่อน ดังนั้นนางย่อมหวาดกลัว
ปัญหาคือ เจียงหลานไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นอดีตเทพที่วันนี้กลายเป็นเซียน
ดังนั้นขณะที่นางหวาดกลัว สัญชาตญาณการขัดขืนได้ขับเคลื่อนร่างกายแล้วปล่อยให้โจมตีวัตถุที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว
แก่นแท้เซียนที่พลุ่งพล่านและบริสุทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกาย ต่อให้เป็นการวาดมือตบอันเรียบง่าย แต่ด้วยการแสดงพลังของเจียงหลานในวันนี้ มันคือการโจมตีที่มากพอจะทำลายขุนเขาและทะเลแล้ว!
สิ้นเสียงดังสนั่นขึ้น เรือนหลังยาวจึงทรุดลงไปกว่าครึ่ง กำลังที่หลงเหลือในฝ่ามือของเจียงหลานสลายไปแล้ว พื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงหมู่บ้านทิศตะวันออกทั้งหมดล้วนถูกทำลายเป็นเศษซาก
ปฐพีสั่นไหว ฝูซางที่เดิมเป็นภูมิประเทศไม่มั่นคงอยู่แล้วได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในตอนนั้น
ไป๋ชิวหรานรีบกอดนางแล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า
“ไม่เป็นไร ๆ อย่าคิดมาก”
เจียงหลานตกตะลึงรีบใช้ความคิดทันที ภายหลังจากสงบสติได้แล้วจึงกล่าวว่า
“ชิวหราน รีบจับเจ้าสารเลวนั่นสิ”
“ข้าแค่กำลังจะบอกว่า… ปกติแล้วจะล่อให้คนกระทำผิดเวลาจะจับผีร้ายน่ะ”
ไป๋ชิวหรานส่ายหน้าก่อนยิ้มออกมา
“แต่ผีร้ายนั่นถูกเจ้าจัดการไปแล้วนี่”
เขาชี้ไปยังหลุมที่เจียงหลานสร้าง ฝ่ายสตรีมองตาม จึงพบว่าเบื้องหน้าคือพื้นที่ราบเรียบ ทว่ามีร่องรอยแตกหัก นางก้มศีรษะด้วยความอายเล็กน้อย
เดิมไป๋ชิวหรานอยากจับผีร้ายตนนี้ เพื่อถามไถ่สถานการณ์ในยมโลกอีกครั้ง และจื้อเซียนยังสามารถใช้ภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่เพื่อช่วยตรวจสอบถึงสถานที่ที่ผีร้ายนี้มาได้อีกด้วย
แต่ตอนนี้เจียงหลานกลับจัดการเจ้าผีร้ายนั่นจนกลายเป็นเถ้าธุลีด้วยฝ่ามือเดียว… ทำให้ไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นได้อีกแล้ว
หลังจากผีร้ายสลายไป พลังวิญญาณหยินที่ปกคลุมทั่วหมู่บ้านก็สลายไปในทันที บริเวณรอบข้างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ภาพหลอนบนหมู่บ้านนี้ที่มาจากพรของผีร้ายมลายหายไปเช่นกัน
เจียงหลานกับไป๋ชิวหรานก้มมองพื้น บนพื้นเรือนหลังยาวปรากฏกลุ่มคนนอนตะแคงข้างหนึ่ง ทุกคนมีใบหน้าซีดเผือด สภาพการตายน่าสะพรึงกลัว ราวกับตระกูลหนุ่มสาวที่ตายในคฤหาสน์ของนครหลวง
“ดูชุดพวกเขาสิ น่าจะเป็นชาวบ้านกับนักรบ”
เมื่อเห็นศพ เจียงหลานกลับสงบนิ่ง นางย่อกายนั่งลงมองศพบนพื้นอย่างละเอียด จากนั้นกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า
“นี่ มีสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้”
นางพลิกสองคนนั้นขึ้นจากกองศพก่อนวางบนพื้น คนแรกเป็นชายหนุ่ม สวมชุดหรูหรา ดูแล้วน่าจะเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่สักแห่ง อีกคนคือสตรีสวมชุดสีดำรัดรูป ตามที่เจียงหลานกล่าว นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘นินจา’ คาดว่าเป็นองครักษ์ของนายน้อยคนนี้
พวกเขามีพลังวิญญาณที่แท้จริงในร่างกาย บนเกาะฝูซางแห่งนี้ เขาน่าจะได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดฝีมือเลื่องชื่อ แต่กลับต้องมาถูกผีร้ายทำลายซึ่งทำให้ตอนนี้อ่อนแอยิ่ง ไป๋ชิวหรานเผยร่องรอยความโกรธเกรี้ยวออกมาก่อนจะปลุกสองคนนี้ขึ้นมา
ทั้งสองตื่นขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน เมื่อเห็นเจียงหลานกับไป๋ชิวหรานยืนอยู่ตรงหน้า สภาพร่างกายของผู้หญิงคล้ายกับดีขึ้นเล็กน้อย นางได้สติก่อนแล้ววิ่งมาอยู่ข้างชายคนนั้นและเขย่าไหล่อีกฝ่ายทันที
“นายน้อย นายน้อยปลอดภัยหรือไม่?”
“อืม โคโกะ”
ชายคนนั้นส่ายหน้าไปมา จากนั้นมองซ้ายขวาในสภาพที่ตกอยู่ในภวังค์
“ข้าจำได้ว่าพวกเราพบกันขณะค้างคืนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง… หืม?”
เขาเห็นไป๋ชิวหรานและเจียงหลานทำให้ตกตะลึงไปสักพัก
“ตื่นแล้วสินะ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าให้
“ดูท่าจะปลอดภัยดี เช่นนั้นไปกันเถอะ หลานเอ๋อร์”
เขาจับมือเจียงหลานไว้แล้วหันหลังเพื่อจะออกจากที่นี่ แต่ชายคนนั้นกลับห้ามเอาไว้
“โปรดรอเดี๋ยวก่อน”
เขายืนขึ้นด้วยความช่วยเหลือของนินจาสาว จากนั้นก็คำนับไปทางไป๋ชิวหราน
“เป็นพวกท่านสองคนที่ขับไล่ผีร้าย แล้วช่วยพวกข้าไว้สินะ ขอบพระคุณมาก ข้าน้อย…”
“อา ไม่ต้องบอกชื่อพวกข้าหรอก”
ไป๋ชิวหรานกล่าวแทรกอีกฝ่ายแล้วพูดต่อว่า
“พวกข้าไม่สนใจน่ะ”
“เช่นนั้นอย่างน้อยบอกชื่อของผู้มีพระคุณให้ทราบที”
“การกระทำสิ่งดีไม่จำเป็นต้องทิ้งชื่อแซ่ไว้”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“แค่เรียกพวกข้าว่าผ้าพันคอสีแดงก็แล้วกัน”
เขาพาเจียงหลานเดินออกไป ชายคนนั้นเดินตามมาพร้อมกับนินจาสาวข้างกาย จากนั้นได้เห็นสถานการณ์น่าเวทนาที่เกิดจากฝ่ามือของเจียงหลาน ทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจ มองมาทางคนทั้งสองด้วยความหวาดกลัว
ทั้งสองหันหลังให้โดยไม่สนว่าเขาจะสื่ออะไร มีสายฝนโปรยปรายลงมาจากนภา ไป๋ชิวหรานกางร่มกระดาษออกกันไม่ให้เจียงหลานโดนหยดน้ำฝน
ชายคนนั้นแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่พลันคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบวิ่งไปหาไป๋ชิวหรานและเจียงหลาน ก่อนหมอบกราบตรงหน้าพวกเขา
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
ไป๋ชิวหรานถามพลางขมวดคิ้ว
“ข้าอยากให้ท่านรับข้าเป็นศิษย์”
ฝ่ายนั้นก้มศีรษะลงต่ำ
“หืม”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองเขา และหันมามองสภาพความวุ่นวายที่เจียงหลานก่อขึ้น จากนั้นจึงถามว่า
“เจ้าอยากเรียนรู้วิชาหรือ? แล้วจะเรียนรู้ไปเพื่ออะไร?”
“เพื่อปกครองโลก ช่วยผู้คนจากไฟและน้ำ”
เขายังคงก้มศีรษะขณะตอบ
ในท้ายที่สุด ไป๋ชิวหรานกล่าวคำพูดออกมาอย่างเฉยชาว่า
“ไม่สอน เจ้าจงไปเสีย”
ชายหนุ่มกางร่มออกและเตรียมพาเจียงหลานเดินอ้อมเพื่อจากไป แต่เมื่อนายน้อยคนนั้นเห็นจึงรีบตามติดด้วยใบหน้าดื้อรั้น และเปลี่ยนตำแหน่ง ก่อนหมอบกราบอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็ยืดร่างกายช่วงบนขึ้น ถามไป๋ชิวหรานว่า
“ทำไมกัน? สิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ ก็ควรนำมาใช้เพื่อช่วยคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?”
“หืม? ช่วยคนธรรมดาสินะ มันก็จริงนั่นแหละ”
ไป๋ชิวหรานมองเขา ก่อนถามกลับไปว่า
“ประเทศนี้ ใครคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ล่ะ?”
เหตุใดถึงเกิดคำถามนี้ได้?
ชายคนนั้นมีท่าทีสับสน แต่ก็ตอบตามตรงว่า
“ในปัจจุบัน ไดเมียวที่แข็งแกร่งที่สุดน่าจะเป็นตระกูลอิมากาวะผู้อยู่ใต้บัญชาของท่าน โยชิโมโตะ สึรุกะ ท่านโยชิโมโตะเป็นผู้เดียวที่มุ่งสู่นครหลวงสำเร็จ ตอนนี้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ทรงพลังที่สุดแห่งฝูซางตะวันออก”
“นั่นแหละ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“ข้าจะไปหาโยชิโมโตะ อิมากาวะเพื่อรับเขาเป็นศิษย์เดี๋ยวนี้”
“ทำไมกัน?”
ชายคนนั้นประหลาดใจ
“เจ้าขอให้ข้าช่วยคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?”
ไป๋ชิวหรานมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ตอนนี้การจะช่วยฝูซาง หนทางที่เร็วที่สุดคือการปกครองโลก จากนั้นจึงเลือกผู้แข็งแกร่งที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดอย่างโยชิโมโตะ อิมากาวะ แบบนั้นมันเร็วกว่าการรับเจ้าที่เป็นผู้น้อยไร้นาม และยังเสียสละน้อยกว่าไม่ใช่หรือ? ทุกเวลามีค่านะ”
คนฟังเปิดปากเงียบ แต่จะอยากโต้แย้งกลับไป
“ถ้าอย่างนั้นแบบนี้เล่า?”
“อะไรหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอียงศีรษะมอง
“ในเมื่อโยชิโมโตะ อิมากาวะสามารถพัฒนาตระกูลไปถึงจุดที่สามารถมุ่งสู่เมืองหลวงได้ เช่นนั้นเขาต้องมีความสามารถ ไม่มีปัญหาที่จะปกครองโลก หากสอนสั่งเขา เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน… ฝูซางจะอยู่ในฝ่ามือ”
หลังจากนิ่งไป เขาจึงกล่าวเสริมว่า
“ส่วนเจ้า… คือคนที่อยากเป็นผู้อยู่ใต้หล้า ช่วยเหลือปุถุชน แต่งกายอันงดงามกว่าที่เป็น ยกสกุลอันเล็กจ้อยนั่นขึ้นเป็นพระผู้ช่วยแห่งฝูซาง”
เมื่อได้ฟังไป๋ชิวหรานต่อว่านายน้อยเช่นนี้ นินจาสาวจึงเดือดดาลก่อนกล่าวว่า
“เจ้าคนสารเลว!”
ไป๋ชิวหรานมองนางจากด้านข้าง วิญญาณของนินจาสาวคนนี้พลันถูกกระแทกอย่างหนัก นางแข็งทื่อไปจนไม่สามารถขยับได้
“มีวิธีที่จะสามารถช่วยคนจากน้ำและไฟได้หรือ?”
ชายคนนั้นอดที่จะถามอย่างหงุดหงิดไม่ได้ว่า
“ทำไมจะไม่มี?!”
ทว่าไป๋ชิวหรานเสียงดังกว่า เขาก้าวเข้ามาแล้วตอบว่า
“หากเจ้าอยากช่วยคนของประเทศนี้จริง เช่นนั้นก็อย่ามาหาเรื่องข้าที่นี่ แต่จงยอมทำตามข้อเรียกร้องอย่างเป็นสุขจะดีกว่า… สุดท้ายแล้ว ความปรารถนาของเจ้าไม่ได้เป็นการช่วยคนจากน้ำ หรือไฟหรอก แต่เป็นการทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้อยู่ใต้หล้าต่างหาก”
ชายคนนั้นเงียบเสียงไป
“ถ้าข้าสอนเจ้า แล้วไดเมียวเหล่านั้นล่ะ? ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครคิดที่จะเปลี่ยนสถานการณ์นี้… เช่นนั้นทำไมต้องสอนเจ้าด้วย?”
ไป๋ชิวหรานส่ายหน้าแล้วกล่าวต่อว่า
“หากเจ้าคิดที่จะเป็นผู้อยู่ใต้หล้า เช่นนั้นจงนำกองกำลังตัวเองเพื่อไปสู้กับไดเมียวเหล่านั้นเสีย”
ปัจฉิมลิขิต เกาะฝูซางที่ดำเนินเรื่อง ก็คือเกาะญี่ปุ่นนั่นเอง ทั้งนี้ ‘ฝูซาง’ เป็นคำในภาษาจีนโบราณที่ใช้กล่าวถึงประเทศญี่ปุ่น