ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 234 เดินเข้าไป หรือส่งสาส์น…
บทที่ 234 เดินเข้าไป หรือส่งสาส์น…
บทที่ 234 เดินเข้าไป หรือส่งสาส์น…
“มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?”
ไป๋ชิวหรานถาม
“ก็ไม่เชิง”
ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นส่ายศีรษะ
“ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี”
ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อ
“ไม่ว่าวิญญาณเทวะเหล่านี้จะถูกกำจัดโดยสังสารวัฏหกวิถีหรือวิญญาณเทวะของพวกมันจะถูกพรากไปโดยผู้ที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้น อย่างไรแล้วมันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริง… เพราะเราต้องทำลายพวกมันทั้งหมด”
“บรรพบุรุษเซียนกล่าวถูกต้องแล้ว”
ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นพยักหน้า
“แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไร?”
เจียงหลานเหลือบมองลำแสงก่อนจะถามต่อ
“มีโอกาสถึงเก้าในสิบที่มีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“อย่าตื่นตระหนกไป ตอนนี้ภายในยมโลก มีเพียงคนเดียวที่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเรา และคนที่ทราบว่าเรามาถึงยมโลกแล้วมีเพียงท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานจ้องมองท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นอย่างตั้งใจ
“เว้นแต่… ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหลัง แต่ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่หรือไม่?”
เมื่อถูกไป๋ชินหรานจ้องมองท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นรู้สึกกดดันโดยไม่ทราบสาเหตุ นี่เป็นแรงกดดันที่ไม่ได้เผชิญหน้ามากว่าหลายแสนปี
เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วและตอบกลับ
“ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน… ข้าวางมือมานานหลายปีแล้ว”
“เช่นนั้นก็ย่อมไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานยิ้มให้เจียงหลานและกล่าวว่า
“หลานเอ๋อร์ ข้ามีความคิดบางอย่าง… ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋น โปรดพาพวกเราออกไปนอกเขตอำนาจของราชาอสูรฟ้าทมิฬ และเพียงแค่หาสถานที่เพื่อทิ้งเราไว้ที่นั่นก็พอ”
“ถูกต้อง ความคิดของบรรพบุรุษเซียนยอดเยี่ยมแล้ว”
ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นยังไม่อาจคาดเดาได้ชัดเจนว่าไป๋ชิวหรานหมายถึงอะไร แต่เขาก็ตอบรับ
“เช่นนั้นข้าจะพาทั้งสองออกไป”
ในฐานะเซียนอมตะอย่างเช่นท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นนั้นมีความคล่องตัวอย่างมาก เขาพาไป๋ชิวหรานและเจียงหลานออกจากผนึก และภายในครึ่งวันพวกเขาก็มาถึงสุดขอบเขตแดนโลกอสูร
“นี่คือเขตแดนของโลกอสูร อยู่นอกอำนาจของราชาอสูรฟ้าทมิฬ แต่มันมักจะวุ่นวายอยู่เสมอ เนื่องจากความวุ่นวายนี้ นี่จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหากพวกท่านอยู่ที่นี่และกระทำตัวตามปกติ มันจะไม่ดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นแน่นอน”
ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นพาทั้งสองมาที่นี่ก่อนจะกล่าวกับไป๋ชิวหราน
“แล้วท่านทราบหรือว่าพวกข้าจะทำสิ่งใด?”
ชายหนุ่มแย้มยิ้มและถามออกไป
“ข้าก็เพียงคาดเดาไว้เท่านั้น”
ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นยิ้มให้ไป๋ชิวหรานก่อนจะกล่าวต่อ
“อย่างไรชายชราตัวน้อยนี้ก็วางมือมานาน และจะไม่รบกวนพวกท่านทั้งสองอีก หากในโลกอสูรมีบางสิ่งเกิดขึ้นจริง… เช่นนั้นข้าคงมีบางสิ่งต้องไปจัดการ”
“เช่นนั้นจึงขอกล่าวลาตรงนี้”
ไป๋ชิวหรานโบกมือให้เขา
ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นโค้งคำนับให้ทั้งสอง ในเวลาเดียวกันร่างกายของเขาเผยแสงประกายสีม่วงออกและเหาะเหินขึ้นท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ไป๋ชิวหรานถอนสายตาออกก่อนจะหันมายิ้มให้เจียงหลาน
“พวกเราก็ไปกันเถิด”
“อืม”
เจียงหลานตอบกลับพร้อมกับจับมือไป๋ชิวหราน
ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองเดินมา ชายหญิงกลุ่มหนึ่งของโลกอสูรก็ปรากฏตัวขึ้นที่ถนนด้านหน้า พวกเขาอยู่ในชุดเกราะพิเศษสำหรับการต่อสู้ มันดูสวยงามวิจิตร… ในเวลานั้นชายอสูรสี่แขนได้ปรากฏตัวขึ้น เขาตะโกนบอกคนด้านหลัง
“มาเถิด ข้าเพิ่งเห็นแสงสีม่วงตกลงมาที่พื้น คงจะมีทารกมาเกิดที่นี่ หากพวกเราไม่รีบ คนอื่นคงจะคว้าเอาไปเสียก่อน”
ชายและหญิงของเผ่าอสูรที่อยู่เบื้องหลังติดตามมาพร้อมกับสาปแช่ง จากนั้นพวกเขาก็เห็นไป๋ชิวหรานและเจียงหลานยืนอยู่บนถนน
“หืม? พวกเจ้าเป็นใคร? เผ่าพันธุ์มนุษย์?”
ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานมองหน้ากัน จากนั้นหันศีรษะกลับมายิ้มบางเบา
ไป๋ชิวหรานปล่อยมือเจียงหลาน ขณะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับโบกมือให้กลุ่มอสูรทั้งชายและหญิง
“มานี่สิ ข้ามีอะไรจะบอกพวกเจ้า”
…
เวลาต่อมา ไป๋ชิวหรานบิดแขนของเขาจนผิดรูป แล้วเหลือบมองอสูรที่จมูกฟกช้ำและใบหน้าบวมเป่งอยู่บนพื้นก่อนจะถามว่า
“พอใจหรือยัง?”
“พะ… พอแล้ว พอก่อน”
อสูรชายหญิงทั้งหมดล้วนแต่ก้มลงยอมสยบแต่โดยดี
“ท่านคือพี่ใหญ่ ท่านคือพี่ใหญ่”
เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ไม่รู้จักนี้ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังสามารถเอาชนะผู้อื่นได้อย่างเจ็บแสบ แม้แต่สตรีของเผ่าอสูรยังต้องออกมาคำนับ
ดังที่ทราบ ลักษณะของเผ่าอสูรคือสตรีทั้งหมดล้วนแต่เป็นหญิงงาม ในวันธรรมดา เหล่าอสูรชายมักจะสร้างสงคราม พวกเขาจะไม่ต่อสู้กับผู้หญิง อีกทั้งยังทักทายสตรีของเผ่าอสูรด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
หลังจากเผชิญหน้ากับการต่อสู้เช่นนี้ เหล่าสตรีเกรงว่าจะเสียโฉม บุรุษก็เกรงว่าภรรยาในอนาคตจะเสียโฉม และเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจึงรีบก้มหัวลงและยอมศิโรราบ
“อืม ทีนี้…”
ไป๋ชิวหรานมองเสื้อคลุมสีขาวบนร่างกายของตนเอง และเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวบนร่างกายของเจียงหลาน จากนั้นเหลือบมองชุดเกราะของอสูรชายและเครื่องแต่งกายของอสูรหญิงที่คล้ายกับสาวเต้นระบำ… นั่นเป็นเหตุให้ต้องขมวดคิ้วแน่น
“หลานเอ๋อร์ เราต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่?”
“เรื่องนี้…”
เจียงหลานเหลือบมองเครื่องแต่งกายที่เปิดเผยสัดส่วนบนร่างกายของสตรีอสูร แววตาฉายถึงความลังเล
“หากเจ้าต้องการ ชิวหราน…”
“นี่พวกเจ้า”
ไป๋ชิวหรานถามชายอสูรตรงหน้าว่า
“สตรีที่นี่มีเครื่องแบบอื่นอีกหรือไม่?”
“มีชุดเกราะสำหรับต่อสู้อยู่”
อสูรชายเงยหน้าตอบกลับ
“ยอดเยี่ยม”
ชายหนุ่มโบกมืออย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกล่าวต่อ
“พาข้าไปดูที”
อสูรตนนั้นมองมาที่เขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“แต่ชุดเกราะนั้นอยู่ในมือของเผ่าอสูรที่แข็งแกร่งที่สุด และพวกเขาจำเป็นต้องใช้มันเพื่อไล่ตามราชินีอสูรที่อยู่ใกล้ ๆ”
“ไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าและพูดว่า
“พาข้าไปที่นั่นก็พอ”
เมื่อเห็นว่าเหล่าอสูรทั้งหมดลังเลใจ ไป๋ชิวหรานจึงกล่าวกระตุ้นอีกครั้ง
“เฮอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปทุบตีคน ไม่กล้างั้นหรือ? พวกเจ้ายังเป็นอสูรอยู่หรือไม่?”
“อะไรนะ? พาไปต่อสู้งั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าอสูรทั้งหมดพลันตื่นตระหนก
“ไร้สาระ! ข้าผ่านมาทางนี้ และมีเพียงสองคนเท่านั้น พวกเจ้าจะไม่ให้ข้าหยิบยืมแรงหน่อยหรือ? อยากโดนอีกหรือไม่!”
ไป๋ชิวหรานกล่าวพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้น
อสูรเหล่านี้กระซิบกระซาบกันอย่างรวดเร็ว แม้ว่าอสูรอย่างพวกเขาจะมีพลังล้นเหลือแต่ก็ไม่อาจต่อสู้อีกฝ่ายได้ แต่หลังจากที่มีไป๋ชิวหรานกลับรู้สึกว่าคราวนี้อาจได้รับชัยชนะ
ธรรมชาติที่กระหืดกระหายสงครามของเหล่าอสูรทั้งหมดถูกกระตุ้นทันที พวกเขากระโดดขึ้นมาทีละตนอย่างกระตือรือร้น โดยไม่คำนึงถึงรอยแผลบนร่างกายเลย ต่างกู่ร้องตะโกนออกมาอย่างยินดี และอยากจะนำทางไป๋ชิวหรานไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยเร็ว
ภายใต้การนำของพวกเขา ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานมายังกองกำลังที่ราชวังซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ
“นี่คือราชวังของเผ่าอสูร”
อสูรสี่แขนแนะนำไป๋ชิวหราน
“แล้วหากต้องการประกาศสงคราม ต้องทำอย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานแตะคางก่อนจะกล่าวถาม
“ข้าควรจะเดินผ่านประตู หรือว่าส่งสาส์นเข้าไป?”
“ประกาศสงครามนั้นง่ายดาย พี่ใหญ่ดูนั่นสิ”
อสูรสี่แขนก้าวไปด้านหน้า จากนั้นยกเท้าขึ้นพร้อมกับเตะประตูวังจนกระเด็นออก
“จิวหมัวเทียน!”
เขาร้องตะโกนเสียงดัง
“ออกมารับความตายเดี๋ยวนี้!”