ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 235 ไปให้พ้น นังสารเลว
บทที่ 235 ไปให้พ้น นังสารเลว
บทที่ 235 ไปให้พ้น นังสารเลว
“ไอ้บัดซบตัวไหนมันมาพ่นอุจจาระที่ประตู?!”
หลังจากที่ประตูพระราชวังถูกเตะกระเด็น เสียงดังจากการพังทลายของประตูดึงดูดเจ้าของวังทันที
เสียงคำรามดังสนั่น อสูรชายร่างสูงใหญ่สามเนตรเดินออกมา
มีชายหญิงหลายสิบตนที่เดินออกมาพร้อมกับอสูรตนนั้น ไม่ว่าในแง่ของจำนวนหรือความแข็งแกร่ง พวกเขาทั้งหมดล้วนเหนือชั้นกว่าอสูรที่ติดตามมากับไป๋ชิวหราน
อสูรสามเนตรออกมายืนต่อหน้าฝูงชน เขามองไปรอบ ๆ พร้อมกับจับจ้องอสูรสี่แขนตรงหน้าแล้วถามว่า
“เป็นเจ้างั้นหรือ? รนหาที่ตายดีนี่!”
“ไม่ใช่ข้าที่จะท้าทายท่าน”
อสูรสี่แขนก้าวถอยไปด้านหลัง จากนั้นชี้ไปทางไป๋ชิวหรานก่อนจะกล่าวแนะนำ
“เป็นพี่ใหญ่ของข้า!”
“หืม? เผ่าพันธุ์มนุษย์?”
อสูรสามเนตรมองไป๋ชิวหรานก่อนจะยกกระบี่รูปเปลวเพลิงในมือขึ้นมา
“มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่หากคิดมารบกวนช่วงเวลาดี ๆ ของข้าผู้นี้ เจ้าจะไม่มีวันได้กลับไป!”
ขณะที่อสูรสามเนตรกล่าวคำ หางตาของไป๋ชิวหรานตรวจสอบรอบข้าง เขาเห็นว่ามีอสูรหญิงรูปร่างงดงาม ทว่ามีใบหน้าเย็นชายืนอยู่ตรงหน้า อสูรหญิงผู้นี้งดงามกว่าอสูรหญิงตนอื่น อีกทั้งยังสวมใส่ชุดเกราะต่อสู้สำหรับสตรี เป็นชุดเข้ารูปสีม่วง แม้ว่าจะไม่เปิดเผยสัดส่วนมากนัก แต่ความโค้งเว้านั้นไม่สามารถปิดบังได้มิด เมื่อเทียบกับอสูรหญิงตนอื่นแล้ว มันน่ารับชมกว่ามาก!
ไป๋ชิวหรานตระหนักได้ทันที เขามองเจียงหลานก่อนจะถามว่า
“เจียงหลาน เจ้าคิดอย่างไรกับชุดเกราะต่อสู้นั้น?”
เจียงหลานมองไปตามทิศทางที่เขาบอกกล่าว ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
“อย่างน้อยก็ปกปิดกว่าชุดอื่น”
“ดี!”
ไป๋ชิวหรานโบกมือและตะโกนไปที่อสูรกว่าสิบคนที่เขาเพิ่งสยบได้
“ในเมื่อพวกเรามาที่นี่เพื่อต่อสู้ เช่นนั้นก็มาต่อสู้เคียงข้างข้า!”
เมื่อกล่าวจบ เขาวิ่งตรงเข้าไปด้านหน้าพร้อมกับอสูรจำนวนหนึ่งโหล ฝ่ายอสูรสามเนตรมองดูด้วยความเย้ยหยัน ก่อนจะพุ่งออกไปพร้อมกับกลุ่มอสูรด้านหลัง พวกเขาเดือดดาลและกระหายสงครามยิ่ง
…
ไม่กี่อึดใจต่อมา ไป๋ชิวหรานโยนอสูรสามเนตรลงบนพื้นพร้อมกับใบหน้าที่บวมเป่งของอีกฝ่าย
ความแข็งแกร่งของอสูรตนนี้เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ และมันไม่รู้จักอาวุธเวท หรือพลังอาคม แต่กลับมีเพียงความสามารถเดียวเท่านั้นคือการยิงลำแสงเวทจากดวงตาที่สามเพื่อโจมตีใส่ศัตรู ดูเหมือนว่าตอนนี้มันกำลังอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายและพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
“เก่งกาจนักงั้นหรือ… พี่ชาย”
ไป๋ชิวหรานนั่งลงและตบใบหน้าที่บอบช้ำของอสูรสามเนตรที่นอนกองอยู่บนพื้นอย่างเวทนา
“เฮอะ เจ้าชนะแล้ว!”
อสูรสามเนตรผู้นี้แข็งแกร่งไม่น้อย
“พวกเรามาที่นี่เพื่อรับสิ่งนี้!”
ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้มเย็นชา จากนั้นเหยียดมือออกไปและหยิบชุดเกราะของอสูรชาย
“และต้องการสิ่งอื่น ๆ ด้วย”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มผิดเพี้ยน อสูรสามเนตรจึงรีบเอามือไปปิดก้นของตัวเองไว้และกุรีกุจอถอยหลังกลับ
“เจ้าอยากได้สิ่งใด?!”
“หยุดกล่าวไร้สาระ!”
ไป๋ชิวหรานเย้ยหยันก่อนจะทุ้มอีกฝ่ายลงไปนอนบนพื้นอีกครั้ง หลังจากนั้นเหยียดมือออกไปดึงชุดเกราะสีแดงที่อยู่บนร่างกายนั้นออกมา
“เกราะนี้ดูดีไม่น้อย ข้าขอ!”
“พี่ชาย ไม่นะ!”
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋ชิวหรานก็สวมชุดเกราะนั้นบนร่างกาย และเปิดการใช้งานทักษะขัดเกลาเพื่อให้สัดส่วนของเกราะนี้สามารถใส่บนร่างกายของตัวเองได้
ชายหนุ่มตบชุดเกราะต่อสู้บนร่างกายก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นหันมองอสูรหญิงทรงเสน่ห์ตรงหน้า
เมื่อเห็นชายหนุ่มจ้องมองมา… ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด คราวแรกที่นางเผยความเย็นชาออก แต่ในคราวนี้กลับแสดงความเขินอายอย่างไม่อาจปกปิด
ดวงตาของนางเปียกชื้น ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น ก่อนจะโอบแขนเพื่อกอดตนเองไว้ นางบีบร่างกายของตนเองก่อนที่เนื้อหนังจะทะลักออกมาอย่างเต็มตา
ให้ตายสิ นี่มันวิปริตเกินไปหรือไม่?
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานมีท่าทีไม่สู้ดีนักจึงเหลือบมองเจียงหลาน แต่อีกฝ่ายไม่ได้มองเขา นางกำลังจับจ้องอสูรตนนั้นด้วยความไม่พอใจ
ไม่มีทางเลือกอื่น เจียงหลานยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงเดินเข้าหาอสูรผู้ทรงเสน่ห์ตนนี้ ก่อนจะเอื้อมมือไปกระชากชุดเกราะของนางออกมา
ในท้ายที่สุด ไม่ได้คาดหวังว่าอสูรหญิงตนนี้จะยอมร่วมมือกับการกระทำของเขา
หลังจากถอดชุดเกราะต่อสู้ออกแล้ว เรือนร่างที่สวยงามของอสูรตนนี้ก็ถูกเปิดเผยต่อสายตาอสูรชายทุกตนทันที อสูรชายทั้งหมดพลันเบิกตากว้างและจ้องมองเรือนร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง อย่างไรก็ตามอสูรหญิงตนนี้จับจ้องไป๋ชิวหรานอย่างแน่วแน่ เมื่อเห็นว่าเขากำลังถอดชุดเกราะกระโปรงที่เป็นชิ้นสุดท้ายบนร่างกายออก นางอยากจะเอื้อมมือไปโอบลำคอของไป๋ชิวหราน
นั่นเป็นผลให้ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือออกไปผลักใบหน้าของนางออกไป
“ออกไป… บ้าไปหรือไง!”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองนางด้วยสายตาขุ่นเคือง ก่อนจะหยิบชุดเกราะในมือไว้และเดินตรงไปหาเจียงหลาน
อสูรหญิงทรงเสน่ห์ตนนั้นถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น ร่างกายของนางแข็งทื่อ… ใบหน้าเผยความอับอายระคนโกรธเคืองออกมา
“เดี๋ยวก่อน!”
นางตะโกนบอกไป๋ชิวหราน
“เหตุใดเจ้าถึงเอาชุดเกราะสตรีของข้าให้นางผู้นั้น?”
“เจ้าถามข้างั้นหรือว่าทำไม?”
ไป๋ชิวหรานหันศีรษะก่อนจะกล่าวต่อ
“นี่เป็นกฎของโลกอสูรไม่ใช่หรือ ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมควรค่าแก่การเคารพ?”
“ใช่”
อสูรหญิงทรงเสน่ห์พยักหน้าก่อนจะถามเจียงหลานพร้อมเผยใบหน้าเหยียดหยาม
“เจ้าแข็งแกร่งนั้นถูกต้อง แล้วนางแข็งแกร่งงั้นหรือ? ชุดเกราะนี้ควรเป็นสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดได้สวมใส่ แต่หากเป็นนางข้าไม่มั่นใจ!”
“โอ้?”
เจียงหลานตบชุดเกราะที่ไป๋ชิวหรานมอบให้ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นเจ้าอยากต่อสู้กับข้าหรือไม่?”
อสูรหญิงทรงเสน่ห์พยักหน้าตอบรับ
“เจ้าด้วยหรือ?”
เจียงหลานมองไปรอบ ๆ
อสูรหญิงกลุ่มหนึ่งมองมาที่นาง และทั้งหมดต่างพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น
“เช่นนั้นก็ดี”
เจียงหลานยัดเกราะต่อสู้ใส่มือของไป๋ชิวหราน จากนั้นจึงตรงไปหาเหล่าอสูรหญิง
“เอาเลย”
“อย่าฆ่าพวกนาง”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยคำขาด
“พวกนั้นยังมีประโยชน์อยู่”
เจียงหลานพยักหน้าและเดินตรงไป
กลุ่มอสูรหญิงเข้ามารายล้อมนางเอาไว้ และทั้งหมดถืออาวุธไว้ในมือ ต่างจากอสูรชายที่ถือเพียงกระบี่กับไม้หน้าสาม หรือบางตนอาจใช้เพียงมือเปล่า แต่อสูรหญิงใช้บางสิ่งที่โหดเหี้ยมและรับมือได้ยาก อาวุธที่พวกนางเชี่ยวชาญล้วนแต่เป็นกระบี่จันทรา ใบมีดวงแหวน หมัด กรงเล็บคมปลาบ แส้ยาว หรือตะขอ และอีกมากมาย… นี่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้อ่อนแอกว่าอสูรชาย!
ในทางกลับกัน เหล่าอสูรหญิงมักจะแข่งขันกันเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง พวกนางชั่วร้ายยิ่งกว่าอสูรชายเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะกล่าวว่าเจียงหลานเป็นเพียงไก่อ่อน แต่จริง ๆ แล้วอสูรหญิงเหล่านี้ไม่คิดผ่อนคลายการป้องกันเลย ซ้ำยังทราบดีว่าเมื่อเจียงหลานสามารถยืนเคียงข้างไป๋ชิวหรานได้ นางคงรับมือไม่ได้ง่าย ๆ แต่ว่าพวกนางมีบุคลิกที่แข็งแกร่งและความดื้อด้านฝังลึกในกระดูก ดังนั้นจึงอยากหยอกล้อกับเจียงหลานเสียก่อน แล้วภายหลังจากนั้นถึงจะยอมรับว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งจริง ๆ
ในช่วงเริ่มต้นของการต่อสู้ สมาชิกของกลุ่มอสูรหญิงสองคนใช้หมัดตรงและพุ่งเข้าหาเจียงหลานด้วยความรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน อสูรหญิงตนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวก็ขว้างอาวุธในมือตรงเข้าหาเจียงหลาน
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เจียงหลานเพียงแค่สะบัดผมยาวบนบ่าออก ก่อนจะเผยรอยยิ้มจางบนใบหน้า