ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 230 ยมโลก
บทที่ 230 ยมโลก
ที่มั่นสำนักอสูรสวรรค์ ถ้ำของจี้หลิงอวิ๋น
จี้หลิงอวิ๋นต้อนรับไป๋ชิวหรานและเจียงหลานผู้เพิ่งถูกศิษย์ของสำนักอสูรสวรรค์พามา
“มีเรื่องสำคัญอันใดที่ทำให้บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงต้องมาเยือนเช่นนี้?”
ขณะสั่งคนให้นำชามาให้ไป๋ชิวหรานและเจียงหลาน นางจึงถามด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
“แล้วจิ่นเหยาเล่า? นางไม่ได้กลายเป็นผู้ติดตามของเจ้าหรือ? เหตุใดนางถึงไม่กลับมาพร้อมกับเจ้า?”
“เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้ด้วยส่วนหนึ่ง”
ไป๋ชิวหรานรับชามาจิบ รสชาติชาของสำนักอสูรสวรรค์ธรรมดายิ่ง อาจจะเพราะศิษย์ในสำนักเสพติดสุรามากกว่าทำให้ไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้
“แม่นางหลีกำลังล่าถอยไปทะเลตะวันออก คงไม่กลับมาสักพัก”
“เก็บตัวอีกแล้ว ยัยเด็กอวดดีคนนี้”
จี้หลิงอวิ๋นพึมพำ
“อา ช่างเถอะ ๆ อย่างไรนางก็โตขึ้นแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องความรัก ข้ายิ่งไม่สามารถรับมือกับนางได้”
“เจ้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือ?”
ไป๋ชิวหรานประหลาดใจ
“ต่อให้ไม่เห็นด้วย แต่ข้าจะไปทำอะไรได้? ไปฝูซางเพื่อขอให้กลับมางั้นหรือ? หากนางออกมารอบนี้แล้ว… คาดว่าข้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอีกต่อไป”
จี้หลิงอวิ๋นถอนหายใจขณะกล่าวออกมา
“หญิงสาวคนนั้นไม่มีทางโอนอ่อนกับข้าแน่ แต่ก่อนที่ร่ำเรียนด้วยกัน นางไม่เคยยอมอาจารย์ด้วยซ้ำ”
“สมกับเป็นสำนักอสูรสวรรค์ที่มีมรดกตกทอดมาอย่างยาวนาน”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยความนับถือ
“ประเพณีหลอกอาจารย์แล้วทำลายบรรพชนมันก็ไม่ต่างกันหรอก”
“คิดว่าที่จิ่นเหยาไม่เชื่อฟังมันเป็นความผิดของใครกันล่ะ?”
จี้หลิงอวิ๋นชำเลืองมองไป๋ชิวหรานด้วยความเดือดดาล
“นางไม่น่าพบเจ้าตั้งแต่แรกเลย”
“เกี่ยวอะไรกับข้า?”
ไป๋ชิวหรานไม่เข้าใจว่ามันเชื่อมโยงกันได้อย่างไร
ขณะมองท่าทีของเขา จี้หลิงอวิ๋นก็ส่ายหน้าไปมาก่อนจะหันไปหาเจียงหลานแล้วถามว่า
“ถ้าเช่นนั้นบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง หญิงสาวผู้นี้คือใคร?”
“อ๋อ นี่คือภรรยาของข้า เจียงหลาน”
ชายหนุ่มเอ่ยแนะนำคนข้างกาย
“ว่าอย่างไรนะ? ภรรยาหรือ?”
จี้หลิงอวิ๋นอยากทุบตีคนตรงหน้าเสียแต่ตอนนี้ แต่ขณะที่กระบี่ถูกชักออกจากฝักได้ครึ่งหนึ่ง นางสังเกตสีหน้าของไป๋ชิวหรานแล้วพลันเข้าใจว่านางไม่น่าจะสามารถเอาชนะเขาได้
ไม่นานสีหน้าของนางก็อ่อนลง และทำได้เพียงเก็บกระบี่สองเล่มกลับเข้าไปในฝักเท่านั้น
“เจ้าผู้ชายขี้เหม็น ช่างไร้ยางอายนัก!”
นางต่อว่าไป๋ชิวหรานอย่างเกรี้ยวกราด
“หา ข้าผิดได้อย่างไร?”
สีหน้าของไป๋ชิวหรานสับสนมากยิ่งขึ้น
“ช่างเถอะ”
จี้หลิงอวิ๋นถอนหายใจแล้วกล่าวว่า
“หญิงสาวคนนั้นรักในสิ่งที่ชอบ ข้าไม่สามารถควบคุมนางได้อีกแล้ว… ถ้าเช่นนั้นบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงยังมีอะไรที่ต้องมาทำที่นี่อยู่อีกหรือ? ถ้าไม่มีอะไร เช่นนั้นจี้หลิงอวิ๋นคงต้องขอตัวไปพบแขกก่อน”
นางดูหงุดหงิดมาก และไป๋ชิวหรานมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำตอนมาที่นี่
“เจ้าสำนักจี้ ข้าได้ยินมาว่าหวงฝู่เฟิงเพิ่งกลับจากการโจมตีขับไล่อสูร”
ไป๋ชิวหรานถามนาง
“ศพของอสูรนั่น เจ้าได้เก็บไว้หรือไม่?”
“ยังเก็บไว้ที่นี่”
จี้หลิงอวิ๋นหักห้ามโทสะเอาไว้และตอบว่า
“อาจารย์นำมันกลับมาที่สำนัก พวกศิษย์ในสำนักกำลังศึกษาโครงสร้างร่างกายของมัน”
“ข้าขอดูได้หรือไม่?”
จี้หลิงอวิ๋นไม่ตอบ ทว่าเพียงแค่เรียกศิษย์ออกมาแล้วสั่งให้พาไป๋ชิวหรานและเจียงหลานไปที่ที่เก็บศพเอาไว้
ศพของอสูรมีขนาดใหญ่ มันถูกวางกองบนแท่นขนาดเล็กในสำนักอสูรสวรรค์ อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบริเวณผนังภูเขาดูเหมือนกับเนินก็ไม่ปาน
มันมีใบหน้าและกรงเล็บสีเขียวมรกต สามหัวหกแขน เปี่ยมด้วยร่องรอยความสง่า ท่อนบนเปลือยเปล่า กงล้อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกสวมที่แขนทั้งสองข้าง
ศิษย์จำนวนมากในสำนักอสูรสวรรค์ยืนอยู่ข้างพวกเขา และกำลังตรวจวัดหาข้อมูลทั้งหลายของศพนี้ หวงฝู่เฟิงยืนอยู่ด้านข้างเช่นกัน เมื่อเขาเห็นไป๋ชิวหรานและเจียงหลานเดินเข้ามาจึงสาวเท้าเดินเข้าหา ก่อนกล่าวทักทายพวกเขาสองคน
“สวัสดีบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง มาเที่ยวเล่นหรือ? แม่นางคนนี้เป็นใครกัน?”
“ภรรยาข้าน่ะ”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“โอ้…”
หวงฝู่เฟิงประหลาดใจ ทว่าความคิดของเขาคล้ายกับไป๋ชิวหรานมากในบางประการ ดังนั้นจึงทำเพียงคำนับให้เจียงหลาน ไม่คิดหาเรื่องเหมือนอย่างที่จี้หลิงอวิ๋นและโหยวเหมยเฉียวทำ
“นี่คืออสูรที่เจ้าสังหารหรือ?”
ไป๋ชิวหรานมองศพ ขณะเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว”
หลังจากตอบแล้ว หวงฝู่เฟิงก็เผยรอยยิ้มสดใสออกมา
“อย่าไปดูเลย อสูรตนนี้ทรงพลัง มีพลังเหนือธรรมชาติพิเศษบางอย่าง ทำให้เสียเวลาในการฆ่าไปมากโข… ซ้ำยังไม่รู้ว่าเจ้าอสูรนี่มาจากที่ใด ข้าไม่เคยเห็นสัตว์ประเภทนี้ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินมาก่อน”
“นี่ไม่ใช่อสูรจากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน”
จื้อเซียนบนเข็มขัดของไป๋ชิวหรานทะยานขึ้นลง หลังจากมองศพบนพื้นแล้วกล่าวว่า
“นี่คืออสูร”
“เอาล่ะ”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“สิ่งที่กังวลกลายเป็นจริงแล้ว”
“อืม”
หวงฝู่เฟิงแตะศีรษะตัวเองเบา ๆ
“อสูรก็คือ… อสูรที่ว่านั่นน่ะหรือ?”
“ใช่แล้ว อสูรยักษ์ของสำนักอสูรสวรรค์นั้นมองไม่เห็น แต่โฉมหน้าที่แท้จริงของเทพอสูรกลับจับต้องได้ แรงบันดาลใจทั่วไปมาจากสิ่งมีชีวิตจำพวกอสูร”
จื้อเซียนวนไปมาในอากาศ จากนั้นอธิบายว่า
“นี่คือสิ่งมีชีวิตอยู่ที่โลกใต้อาณัติของยมโลกสามารถจุติจากวิญญาณมนุษย์ได้ และพวกมันก็กระหายสงครามมาก”
“ทำไมสิ่งมีชีวิตจากยมโลกถึงมาหาพวกเราล่ะ?”
หวงฝู่เฟิงประหลาดใจ
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร มีเพียงแต่ต้องไปยมโลกเท่านั้นถึงจะเข้าใจ”
จื้อเซียนกลับมาอยู่ที่เข็มขัดของไป๋ชิวหราน และชายหนุ่มกล่าวกับหวงฝู่เฟิงว่า
“ก็ตามนั้น โปรดแจ้งสำนักต่าง ๆ ของสำนักประตูวิเศษ… จะว่าไปข้ารบกวนพวกเจ้าแจ้งห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมให้ทราบ เกรงว่าจะยังคงมีเหตุการณ์หลอกหลอนในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน แล้วให้พวกเขาส่งศิษย์ไปตรวจสอบเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ”
“ข้าทราบแล้ว”
หวงฝู่เฟิงพยักหน้าแล้วเหลือบมองไป๋ชิวหรานผู้กำลังออกไปพร้อมเจียงหลาน ก่อนจะถามอีกครั้งว่า
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไปไหนหรือ?”
“ไปเดินเล่นที่ยมโลกน่ะ”
ชายหนุ่มตอบ
“ข้าจะปล่อยให้ระเบียบแห่งความเป็นความตายยุ่งเหยิงเช่นนี้ไม่ได้ หากพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็ต้องยื่นมือเข้าช่วย”
ทั้งสองออกจากสำนักอสูรสวรรค์ไป จากนั้นจึงเตรียมตัวมุ่งสู่ยมโลก
หนทางสู่ยมโลกไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขาสองคน นอกจากการฝึกฝนและความรู้ของเจียงหลานแล้ว แม้กระทั่งในถ้ำจื้อเซียนเดิม ก็มีวิธีเคลื่อนย้ายทางตรงสู่ยมโลกเช่นกัน
ยิ่งเป็นไป๋ชิวหรานผู้เคยก่อตั้งและสร้างยมโลกด้วยตัวเองยิ่งแล้วใหญ่…
ตำแหน่งพิกัดของยมโลกในความว่างเปล่า ยังคงแจ่มชัดในสายตาของเขา!
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ทั้งสองจึงมาถิ่นทุรกันดารที่ไม่มีใครอยู่ ในเวลาเดียวกันไป๋ชิวหรานชักกระบี่ออกมา ซึ่งกระบี่แยกช่องว่างมิติที่นำไปสู่ยมโลกออกห่างจากกัน
รอยแยกที่เพิ่งปรากฏขึ้น เหล่าภูตผีจำนวนมากต่างกรีดร้องและพร้อมที่จะออกมา แจต่ไป๋ชิวหรานฟาดภูตผีเหล่านี้ให้พ้นทางด้วยฝ่ามือเดียว จากนั้นพาเจียงหลานกับจื้อเซียนข้ามช่องว่างเข้าสู่ยมโลกที่ผ่านไปนานกว่าสามแสนปี
นภายังคงหมองหม่น แต่งแต้มด้วยแสงสว่างสีแดงเล็กน้อยที่สาดส่องมายังปฐพี ตำแหน่งที่ทั้งสองอยู่คือชายหาดของแม่น้ำแห่งความตาย บนชายหาดนี้ มีภูตผีนับไม่ถ้วนร่อนเร่ไปมา
มีกฎเกณฑ์บางอย่างระหว่างสวรรค์และปฐพีอยู่ ทำให้ภูตผีไร้ความสามารถในการเหาะเหินได้อย่างอิสระ ส่งผลให้พวกมันต้องอยู่บนชายหาด
“ข้ามองไม่เห็นเงาแถวนี้เลย”
ต่อหน้าภูตผีที่มองเห็นได้เหล่านี้ เจียงหลานวางตัวอย่างสงบ นางหันมองซ้ายขวาแล้วกล่าวกับไป๋ชิวหรานว่า
“น่าจะมียมทูตสักสองสามตนบนชายหาดเพื่อคอยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เห็นเลย”
ไป๋ชิวหรานมองดูเช่นกัน จากนั้นจึงกล่าวว่า
“ไปข้างหน้ากันเถอะ”