ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 236 ข้าเข้าใจแล้ว!
บทที่ 236 ข้าเข้าใจแล้ว!
บทที่ 236 ข้าเข้าใจแล้ว!
ปัง!
หมัดของอสูรหญิงสองคนพุ่งเข้ามาหานางกลายเป็นทุบพื้น และทั้งสองก็ล้มพับไปบนพื้น อีกทั้งยังหมดสติไป…
และอาวุธที่อสูรหญิงคนอื่น ๆ ขว้างกลายเป็นสนิมสึกกร่อนอย่างลึกลับ ควันสีขาวลอยวนอยู่ในอากาศ เมื่อพวกมันเข้าใกล้เจียงหลานในรัศมีเกือบสองจั้ง ทั้งหมดก็กลายเป็นเพียงของผุพัง
“ระวัง!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ อสูรหญิงทรงเสน่ห์ที่เป็นผู้นำตะโกนออก
“สตรีผู้นี้ใช้พิษ!”
อสูรหญิงที่อยู่รอบ ๆ ถอยกลับมาตั้งหลักอีกครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเจียงหลานไม่คิดปล่อยพวกนางไปโดยง่าย พิษที่มองไม่เห็น ไร้รส สี กลิ่นแพร่กระจายออกไปอย่างเงียบเชียบ แม้ว่าทั้งหมดจะล่าถอย แต่ยังมีอสูรหญิงหลายคนถูกพิษจนล้มลง ทุกตนล้วนหมดสตินอนกองอยู่บนพื้น
“จัดการมัน”
อสูรหญิงเหล่านั้นขบฟันสีเงินของตนแน่น ต่างเผยความดุร้ายออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าการล่าถอยไม่มีประโยชน์ ทั้งหมดวิ่งเข้าหาเจียงหลานด้วยกำลังที่มี ในเวลาเดียวกันอสูรเหล่านั้นยังสามารถใช้พลังเวทหรืออาวุธขว้างปาที่สามารถโจมตีจากระยะไกลได้ ทั้งหมดพุ่งเข้าหาเจียงหลานหมายจะปลิดชีพในคราวเดียว!
แต่พลังเหนือธรรมชาติของอาวุธเหล่านั้นล้วนถูกกัดกร่อนโดยหมอกพิษไร้ลักษณ์ เมื่อทั้งหมดเข้าใกล้ร่างกายของเจียงหลาน… ห่างไปเพียงไม่กี่จั้ง พิษที่ถูกควบคุมด้วยทักษะพิษของเจียงหลานก็สามารถกัดเซาะพลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้โดยง่ายดาย แสงและเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจึงเป็นภาพที่น่าสยดสยอง
และเหล่าอสูรหญิงที่พุ่งเข้าหานางทั้งหมดต่างล้มลงจนราบเป็นหน้ากลอง สติพร่าเลือนและดับวูบไป
ในท้ายที่สุด มีเพียงอสูรหญิงทรงเสน่ห์ที่ถอดชุดเกราะต่อสู้เหลืออยู่ นางเผชิญหน้ากับหมอกพิษและพุ่งเข้าหาเจียงหลาน
อสูรหญิงทรงเสน่ห์ผู้นี้เป็นนักรบที่เก่งกาจ และยังเป็นอสูรที่กระหายการต่อสู้อย่างไม่มีข้อยกเว้น แม้บนร่างกายจะไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด แต่ในตอนนี้หลงลืมความอับอายไปหมดสิ้นแล้ว ในจิตใจหวังเพียงชัยชนะเท่านั้น!
อีกทั้งอสูรหญิงตนนี้ดูเหมือนจะมีร่างกายที่แปลกประหลาด ซึ่งนางสามารถต้านทานพลังของเจียงหลานและพุ่งเข้ามาได้
หมอกพิษอัมพาตนี้ไม่มีผลใด ๆ ต่ออสูรหญิงตนนี้ นางยึดเพียงความมุ่งมั่นในจิตใจ ตอนนี้ร่างกายแทบจะไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจถือกระบี่อัสนีและกระบี่จันทราอาวุธคู่ใจของตนได้
“ขะ…ข้าสัมผัสมัน!”
ในขณะที่ตะโกนออกมาอย่างอ่อนแรง นางแทบจะยกมือไม่ไหว แต่ยังเอื้อมมือมาสัมผัสบ่าของเจียงหลานได้
“อืม…”
เจียงหลานขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“ดีใจงั้นหรือ?”
จากนั้นนางจับฝ่ามือของอสูรหญิงผู้นี้ด้วยมือเปล่า ก่อนจะเขวี้ยงอีกฝ่ายลงไปกองบนพื้นอย่างน่าเวทนา
…
“พี่หญิง รีบแต่งตัวเร็วเข้า”
กลุ่มอสูรหญิงเข้ามาล้อมรอบเจียงหลาน และยกย่องให้นางรีบสวมชุดเกราะต่อสู้
อสูรเหล่านี้มีดวงตาที่แข็งกระด้างทว่ากลับเจือแววความสดใส แม้แต่อสูรหญิงที่เห็นเจียงหลานแล้วไม่มีความสุขในคราแรก แล้วยังต้องการมีสัมพันธ์กับไป๋ชิวหรานยังหันกลับมาเชื่อมั่นในตัวนางเช่นกัน
“เกราะนี้ค่อนข้างใหญ่ไปหน่อย…”
เจียงหลานสวมใส่มัน แต่ชุดเกราะต่อสู้ที่ควรจะพอดีกับร่างกายนั้นกลับหลวม และกระโปรงลงไปกองอยู่บนพื้น
“พี่หญิง ข้าไม่ทราบ”
อสูรหญิงทรงเสน่ห์ที่เคยยั่วยุนางมาก่อนกล่าวขึ้น ก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปช่วยเหลือ
“เกราะต่อสู้นี้คือสมบัติล้ำค่า มันสามารถเปลี่ยนแปลงขนาดได้ตามต้องการ และเปลี่ยนให้เข้ากับสรีระของผู้ใช้งาน… เพียงเท่านี้”
นางวางมือลงบนชุดเกราะต่อสู้บนร่างกายของเจียงหลาน เกราะเรืองแสงออกมา จากนั้นมันก็พอดีกับร่างกายเจ้าของคนใหม่
“อืม เช่นนี้ก็ดี”
เจียงหลานพยักหน้าแล้วเดินออกไปพร้อมกับกลุ่มอสูรหญิง
ไป๋ชิวหรานกำลังนับจำนวนคนที่อยู่ด้านนอก อสูรทั้งหมดจดจำได้ทันทีว่าชายผู้นี้คือผู้นำของตนหลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้และลงไปนอนอยู่บนพื้น
เมื่อเจียงหลานออกมา ชุดที่เปลี่ยนไปบนร่างกายดึงดูดความสนใจของเขาได้ในทันที ถึงแม้ว่าชุดเกราะจะไม่ได้เปิดเผยร่างกายในส่วนสำคัญมากนัก แต่ในส่วนอื่น ๆ นั้นทำด้วยชุดชั้นในสีม่วงดำ มันถูกสวมใส่บนร่างเพรียวบางของเจียงหลาน ซึ่งเมื่อมองดูทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ไป๋ชิวหรานลอบชำเลืองมองอยู่สองสามครั้ง ซึ่งทำให้จิตใจของเจียงหลานเริ่มเขินอาย ทว่ากลับเบิกบานใจไม่น้อย
หลังจากนับจำนวนทหารใหม่แล้ว เมื่อพิจารณาว่าจะต้องใช้อสูรเหล่านี้คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นฟูร่างกายได้ ไป๋ชิวหรานจึงไม่คิดกดดันพวกเขาจึงจัดการกับบาดแผลก่อน แล้วถึงให้เจ้าของวังตนนั้นนำอาหารและสุราออกมาร่วมดื่มด้วยกัน
หลังจากรับประทานอาหารและดื่มกันจนอิ่มหนำ พวกเขาก็ส่งอสูรทั้งหมดออกไปเพื่อพักฟื้น
ในระหว่างช่วงพักฟื้น เจ้าของเดิมแห่งวังนี้ริเริ่มที่จะมอบวังที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่ให้กับไป๋ชิวหรานและเจียงหลาน
“อย่างไรก็ตาม เหล่าอสูรทั้งหมดจะไม่คิดกบฏใช่หรือไม่?”
หลังจากปิดประตู ไป๋ชิวหรานก็วางจื้อเซียนลงบนโต๊ะแล้วเริ่มพูดคุย
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น”
จื้อเซียนตอบกลับอย่างหนักแน่น
“ลักษณะของเหล่าอสูรคือเคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่ง ตราบใดที่เจ้าไม่พ่ายแพ้ต่อผู้อื่น พวกมันจะไม่ทรยศ”
“หมายความว่าตราบใดที่ผู้นำพ่ายแพ้ พวกมันทั้งหมดจะยอมศิโรราบงั้นหรือ”
ไป๋ชิวหรานถาม
“หากตามความเป็นจริงแล้วเป็นเช่นนั้น”
จื้อเซียนยืนยัน
“แล้วทำไมคราวนี้อสูรถึงก่อกบฏ หากมีนักปราชญ์แห่งยมโลกบุกเข้ามาในกองทัพและเอาชนะผู้นำศัตรู นั่นไม่ได้หมายถึงจุดจบหรือไร?”
ไป๋ชิวหรานถาม
“วิธีนี้มีประโยชน์ ข้าเคยได้ยินจากท่านอาจารย์หยินว่ากลุ่มอสูรก่อกบฏหลายครั้งแล้วในอดีต และยมโลกก็ใช้วิธีนี้เพื่อปราบปรามพวกมัน”
เจียงหลานเข้ามาพร้อมกับถ้วยชาร้อน ก่อนจะวางมันลงตรงหน้าไป๋ชิวหราน
“แต่ข้าได้ยินมาว่ากองทัพของเผ่าอสูรไม่ได้อยู่ภายใต้การนำของราชาอสูรฟ้าทมิฬอีกต่อไป อย่างน้อยในการโจมตีกับป้องกันคราวก่อน ไม่ใช่ว่าพลังต่อสู้ระดับสูงของฝ่ายชั่วร้ายจะไม่สามารถเอาชนะราชาอสูรฟ้าทมิฬได้ แต่กองทัพของเผ่าอสูรไม่มีแนวโน้มที่จะล่มสลายด้วย”
“พวกเขามีผู้นำคนใหม่แล้วหรือ?”
ไป๋ชิวหรานยกชาร้อนขึ้นมาจิบ
“คงเป็นเช่นนั้น”
เจียงหลานพยักหน้า
“ลืมมันไปเสีย ไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานยิ้มและพูดว่า
“อย่างไรก็ตาม แผนของพวกเรายังเป็นไปได้อยู่”
“ถูกต้องแล้ว เจ้าคือที่สุด”
เจียงหลานมองชายหนุ่มพร้อมส่งสายตาที่ต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง
“แค่ก ๆ”
จื้อเซียนที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ เขารีบเหาะทะยานออกไปจากวังไปทันที
“เช่นนั้นข้าจะออกไปก่อน พวกเจ้าจะทำสิ่งใดก็ทำ”
ไป๋ชิวหรานมองดูเจ้าหัวกะโหลกที่บินออกจากหน้าต่างก่อนจะตะโกนว่า
“ระวังอย่าให้โดนอะไรกลับมาอีกล่ะ”
จื้อเซียนไม่ตอบไป๋ชิวหราน หลังจากที่มันออกไปแล้ว ชายหนุ่มเดินไปปิดหน้าต่างและหันกลับมาพบว่าเจียงหลานอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
“ชิวหราน”
นางยังคงสวมใส่ชุดเกราะสีม่วงของเผ่าอสูร และหมุนไปมาตรงหน้าของไป๋ชิวหราน
“ข้าดูดีหรือไม่?”
“ดี”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“มันเป็นเพราะชุดเกราะหรือว่าผู้ที่สวมใส่?”
“ชุดเกราะนี้ดูดีมากเมื่ออยู่บนร่างกายของเจ้า”
ไป๋ชิวหรานเคยช่วยโหยวเหมยเฉียวจับภูตผีเมื่อไม่นานมานี้ และเขาเลือกเอาคำของแขกที่มาเยือนคราวนั้นออกมากล่าว
“ฮ่า ๆ”
เจียงหลานกระโดดโอบกอดลำคอของชายหนุ่มเอาไว้อย่างมีความสุข พร้อมกับใช้ปลายจมูกแตะที่จมูกของเขาอย่างซุกซน
“แล้วตอนนี้เรา…”
…
ความเร็วในการฟื้นตัวของเหล่าอสูรนั้นน่าประหลาดใจ หลังจากผ่านไปเพียงสองวัน รอยแผลเป็นบนร่างกายทั้งหมดที่ถูกไป๋ชิวหรานทุบตีก็หายสนิท
หลังจากที่อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว เหล่าอสูรทั้งหมดเริ่มกระวนกระวายอีกครั้ง และความขัดแย้งก็ปรากฏขึ้นในหมู่ของพวกมัน แต่เนื่องจากเป็นไป๋ชิวหรานที่ยังคงอำนาจไว้จึงทำให้ไม่อาจต่อสู้ได้
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานเรียกหาเทพอสูรสามเนตรที่แข็งแกร่งมากที่สุดในบรรดาอสูรเหล่านี้เข้าพบ
“พี่ใหญ่ มีอะไรกับข้างั้นหรือ?”
อสูรสามเนตรมาที่วังที่เขาเคยอาศัยอยู่ ก่อนจะถามไป๋ชิวหรานด้วยความเคารพ บนใบหน้านั่นไม่แสดงความขุ่นเคืองแต่อย่างใด
“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
ไป๋ชิวหรานมองเขาด้วยแววตาเคร่งขรึม
“ผู้ใดคืออสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณรอบ ๆ นี้?”