ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 228 เจ้าซ่อนอาจารย์ของข้าไว้ที่ใด!
บทที่ 228 เจ้าซ่อนอาจารย์ของข้าไว้ที่ใด?!
เมื่อได้ยินศิษย์รายงานเช่นนั้น โหยวเหมยเฉียวก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
นางครุ่นคิดไปมา ในเมื่อไป๋ชิวหรานกลับมาแล้ว นั่นหมายความว่าอาจารย์ของนางต้องกลับมาด้วย โหยวเหมยเฉียวสามารถมอบหมายงานสำนักที่แสนซับซ้อนเหล่านี้ให้ซูเซียงเสวี่ยกลับไป และจะได้ออกไปเที่ยวเล่นได้เสียที
ดังนั้นนางจึงขอให้ศิษย์ไปเชิญไป๋ชิวหรานมาทันที ผ่านไปพักใหญ่ ศิษย์พาคนมาที่นี่ โหยวเหมยเฉียวจึงรีบเดินออกไปเพื่อเปิดประตูให้ไป๋ชิวหรานด้วยตัวเอง
“อาจารย์”
นางคลี่ยิ้มราวบุปผายามเช้า ขณะกล่าวทักทายเสียงอ่อนหวาน ทว่ากลับเห็นเจียงหลานยืนอยู่ข้างไป๋ชิวหราน ทำให้ใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา
“หืม? อาจารย์ข้าอยู่ที่ใด?”
นางมองเจียงหลานอย่างละเอียด ราวกับต้องการยืนยันว่าอาจารย์ไปฝึกฝนพลังเหนือธรรมชาติแปลงกายมาหรือเปล่า แต่ใบหน้าของเจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยมีความละเอียดอ่อนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
“เลิกมองได้แล้ว นั่นไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า”
ชายหนุ่มกล่าวกับนาง
“อาจารย์ของเจ้าเกิดความรู้แจ้งจึงล่าถอยไปฝูซาง”
“ข้ารู้สึกได้ถึงบางอย่าง…”
สายตาของโหยวเหมยเฉียวกวาดทั่วร่างของไป๋ชิวหราน ในฐานะศิษย์ของสำนักเหอฮวน เป็นธรรมดาที่นางจะมองออกว่าพลังชีวิตของไป๋ชิวหรานได้สูญหายไปแล้ว
ดูท่าอาจารย์จะประสบความสำเร็จ
โหยวเหมยเฉียวครุ่นคิดอย่างเงียบงัน จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมาแล้วถามว่า
“เช่นนั้นหญิงสาวผู้นี้… หญิงสาวผู้ดูศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้คือใคร?”
“ภรรยาของข้า”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“หา?”
โหยวเหมยเฉียวยื่นหูเข้ามาแล้วถามว่า
“อาจารย์ ข้าเหมือนจะได้ยินผิดไป ท่านพูดว่าอะไรหรือ?”
“ข้าพูดว่า…”
ไป๋ชิวหรานตบปากตัวเอง แล้วกล่าวเสียงดังว่า
“นางคือภรรยาของข้า หรือจะเรียกว่าภริยา เมีย คู่ชายหญิง คู่ครอง คุณหญิง… เจ้าจะเรียกอะไรก็แล้วแต่สะดวก อย่างไรก็ตามนางกับข้ามีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ เข้าใจหรือไม่?”
“ภะ ภรรยา…”
โหยวเหมยเฉียวมองเจียงหลานที่กำลังยิ้มอยู่ ก่อนจะมองไปยังไป๋ชิวหรานที่สูญเสียพลังชีวิตไป ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้เรียกอาวุธวิเศษออกมา จากนั้นกล่าวด้วยอารมณ์ตกตะลึง เกรี้ยวกราดและหวาดกลัวผสมปนเปไปหมด
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ท่านทำอะไรกับอาจารย์ของข้า?!”
“เจ้าจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น?”
ไป๋ชิวหรานมองนางด้วยความประหลาดใจ
“จะให้ข้าปฏิบัติกับอาจารย์ของเจ้าอย่างไร?”
โหยวเหมยเฉียวก้าวถอยหลังสองสามก้าวอย่างระแวดระวัง ถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า
“เช่นนั้นแล้วอาจารย์ของข้าล่ะ?”
“ล่าถอยไปฝึกฝนที่มหาวิหารฝูซาง”
ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองเจียงหลาน
“อย่างไรเสียรากฐานการฝึกฝนมันก็เป็นเช่นนั้น มีคนมากมายที่มีความสามารถเหนือกว่า”
โหยวเหมยเฉียวชำเลืองมองเจียงหลาน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้เก็บอาวุธวิเศษด้วยท่าทีสงสัย
“ใช่แล้ว”
ทันใดนั้นนางโพล่งถามขึ้นว่า
“ข้าเรียกผู้อาวุโสว่าอาจารย์แท้ ๆ เหตุใดผู้อาวุโสถึงต้องแก้ตัวด้วย?”
“ในฐานะศิษย์ของสำนักเหอฮวน เรื่องแค่นี้มองปราดเดียวน่าจะรู้ไม่ใช่หรือ?”
ไป๋ชิวหรานหรี่ตา น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความอับอาย
โหยวเหมยเฉียวตกตะลึงยืนแน่นิ่งอยู่พักใหญ่ จากนั้นเหลือบมองเจียงหลานแล้วกล่าวว่า
“ดูท่าเรื่องราวจะซับซ้อนกว่าที่คิดเสียแล้วสิ”
“ที่จริงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดหรอก”
เจียงหลานเป็นฝ่ายก้าวมาข้างหน้าก่อน นางยื่นมือออกไปหาโหยวเหมยเฉียวแล้วกล่าวว่า
“สวัสดีสาวน้อย เจ้าคือโหยวเหมยเฉียวใช่หรือไม่? ข้าเคยได้ยินอาจารย์เซียงเสวี่ยกล่าวถึงเจ้าอยู่ ข้าขอแนะนำตัวแล้วกัน นามของข้าคือเจียงหลาน เป็นภรรยาอย่างถูกต้องของชิวหราน”
“หะ…หืม”
โหยวเหมยเฉียวจับมือของเจียงหลานออกด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะโค้งคำนับ
“ข้าน้อยเหมยเฉียว คารวะผู้อาวุโสเจียงหลาน”
“ตอนอาจารย์ของเจ้าติดต่อมาหาข้าทำให้ได้เรียนรู้บางอย่าง ดังนั้นนางจึงล่าถอยเพื่อกลับไปฝึกฝนที่บ้านเกิดตัวเอง”
เจียงหลานยิ้มให้นางขณะกล่าวว่า
“นางขอให้ข้าและชิวหรานดูแลสำนักของเจ้าในช่วงนี้”
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณผู้อาวุโสแล้ว”
โหยวเหมยเฉียวถอนหายใจอย่างจนใจ
“เป็นอะไรหรือ?”
ชายหนุ่มเห็นนางมีสีหน้าเหนื่อยล้าจึงเอ่ยถามว่า
“ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ? เจ้าดูเหนื่อยล้าชอบกล”
“เหตุการณ์ผีสิงที่ยากจะอธิบายน่ะ”
ขณะโหยวเหมยเฉียวตอบ นางได้ต้อนรับทั้งสองเข้าไปด้านใน ก่อนจะนำชามาให้ทั้งสองด้วยตัวเอง
“ไม่นานมานี้มีเหตุการณ์ผีสิงจำนวนมากในแดนเริงรมย์หลายสาขา แขกหลายคนได้รับบาดเจ็บ ผีร้ายบางตนไม่แม้กระทั่งจะสั่งให้ศิษย์ประจำอยู่ในที่มั่นได้ ข้าจึงทำได้เพียงหาทางเคลื่อนย้ายกำลังของศูนย์กลางสำนักเพื่อสนับสนุนแต่ละสาขา ซ้ำยังได้ยินมาว่ามีสถานที่ผีสิงอยู่เป็นจำนวนมากในเมืองหลวง ห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมน่าจะเคลื่อนไหวเช่นกัน ผู้อาวุโสไป๋ทราบอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?”
“ศิษย์ของข้าไม่ได้บอกกล่าวอะไร”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“พวกเขาอาจจะคิดว่าเจ้าไม่ต้องการกำลังเสริมสำหรับเรื่องนี้ก็ได้”
โหยวเหมยเฉียวมองไป๋ชิวหรานสักพัก ก่อนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า
“อืม ข้าคิดว่าไม่จำเป็นเหมือนกัน”
“ไม่ ถ้าพูดแบบนี้ แสดงว่ามันต้องจำเป็นน่ะสิ”
ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วขณะกล่าว
“หากถูกผีสิงตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เช่นนั้นก็เป็นปัญหาแล้ว ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในยมโลกเป็นแน่”
ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานเคยอยู่ในฝูซางมาสักพัก แต่ก็ไม่เห็นผีร้ายอีก เช่นนั้นพวกเขาจึงกลับมา
เดิมพวกเขาคิดว่ายมโลกได้ยับยั้งการกบฏในโลกมารไปแล้ว แต่หลังจากไปเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินทำให้พบว่า ฝูซางอาจจะเล็กเกินไป ผีร้ายส่วนใหญ่จึงไม่อยู่ที่นั่น ละครตลกส่วนใหญ่ในยมโลกจึงยังดำเนินต่อไป
ไป๋ชิวหรานมองเจียงหลาน ซึ่งฝ่ายหลังพยักหน้าให้
“เซียงเสวี่ยฝากให้ข้าดูแลเจ้า ดังนั้นให้ข้ากับหลานเอ๋อร์จะเป็นคนจัดการเอง”
จากนั้นไป๋ชิวหรานจึงกล่าวกับโหยวเหมยเฉียวว่า
“แบบนั้นจะได้จัดการได้ทัน”
“เรื่องนี้…”
โหยวเหมยเฉียวครุ่นคิดสักพัก ไม่แสดงท่าทีสุภาพต่อไป๋ชิวหรานอีกต่อไป ก่อนกล่าวกับพวกเขาสองคนว่า
“เช่นนั้นรบกวนอาจารย์กับ… ผู้อาวุโสเจียงหลานแล้ว”
หลังจากพูดจบ นางหยิบแผนที่ออกมา ก่อนส่งให้ไป๋ชิวหราน
…
ตกกลางคืน ในรัฐหลิ่วโจวอู๋ สาขาหนึ่งในแดนเริงรมย์ ชายผู้หนึ่งหน้าแดงก่ำเพราะการดื่มเดินโซเซ
“ผู้มีพระคุณ”
เสียงอันแผ่วเบาของสาวน้อยในแดนเริงรมย์ดังขึ้น น้ำเสียงของนางราวกับปัดเป่าสายลมเข้าที่หูของผู้ฟังจนทั่วร่างรู้สึกอ่อนยวบ
“ไว้ครั้งหน้ามาอีกนะเจ้าคะ”
“แน่นอน ๆ”
เขารู้สึกเวียนหัวจากการดื่ม ในเวลานั้นหันหน้าไปทางอื่นก่อนหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า
“ครั้งหน้า ข้าจะใช้บริการเจ้าทั้งคืนเลย!”
“จริงหรือ?”
มีเสียงหัวเราะดังคิกคัก มันเกาะกุมไปถึงก้นบึ้งของหัวใจชายผู้นั้น
“เช่นนั้นข้าจะตั้งตารอการแสดงของเจ้า”
หลังจากกล่าวลาสาวน้อยในแดนเริงรมย์ เขาจึงเดินโซเซกลับที่พัก
ว่ากันว่าแดนเริงรมย์นี้คือสาขาหนึ่งของสำนักเหอฮวนแห่งสำนักประตูวิเศษ ผู้ฝึกตนที่อยู่ข้างในล้วนเป็นผู้ฝึกเคล็ดวิชาทางสำนัก ทำให้ความงามย่อมเหนือกว่าหญิงสาวธรรมดา ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีความหยิ่งทะนงยามรับมือกับผู้อื่น ทำให้มนุษย์เพศชายทั้งหลายได้สัมผัสกับความตื่นเต้นที่ได้พิชิตหญิงสาวเหล่านั้น หลังจากแดนเริงรมย์เปิดขึ้นที่นี่ นั่นเป็นเหตุให้ขโมยกิจการของถนนบุปผาในเมืองไปได้ครึ่งหนึ่งทันที
แต่กองกำลังที่หนุนหลังถนนบุปผาเหล่านี้ไม่กล้าโต้แย้ง อย่างไรเสียเบื้องหลังแดนเริงรมย์คือสำนักเหอฮวน อีกฝ่ายสามารถบดขยี้พวกเขาได้ไม่ต่างจากบดขยี้มด
เมื่อเทียบกับกองกำลังใต้ดินของแหล่งกามารมณ์แล้ว รัฐหลิ่วโจวอู๋มักพบเจอผู้ฝึกตนหัวล้านสร้างปัญหาในแดนเริงรมย์ สำนักพุทธในโลกผู้ฝึกตนคือที่มั่นของสำนักพุทธเทียนเซิ่งในรัฐหลิ่วโจวอู๋เช่นกัน สำนักเหอฮวนจึงมาเปิดที่นี่… ซึ่งคาดว่ามีการยั่วยุศัตรูเก่าที่ทางเข้าประตูเล็กน้อยเช่นกัน
แต่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจครั้งใหญ่นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชายคนนั้นแต่อย่างใด ในฐานะแขก เขาขอเพียงสาวน้อยที่นี่น่ารักและมีเสน่ห์เหลือล้น… แค่นั้นก็เกินพอแล้ว
“ครั้งหน้าจะต้องดื่มด่ำกับสาวน้อยคนนั้นสักคืนให้ได้!”
ขณะพึมพำไร้สาระ ชายคนนั้นพิงกำแพงแล้วเดินโซเซไปตามถนนว่างเปล่า เขาหวนนึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มจากผิวมือของกันและกัน ทันใดนั้นก็เกิดอาการอยากปัสสาวะขึ้นมา
แน่นอนว่าเมืองนี้ไม่อนุญาตให้ขับถ่ายตามท้องถนน แต่ชายผู้นี้เมามาย มีหรือจะมาสนใจ เขาพิงกับกำแพงอย่างสบายอารมณ์แล้วถกกางเกงลง ก่อนจะปัสสาวะ
ขณะปัสสาวะ ฤทธิ์ของสุราทำให้เขาดูสุขุม ในเวลานั้นได้เงยหน้าขึ้น และพบว่าตัวเองอยู่ใจกลางถนนว่างเปล่า ไม่ทราบได้ว่ามีชายสวมชุดยาวสีขาว กับหญิงสาวผมดำปิดหน้ามิดชิดมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่!