ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 229 ช่วยสตรีหลงทาง
บทที่ 229 ช่วยสตรีหลงทาง
“นี่คือที่สุด”
ตกดึก ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานควบคุมวารีสารทกระจ่างฟ้า มันค่อย ๆ ร่อนลงนอกเมืองนี้ในรัฐหลิ่วโจวอู๋
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ได้ยินมาว่ามีแขกเมามายคนหนึ่งในแดนเริงรมย์ หายตัวไประหว่างกลับกระท่อม วันต่อมา ได้พบว่าถูกแขวนคอตรงราวแขวนผ้าในตรอกหลังกระท่อม ไม่มีใครทราบว่าเขาปีนข้ามกำแพงไปได้อย่างไร”
ได้ฟังไป๋ชิวหรานกล่าวเช่นนั้น เจียงหลานพลันสั่นสะท้านก่อนจะกล่าวว่า
“ชิวหราน เจ้าเข้าไปก่อน ข้าจะรออยู่ข้างนอก”
นับตั้งแต่เจอผีร้ายในหมู่กระท่อมผีสิงฝูซาง ทำให้เจียงหลานยังคงหลีกหนีจากสิ่งนี้
“เจ้ามักจะใช้พิษอยู่ตลอด และผู้ส่งสารก็ยังพร้อมให้การช่วยเหลือเจ้า”
ไป๋ชิวหรานมองภรรยาด้วยความขบขัน
“ทำไมผีน้อยตนนี้ถึงทำให้เจ้ากลัวได้นะ”
“ถึงแม้พิษจะอันตราย แต่ข้าสามารถควบคุมได้ ถึงแม้ยมทูตจะแข็งแกร่ง แต่ข้าแข็งแกร่งกว่า”
เจียงหลานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า
“แต่ผีร้ายเหล่านี้ข้าไม่รู้เลยว่าจู่ ๆ พวกมันปรากฏตัวต่อหน้าเมื่อไรจนทำตกอกตกใจ เพื่อความปลอดภัยของเมืองนี้ ช่วยลืมมันไปเถอะ”
หลานเอ๋อร์รู้ตัวดีว่า ตัวเองไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ยามที่หวาดกลัว อืม… นางมีความตระหนักรู้ในตัวเองไม่ต่างจากผู้เป็นสามี
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดด้วยความละอายใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นเจ้าก็รอข้าที่นี่… แต่ถ้าผีร้ายได้รับคำสั่งให้มาตามหาเจ้าล่ะ… เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
เจียงหลานลังเลสักพัก จากนั้นตอบว่า
“ข้าจะทะยานขึ้นหมู่เมฆ มันคงไม่ตามมาใช่หรือไม่?”
“ไม่น่าจะตามไปได้นะ เหนือหมู่เมฆคือความว่างเปล่า”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ไปเลย ข้าจะตามเจ้าไปหลังจากจัดการเสร็จแล้ว”
“อืม ระวังด้วย”
เจียงหลานทะยานขึ้นนภาไป ส่วนไป๋ชิวหรานก็หันหลังแล้วเดินเข้าเมือง ขณะเดินไปตามทาง มีพัดปรากฏขึ้นในมือขณะถูกกวัดแกว่งไปมา จากนั้นรูปลักษณ์และสีผมก็เปลี่ยนไป
เมื่อเข้าไปในเมือง เขากลายเป็นชายหนุ่มผู้ออกมาเล่นสนุกยามวิกาล
ชายหนุ่มตรงไปแดนเริงรมย์ที่เป็นสถานที่เกิดเหตุ เพราะมีเหตุฆาตกรรมเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้กิจการกลางคืนของที่นี่ซบเซาไปมาก ต่อให้มีใครบางคนมา พวกเขาก็เพียงแค่รีบปฏิบัติกิจให้เสร็จหรือไม่ก็อยู่ที่นี่เพียงคืนเดียว ไม่กล้าออกไปช่วงกลางดึกอีกต่อไป
ขณะไป๋ชิวหรานเดินผ่านไป ได้พบเห็นว่ามีแขกเข้าไปบ้างประปราย ด้านในมีกลุ่มสาวน้อยจากสำนักเหอฮวนอยู่บางส่วน พวกนางพิงประตูด้วยความเบื่อหน่าย บ้างสนทนากันเพื่อถามไถ่ว่าจะมีแขกมาในคืนนี้หรือไม่
ในเวลานั้น พวกนางเห็นไป๋ชิวหรานกำลังเดินตรงมาทางนี้
ชายหนุ่มรูปหล่อ!
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานเดินเข้ามา ดวงตาของสาวน้อยทอประกายแวววาว
สาวน้อยจากสำนักเหอฮวนมองชายหนุ่ม สายตาเหล่านั้นราวกับกลุ่มผู้ชายกำลังจับจ้องสาวงาม เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานกำลังใกล้เข้ามา ไม่เพียงแค่สาวน้อยเหล่านี้ไม่เขินอายเท่านั้น ทว่ายังเริ่มเข้าไปห้อมล้อม พร้อมกับหยอกเย้าและฉวยโอกาสที่จะพยายามฉุดรั้งเขาเอาไว้
ส่วนไป๋ชิวหรานแสร้งทำเป็นหมดหนทาง ก่อนจะถูกพวกนางดึงเข้าร้านด้วยใบหน้าแดงก่ำ หลังจากมาถึงที่เกิดเหตุ เขาได้แสดงตราที่โหยวเหมยเฉียวมอบให้ในการเดินทางครั้งนี้ให้พวกนางดู
เมื่อเห็นตรานี้ สาวน้อยเหล่านี้แสดงความสัตย์ซื่อทันที สีหน้าบางคนหมองหม่นในพริบตา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มเพียงบอกความจำเป็นถึงการฝึกฝนของสำนักเหอฮวน
ดังนั้น กลุ่มสาวงามทั้งหลายจึงอยู่เฝ้าหน้าร้านของตัวเอง เพื่อรับฟังคำสอนสั่งจากเขา ร้านชื่อดังในแหล่งกามารมณ์กลับกลายเป็นสถานกวดวิชาในพริบตา
ไป๋ชิวหรานสนทนาจนถึงช่วงกลางดึก สาวน้อยต่างพากันหลงใหลและพยายามรั้งตัวเขาเอาไว้ แต่เพราะมีงานต้องทำจึงต้องไป
หลังออกจากแดนเริงรมย์ได้แล้ว ไป๋ชิวหรานจึงแสร้งทำเป็นหมดสภาพจากความเมามาย เลียนแบบชายที่ประสบอุบัติเหตุในวันนั้น ขณะเดินโซเซไปตามถนน
เขามาถึงใกล้กระท่อมที่ร่างของชายคนนั้นถูกพบ ชายหนุ่มพิงร่างไปกับกำแพง ศีรษะก้มลง สำรอกออกมาเสียงดังหลายครั้ง
หลังจากส่ายหน้าไปมา ไป๋ชิวหรานก็เงยหน้าขึ้น เห็นเงาสีขาวเคลื่อนผ่านถนนไปอย่างเงียบเชียบ เพียงแค่กะพริบตา เงาสีขาวก็หายไปอีกครั้ง
“นั่นมันบ้าอะไร?”
เขาพึมพำเสียงต่ำ จากนั้นเอนกายพิงกำแพงยังคงเดินโซเซไปข้างหน้า
สายลมพัดผ่านไป หน้าต่างของเรือนหลังเล็กจำนวนมากที่อยู่ติดกันก็เปิดปิดไปมา ตรงทิศทางที่ไป๋ชิวหรานไม่สังเกตเห็น มีหญิงสาวชุดขาวผิวซีดยากที่จะมองเห็นหน้าได้ชัดกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง นางเอียงคอมองมาทางเขา
“แฮ่”
ทันใดนั้นสายลมเย็นเยือกพัดมาจากด้านหลัง ไอเย็นกระหน่ำเข้าสู่ชุดของไป๋ชิวหรานตรงคอ เขาแตะที่ลำคอของตัวเองก่อนชำเลืองมองด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวหน้าซีดไว้ผมยุ่งเหยิง ดวงตาไร้รูม่านตาจนกลายเป็นสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้า นางอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ชุ่นเท่านั้น!
“เหวอ!”
ไป๋ชิวหรานตะโกนดังลั่น
“ผีหลอก!”
ขณะตะโกน เขาชูกำปั้นขึ้น หมัดเหล็กที่ถูกปกคลุมด้วยพลังปราณแก่นแท้กระแทกใส่หญิงสาวชุดขาวลงกับพื้นในพริบตา
…
เจียงหลานรออยู่ในนภาจนกระทั่งเกือบถึงรุ่งสาง เมื่อเห็นไกล ๆ ว่าเป็นไป๋ชิวหรานที่กำลังยืนอยู่บนกระบี่บิน เขาค่อย ๆ โผล่ออกมาจากหมู่เมฆก่อนมาอยู่ด้านข้างสตรี
“เรียบร้อยหรือยัง?”
นางรีบทะยานเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถาม
ไป๋ชิวหรานหยิบหินขึ้นมา ข้างในคือกลุ่มวิญญาณส่องแสงเลือนราง
“ข้าขอให้จื้อเซียนทรมานแล้ว คงจะใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลยล่ะ”
“ผลเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผีร้ายตนนี้ออกมาจากยมโลกเมื่อห้าวันที่แล้ว ก่อนจะมายังโลกมนุษย์”
จื้อเซียนตอบ
“ยมโลกในตอนนั้นยังอยู่ในความโกลาหล พวกยมทูตไม่มีพลังจะจัดการกับผีร้ายเหล่านี้ มันจึงอาศัยช่วงเวลานี้ในการหลบหนี”
“ไม่ถูกต้อง จากยมโลกมายังโลกมนุษย์มีระยะห่างระหว่างสองโลกอยู่ ต่อให้เป็นยมทูตก็ทำได้เพียงพึ่งพรแห่งสวรรค์ถึงจะสื่อสารได้อย่างอิสระ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของจื้อเซียนแล้ว เจียงหลานจึงกล่าวว่า
“เจ้าผีน้อยนั่น มาโลกมนุษย์จากยมโลกได้อย่างไร?”
“ว่ากันว่าในตอนนั้นมีเทพอสูรน่าสะพรึงเปิดช่องว่างสู่โลกมนุษย์ในยมโลก พวกมันจึงมาถึงโลกมนุษย์ผ่านเส้นทางนั้น”
จื้อเซียนครุ่นคิดสักพัก ก่อนกล่าวเสริมว่า
“เท่าที่ตรวจสอบด้วยภูมิปัญญายิ่งใหญ่ มันน่าจะไม่โกหก”
“ข้าคิดว่าถึงเวลาต้องไปดูที่ยมโลกแล้วล่ะ”
ไป๋ชิวหรานเหม่อมองนภา จากนั้นจึงหันมากล่าวกับเจียงหลานว่า
“แต่ว่านะหลานเอ๋อร์ เจ้ากลับไปสำนักเหอฮวนเพื่อแจ้งข่าวให้แก่โหยวเหมยเฉียวก่อน”
“อืม”
ทั้งสองกลับสำนักเหอฮวนพร้อมผีร้ายและจื้อเซียนที่กลายเป็นอุปกรณ์ที่ถูกผูกติดเอาไว้ ก่อนจะแจ้งผลให้แก่โหยวเหมยเฉียวทราบ
“ขอบคุณอาจารย์และผู้อาวุโสเจียงหลาน”
โหยวเหมยเฉียวขอบคุณพวกเขาสองคน ก่อนจะกล่าวว่า
“พวกท่านทั้งสองพักอยู่ในสำนักเหอฮวน แล้วให้เหมยเฉียวปรนนิบัติน่าจะดีกว่า อาจารย์ ตอนนี้ท่านคือครึ่งหนึ่งของสำนักเหอฮวนแล้ว จะเรียกที่นี่ว่าที่พักพิงก็ได้”
“ไม่เป็นไร ๆ พวกข้ายังมีงานต้องทำ”
ไป๋ชิวหรานโบกมือเบา ๆ แล้วถามว่า
“จะว่าไป… เกิดอะไรขึ้นกับอสูรที่สำนักอสูรสวรรค์ปราบปราม เจ้าพอจะทราบหรือไม่?”