ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 23 คารวะเป็นอาจารย์
บทที่ 23 คารวะเป็นอาจารย์
ครั้นได้ยินคำพูดของไป๋ชิวหราน ถังรั่วเวยก็ทั้งโกรธทั้งโมโห
แม้ว่านางจะไม่ได้ยึดถือในตำแหน่งองค์หญิงแห่งซ่างเสวียน และไม่ต้องการที่จะมอบชีวิตและโชคชะตาของตนเองให้กับเสด็จพ่อเพื่อตัดสินตามอำเภอใจ ทว่าการที่นางเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ โดยยอมละทิ้งทุกสิ่งอย่างในอดีต ทั้งยังเพียรเข้ารับการทดสอบคัดเลือกอย่างหนักหน่วง กว่าที่จะได้เข้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงจนได้พบกับไป๋ชิวหรานอีกครั้ง
เหตุผลที่นางมาที่นี่ ประการหลักเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าสำนักของผู้มีพระคุณเป็นอย่างไร? ถึงกระนั้นก็ยอมรับว่านางมีความรู้สึกที่ดีต่อผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือราชวงศ์และบ้านเมืองของนางเอาไว้ได้
ผลปรากฏว่าอุตส่าห์ได้พบพานกันทั้งทีกลับไม่ยินดียินร้ายใด ๆ ทั้งยังเอาแต่ตั้งคำถามและระแวงถามว่านางยอมเดินทางไกลนับพันลี้เพียงเพื่อมาล้างแค้นเขา หนำซ้ำยังพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมตั้งรับอีก
“ข้าไม่ได้โกรธเคืองเรื่องนั้นแล้ว” เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ชิงหมิง ถังรั่วเวยจึงตัดสินใจรักษาภาพลักษณ์สุภาพอ่อนน้อมเข้าไว้
“อีกอย่าง ไป๋ชิวหราน ในฐานะบุรุษท่านไม่ควรถือสาหาความกับสตรีใช่หรือไม่?”
“ไม่เสมอไป สตรีย่อมมีสถานะเสมอเหมือนกับบุรุษ ถือกำเนิดขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก สามารถวิ่งได้ กระโดดได้ ฝึกฝนวิชายุทธ์ได้ ในสายตาของข้าแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนเท่าเทียมกัน” ไป๋ชิวหรานยังคงพับแขนเสื้อขึ้นอีกข้าง
“ดังนั้นในฐานะเป็นชาย ข้าจึงถ่อมตัวต่อสตรีในสถานการณ์ทั่วไป แต่ข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลังจากที่ข้าต่อสู้กับหญิงชราผู้เป็นบรรพบุรุษของสำนักเหอฮวน แม่นางถัง สหายศิษย์ทั้งหลาย ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีนัก อย่าได้มารังควานข้าเลย”
“แม่นาง” ผู้อาวุโสชิงอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบกล่าวแทรกขึ้น “สิ่งท่านอาจารย์ลุงกล่าวนั้นเป็นความจริง ข้าสามารถรับรองได้”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดจะลงมือกับเจ้าอีก” ถังรั่วเวยทอดถอนใจด้วยความรู้สึกอ่อนแรง
“จริงหรือ?” ไป๋ชิวหรานยังคงไม่วางใจ “ทว่าวันนั้นเจ้าไล่กวดตามข้าเป็นระยะทางไกลนับสิบลี้ด้วยพลังของขั้นกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่ง”
“จริงสิ” ถังรั่วเวยยกมือขึ้นกุมหน้าผากตนเอง “ข้าเพียงอยากเห็นกับตาว่าสำนักกระบี่ชิงหมิงอันเลื่องชื่อเป็นอย่างไร”
“โอ้ เช่นนั้นก็ยินดีต้อนรับ” เมื่อไป๋ชิวหรานได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แต่อย่าลืมว่าเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักเต็มตัวแล้ว แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นเพียงศิษย์ฝึกหัดชุดดำ ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นสมาชิกของสำนักกระบี่ชิงหมิงของข้า ขอต้อนรับแม่นางถังอย่างเป็นทางการ”
“อืม” ถังรั่วเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจกระซิบเตือน “หยุดเรียกข้าว่าแม่นางถังเสียทีเถิด ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์ร่วมสำนักแล้ว ส่วนเจ้ามีฐานะเป็นถึงผู้อาวุโสในสำนัก ดังนั้นข้าควรจะเรียกเจ้าว่าท่าน จะละเว้นซึ่งมารยาทที่พึงควรไม่ได้”
“อย่าได้ใส่ใจเรื่องการจัดลำดับอาวุโสของข้าไปเลย อันที่จริงไม่เพียงแต่เจ้าเท่านั้น แม้แต่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อหรือคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถพูดจาสนทนากับข้าได้เกินสามประโยคด้วยซ้ำ” ไป๋ชิวหรานโบกมือไหว ๆ
“ดังนั้นพวกเราจึงพำนักแยกจากกันเป็นสัดส่วน ข้าอยู่อย่างสันโดษเพียงผู้เดียว นอกจากเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลายแล้ว ผู้ที่รู้จักกับข้าเป็นการส่วนตัวนั้นน้อยยิ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าผู้อื่นจะตำหนิว่าเจ้าไร้มารยาท” จากนั้นเขาจึงหันไปกล่าวกับเหล่าผู้อาวุโส “พวกเจ้าว่าข้ากล่าวถูกต้องแล้วหรือไม่?”
“ถูกแล้ว ถูกแล้วขอรับ” เหล่าผู้อาวุโสรีบพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ พวกเจ้าก็อย่ายืนอยู่ข้างนอกนี่นานเลย เข้ามาพร้อมกันเถิด” ไป๋ชิวหรานเชื้อเชิญถังรั่วเวยและเหล่าผู้อาวุโส
“จริงสิ แล้วผู้ใดจะรับอาสาช่วยเจ้าคนโง่นั่นออกจากต้นไม้ล่ะ?”
เมื่อได้ยินไป๋ชิวหรานถามเชิงออกคำสั่ง ทุกคนก็ไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ ผู้อาวุโสสามดึงเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อให้ลงจากต้นไม้ จากนั้นเหล่าผู้อาวุโสก็ประคองกึ่งลากให้ท่านเจ้าสำนักและถังรั่วเวยเดินเข้าไปในตำหนักหลังเล็กที่ไป๋ชิวหรานพำนักอยู่
ภายในเขตที่พักของไป๋ชิวหราน ไป๋ชิวหรานใช้วิชาเซียนชงชาเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงยกกาน้ำชาขึ้นเพื่อรินลงในถ้วยชาทั้งเก้าใบที่วางอยู่บนโต๊ะ ทันทีที่เหล่าผู้อาวุโสและถังรั่วเวยเดินผ่านประตูเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของตัวยาที่เข้มข้น
“หืม?” ผู้อาวุโสห้าที่ชำนาญด้านการกลั่นและปรุงยามากที่สุดสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยถามด้วยความเบื่อหน่าย
“ท่านอาจารย์ลุง นี่…ท่านใช้สมุนไพรมากมายถึงเพียงนี้เพื่อกระตุ้นลมปราณให้บรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ไป๋อวิ๋น ทักษะของเจ้าไม่เลวเลย” ไป๋ชิวหรานกล่าวชมเชย “ข้ามีพลังลมปราณในตัวเป็นจำนวนมาก ใต้หล้านี้ยากที่จะหายาเสริมสร้างกำลังที่มีผลต่อข้า แทนที่จะค้นหาเก็บเอาสมบัติสวรรค์และปฐพีต่อไป คงเป็นการดีกว่าที่จะเร่งพลังลมปราณของข้าและทำให้มันพัฒนาขึ้นด้วยตนเอง”
“การเร่งรัดเช่นนี้ ด้วยสภาพการณ์ของท่านอาจารย์ลุงแล้ว อย่าว่าแต่จะบรรลุไปอีกหนึ่งระดับเลย ต่อให้เป็นการบรรลุเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานก็ยังห่างไกลนัก” แต่แล้วผู้อาวุโสห้ากลับขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ทว่าเหตุใดท่านอาจารย์ลุงจึงสามารถบรรลุไปได้อีกหนึ่งระดับ? ในเมื่อสิ่งที่ใช้เสริมสร้างนั้นธรรมดาสามัญ”
“ใช่แล้ว ลมปราณภายในร่างกายของข้าที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ข้าสามารถบรรลุผ่านไปได้อีกหนึ่งระดับอย่างไม่ยากเย็น” ไป๋ชิวหรานตอบกลับพร้อมเผยสีหน้าว่างเปล่า “เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้สึกคล้ายกับว่าข้ากำลังจะบรรลุผ่านอีกครั้ง”
ทุกคนในที่นี้ต่างประหลาดใจ
“เช่นนั้นท่านอาจารย์ลุงจะทำอย่างไรต่อไป?” ผู้อาวุโสเจ็ดเอ่ยถาม “หากท่านยังต้องการเก็บตัวเพื่อบรรลุเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานต่อไป ในเมื่อช่วงเวลานี้ไม่สะดวกนัก เช่นนั้นพวกเราต้องขอตัวก่อน ค่อยพาแม่นางผู้นี้มาพร้อมกันด้วยในภายหลัง”
“ไม่ ไม่เป็นไร ข้ายังไม่ต้องการบรรลุผ่านในตอนนี้” ไป๋ชิวหรานแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึง “หากข้าไม่เตรียมตัวให้ดี ต่อให้เก็บตัวฝึกฝนต่อก็คงบรรลุผ่านเพียงอีกหนึ่งระดับเท่านั้น ข้าตั้งใจว่าจะกดดันขอบเขตการฝึกตน เพื่อดูว่าจะสามารถบีบอัดลมปราณให้กลายเป็นของเหลวได้หรือไม่?”
“กดดันขอบเขตการฝึกตนอย่างไรหรือ?” ถังรั่วเวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“กลั้นลมหายใจ” ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองนาง “คล้ายการเบ่งอึ”
องค์หญิงแห่งซ่างเสวียนรู้สึกคลื่นไส้จุกอยู่ในลำคอทันที ไม่เอ่ยคำใดต่อ
“เช่นนั้นหมายความว่าเวลานี้ท่านอาจารย์ลุงก็ไร้ซึ่งภารกิจใด ๆ แล้วใช่หรือไม่?” ดวงตาของผู้อาวุโสเจ็ดหลิวอวิ๋นเปล่งประกายสว่างเรืองขึ้นขณะเอ่ยถาม
“ใช่” ไป๋ชิวหรานยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนเอ่ยถามกลับ “ข้าว่างมากทีเดียว มีอะไรรึ?”
“เช่นนั้นเหตุใดพวกเราไม่มอบแม่นางรั่วเวยให้ท่านอบรมฝึกสอนด้วยตนเองเสียเลยล่ะ?” หลิวอวิ๋นเสนอ “แม่นางถังอยู่ในระดับฐานวิญญาณสวรรค์เช่นเดียวกันกับท่านเมื่อครั้งก่อนหน้า นิสัยใจคอหรือก็ต่างรู้จักคุ้นเคยกับท่านเป็นอย่างดี ฝากให้นางเป็นศิษย์ของท่านนับว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน”
“ข้าจะสั่งสอนสิ่งใดนางได้ ข้าบรรลุเพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น” ไป๋ชิวหรานโบกไม้โบกมือ “ฝากฝังนางไว้ให้เป็นศิษย์ของใครสักคนในบรรดาพวกเจ้าทั้งเจ็ดไม่ดีกว่าหรือ?”
“ไอหยา พวกเราทั้งเจ็ดคนต่างก็เคยมีประสบการณ์ร่ำเรียนวิชาจากท่านเป็นการส่วนตัวมาก่อน พวกเราวางใจว่าท่านสามารถอบรมนางได้อย่างแน่นอน” หลิวอวิ๋นออกหน้าอย่างเต็มที่ พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสานเจตนารมณ์แทนศิษย์พี่ใหญ่ของตน “พวกเจ้าว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”
“ถูกต้องแล้ว พวกเราทั้งเจ็ดต่างได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ลุง จึงประสบความสำเร็จในชีวิตการฝึกตนดังเช่นทุกวันนี้” ผู้อาวุโสสองเสวียนอวิ๋นจื่อตบต้นขาฉาดใหญ่อย่างเห็นด้วยพร้อมกล่าวเสริม “ผู้ใดกันจะบังอาจกล่าวหาว่าท่านอาจารย์ลุงไม่สามารถสั่งสอนศิษย์ได้ เหล่าผู้ฝึกตนอาวุโสเช่นพวกเราทั้งเจ็ด หรือแม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเจ้าสำนักจะได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของสำนักกระบี่ชิงหมิงหรอกหรือ?”
“พวกเจ้าทั้งหลายคงไม่ได้วางแผนการใด ๆ ลับหลังข้าใช่หรือไม่?” เมื่อเห็นการกระทำที่แปลกไปของพวกเขา ไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลงใจ
“ไม่ ๆ ไม่อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดส่ายศีรษะโดยพร้อมเพรียงกัน ส่วนเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเป็นลมล้มพับไป ดังนั้นผู้อาวุโสหกจึงพยายามบีบศีรษะและเขย่าศีรษะของเขาเพื่อปลุกให้ฟื้น
“ถึงอย่างไร เรื่องนี้คงต้องสอบถามความเห็นจากเจ้าตัว” ไป๋ชิวหรานหันไปมองถังรั่วเวยที่กำลังนั่งจิบชาอย่างเงียบเชียบอยู่ด้านข้าง ไม่กล้ากล่าวแทรกกลางวงสนทนาแต่อย่างใด
“แม่นางถัง เจ้ายินดีจะคารวะข้าเป็นอาจารย์หรือไม่? ข้าต้องขอออกตัวก่อนว่าข้าบรรลุเพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น”
ถังรั่วเวยเหลือบมองเหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ชิงหมิงโดยสัญชาตญาณ ผลปรากฏว่าผู้อาวุโสเหล่านั้น นอกเหนือจากผู้อาวุโสสามที่นิสัยไม่ยินดียินร้ายใด ๆ และท่านเจ้าสำนักที่ยังสลบไสลไม่ได้สติแล้ว ทุกคนล้วนส่งสายตาให้นางตอบตกลง ส่วนผู้อาวุโสสองถึงขั้นอ้าปากพะงาบ
อืม…ถึงแม้นางไม่รู้ว่าพวกเขาทำเช่นนี้ไปด้วยเหตุใด แต่เนื่องจากทุกคนต่างเป็นคนใหญ่คนโตในสำนัก ฉะนั้นตอนนี้นางควรให้ความร่วมมือกับพวกเขาไปก่อน
ถังรั่วเวยคิดเช่นนั้นแล้วจึงหันไปพยักหน้าให้ไป๋ชิวหราน “แน่นอนว่าข้ายินดี ต่อให้ข้าไม่เข้าใจโลกของผู้ฝึกตนมากนัก และแม้ว่าขั้นการฝึกตนของเจ้าจะต่ำต้อยกว่าผู้อื่น แต่พลังความแข็งแกร่งของเจ้านั้นถือเป็นของจริง”