ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 24 อาจจะเจ็บนิดหน่อย
บทที่ 24 อาจจะเจ็บนิดหน่อย
“เท่านี้ก็นับว่าได้แล้ว” หลิวอวิ๋นปรบมือพร้อมเผยรอยยิ้ม “ตามกฎแล้ว ศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสและเจ้าสำนักจะได้สวมใส่ชุดสีแดง แม้ว่าท่านอาจารย์ลุงจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในสำนัก แต่ด้วยสถานะปัจจุบันของแม่นางรั่วเวย ทุกคนคงไม่มีความเห็นขัดแย้งใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้กระมัง?”
“แน่นอนว่าไม่มีความเห็นเป็นอื่น หากนับตามสถานะแล้ว พวกเราสมควรเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิง” ผู้อาวุโสสามที่คัดค้านก่อนหน้านี้เริ่มกระตือรือร้นขึ้น
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะตระเตรียมจี้หยกและเสื้อผ้าของนางให้มาส่งที่นี่โดยเร็วที่สุด”
“โอ้…พวกเจ้าเตรียมการกันมาเป็นอย่างดีเลยเชียวรึ?” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเหล่าผู้อาวุโส ไป๋ชิวหรานก็เข้าใจในทันที จึงเปล่งเสียงหัวเราะหึหึในลำคออย่างเย็นชา
“ไม่เลวนี่ ปีกกล้าขาแข็งกันแล้วสินะ?”
“ไม่บังอาจ ไม่บังอาจ” เหล่าผู้อาวุโสรีบเอ่ยขึ้นพร้อมกล่าวอำลา
“ท่านอาจารย์ลุงโปรดไว้ชีวิตด้วย”
“ช่างเสียเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ว่างอยู่แล้ว ได้ฝึกวิชาให้แม่นางถังนับว่าไม่เลว” ไป๋ชิวหรานเงยหน้าเหลือบมองถังรั่วเวยแวบหนึ่ง “ฐานวิญญาณสวรรค์? พรสวรรค์เฉพาะของราชวงศ์ซ่างเสวียนสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เกรงว่าจะตกอยู่กับเจ้าเสียแล้ว”
“เจ้าปรายตามองเพียงแวบเดียวกลับดูออกแล้วหรือ?” ถังรั่วเวยตื่นตะลึง “ข้าต้องสัมผัสศิลาก้อนนั้นอยู่เป็นนานทีเดียวกว่าจะตรวจสอบได้”
“ฐานวิญญาณสวรรค์ไม่ใช่พรสวรรค์ที่พบเจอได้ยากแต่อย่างใด เพียงกินเม็ดยาสวรรค์ก็สามารถฟื้นฟูพลังได้แล้ว” ไป๋ชิวหรานตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนเอ่ยถามต่อ “ข้าได้ยินมาว่าการสอบครั้งนี้มีศิษย์ใหม่ที่มีระดับฐานวิญญาณสวรรค์อยู่สองคน แล้วอีกคนหนึ่งอยู่ที่ใดรึ?”
“ศิษย์คนนั้นมีระดับฐานวิญญาณสวรรค์ทองคำ ท่านเจ้าสำนักหมายจะรับไว้เป็นศิษย์สายตรง” ผู้อาวุโสสามเอ่ยตอบ
“อ้อ เช่นนั้นช่วยเตือนสติเจวี๋ยอวิ๋นจื่อด้วยว่าระวังให้ดี อย่าภาคภูมิใจจนเกินไปนัก” ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ให้เขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระดับฐานวิญญาณสวรรค์เสียใหม่ว่ามันไม่มีสิ่งใดวิเศษ”
“นี่…หมายความว่าอย่าเพียรใช้กำลังฝึกฝนมากเกินไป มิฉะนั้นอาจเกิดท้อถอยและแพ้ภัยให้กับตนเอง” ผู้อาวุโสหกกระซิบ
“มีเพียงกำลังแต่ปราศจากการฝึกฝนควบคุมจิตใจ แล้วจะฝึกฝนวิชาเซียนไปด้วยเหตุใดกัน? กลับภูมิลำเนาเดิมไปทำไร่ไถนาไม่มีประโยชน์กว่ารึ?” ว่าแล้วไป๋ชิวหรานก็เหลือบมองเหล่าผู้อาวุโสด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“อีกอย่าง ถึงอย่างไรสำนักกระบี่ชิงหมิงก็ยังมีปรมาจารย์ผู้ใช้เป็นกรณีศึกษาอย่างดีเช่นข้าอยู่ทั้งคนไม่ใช่หรือ? ฮึ่ม! คิดหรือว่าทุกครั้งที่พวกเจ้าพาศิษย์มายืนอยู่บนขอบหน้าผาเหนือยอดเขาของพวกเจ้า ก่อนจะชี้นิ้วมาที่ยอดเขาชีซิง ข้าผู้นี้จะมองไม่เห็นเลยหรืออย่างไร?”
ผู้อาวุโสหกตื่นตระหนกกระทั่งเหงื่อแตกพลั่ก
“เอาล่ะ ข้าจะรับศิษย์ไว้อบรมต่อไป ถึงตอนนี้พวกเจ้าคงพึงพอใจแล้วใช่หรือไม่?” ไป๋ชิวหรานปรบมือ “พวกเจ้ารีบกลับไปเสีย ปัญหารายวันที่เกิดขึ้นในสำนักกระบี่ชิงหมิงยังรอคอยให้พวกเจ้าไปจัดการสะสาง”
“คารวะท่านอาจารย์ลุง…” ผู้อาวุโสเจ็ดหลิวอวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ
“หลังจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี” ไป๋ชิวหรานโบกมือไล่พวกเขาอย่างนึกหงุดหงิด
“ยังมีเรื่องคำเรียกขานของพวกท่านด้วย ทางที่ดีควรให้แม่นางถังเรียกท่านว่าอาจารย์ หากให้แม่นางรั่วเวยเรียกชื่อเต็มของท่านต่อไปเกรงว่าอาจไม่สุภาพนัก” ผู้อาวุโสหกกล่าวกำชับอีกครั้ง
“รู้แล้ว ๆ เห็นว่าข้าไม่รู้ธรรมเนียมดังกล่าวหรืออย่างไร?” ไป๋ชิวหรานกดดันเหล่าผู้อาวุโสโดยผลักพวกเขาให้ถอยออกไปจากตำหนัก ก่อนโยนร่างเจ้าสำนักที่หมดสติให้พวกเขารับช่วงดูแลต่อ
“ไปเถิด ตั้งใจทำงานให้ดี ข้าเป็นกำลังใจให้” จากนั้นเขาจึงปิดประตูดังโครม
ผู้อาวุโสหลายคนยืนรั้งรออยู่หน้าประตูพลางมองหน้ากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าการร่วมมือกันของตนในหนนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าที่จะรบกวนไป๋ชิวหรานอีกต่อไป จึงทำได้เพียงแบกเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและกลับไปยังยอดเขาเหนือสำนัก
ไป๋ชิวหรานเดินกลับเข้ามาในตำหนักของตนและนั่งลงตรงข้ามถังรั่วเวย “อา…เมื่อผู้อาวุโสและเจ้าสำนักพวกนี้จากไปแล้ว ข้ารู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมากทีเดียว”
ถังรั่วเวยซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามไป๋ชิวหรานยังคงลูบถ้วยชาเนื้อหยาบมือเล่นไปมา
“ข้ามีฐานะสูงกว่าพวกเขา แต่เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้สึกประหม่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้า?” ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามพร้อมส่งยิ้มให้นาง
“ไม่อาจรู้ได้ คงเป็นเพราะเจ้าบีบบังคับให้ข้าต้องร่ำสุรากระมัง” ถังรั่วเวยก้มหน้าจ้องมองถ้วยชาอยู่พักใหญ่ ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน จู่ ๆ จึงโพล่งขึ้นว่า “ตามความเป็นจริง เราควรเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกซึ่งกันและกันดีหรือไม่? ข้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจนักหากต้องเรียกขานท่านด้วยชื่อเช่นทุกครั้ง”
“ย่อมได้ เช่นนั้นจงเรียกข้าว่าอาจารย์” ไป๋ชิวหรานพลิกมือไปมาตรงหน้า “มาสิ เรียกให้ข้าฟังสักครั้งหนึ่ง ในชีวิตนี้ข้าไม่เคยได้ยินสตรีนางใดเรียกข้าเช่นนี้มาก่อน”
ใบหน้าถังรั่วเวยแดงเรื่อ ถึงกระนั้นก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เพียงคำเรียกขานเท่านั้น นึกว่าข้ากระดากอายจนไม่กล้าเอ่ยหรืออย่างไร?”
“เช่นนั้นก็พูดสิ” ไป๋ชิวหรานยืดกายนั่งหลังตรงพลางมองนางอย่างใจเย็น
ถัวรั่วเวยจับจ้องใบหน้าของเขา นิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงเอื้อนเอ่ยคำสองคำออกมา
“อะ…อาจารย์”
“ดี ลูกศิษย์ว่านอนสอนง่าย” เป็นครั้งแรกที่ถังรั่วเวยรู้สึกว่ารอยยิ้มของไป๋ชิวหรานดูคล้ายเป็นหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวง
“ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” ถังรั่วเวยกล่าวด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด “ข้าเรียกขานท่านด้วยสรรพนามใหม่แล้ว ท่านเองก็ต้องเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกข้าเช่นกันมิใช่รึ?”
“ไม่ใช่เรื่องยาก” ไป๋ชิวหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “รั่วเวย…”
ถังรั่วเวยกลับแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นแดงก่ำจรดโคนหูด้วยความเขินอาย “ข้า ข้าจะไปห้องน้ำ”
หญิงสาวหยัดกายลุกยืนขึ้นทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ ฉับพลันกลับเกิดอาการวิงเวียนขึ้นมา “ห้องน้ำอยู่ที่ใดหรือ?”
“ออกจากห้องไปแล้วเดินเลี้ยวไปทางซ้าย” ไป๋ชิวหรานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ถังรั่วเวยยกมือขึ้นปิดบังใบหน้า จากนั้นจึงวิ่งหนีออกไปประหนึ่งจะโผบิน เมื่อเห็นดังนั้นไป๋ชิวหรานก็เผยรอยยิ้มเยาะพร้อมกล่าวว่า
“ฮึ่ม! เจ้าเด็กน้อย คิดจะเหิมเกริมกับข้า คิดว่าข้ามีชีวิตอยู่มาสามพันปีอย่างไร้ค่างั้นรึ?! หากข้าใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้นมา สตรีนางใดเล่าจะสู้หน้าข้าต่อไปได้เกินกว่าหนึ่งก้านธูป?”
ทันทีที่กล่าวจบ ไป๋ชิวหรานกลับรู้สึกถึงความโศกเศร้าที่แผ่กระจายออกมาจากก้นบึ้ง
“เอ๊ะ ประโยคเมื่อครู่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องกัน? เหตุใดหัวใจของข้าถึงได้เจ็บปวด…”
—
ผู้อาวุโสสามจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถี่ถ้วน ไม่นานเขาก็ส่งคนให้นำจี้หยกและเสื้อผ้า รวมถึงชุดที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานะของศิษย์ชิงหมิงมาให้กับถังรั่วเวย ทั้งยังช่วยขยายตำหนักเล็ก ๆ ของไป๋ชิวหรานให้กว้างขึ้น รวมถึงสร้างห้องส่วนตัวให้ถังรั่วเวย และสร้างลานฝึกตนไว้สำหรับเข้าฌานสมาธิ
ไป๋ชิวหรานเรียกพบถังรั่วเวยอีกครั้ง หลังจากผ่านพิธีศิษย์คำนับอาจารย์อันเรียบง่ายแล้ว ตอนนี้ถังรั่วเวยถือเป็นศิษย์สายตรงคนแรกในชีวิตของเขา
หลังพิธีศิษย์คำนับอาจารย์เสร็จสิ้น ไป๋ชิวหรานก็ไม่รั้งรอให้เสียเวลา และเริ่มฝึกสอนนางทันที
เขาพาถังรั่วเวยไปยังลานฝึกตนที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานมานี้ ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันบนพื้นไม้ ไป๋ชิวหรานเริ่มตั้งคำถาม “รั่วเวย เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเริ่มเข้าสู่เส้นทางของการฝึกตน?”
ถังรั่วเวยพำนักอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว หลังถูกไป๋ชิวหรานเรียกขานด้วยชื่อดังกล่าวบ่อยครั้งเข้าก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อต้านใด ๆ อีกต่อไป หลังจากฟังคำถามของไป๋ชิวหราน นางจึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ท่านอาจารย์ กระดูกหรือ?”
“แม้กระดูกจะเป็นอวัยวะสำคัญ ทว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญสูงสุด” ไป๋ชิวหรานเอ่ยตอบ “เส้นทางแห่งการฝึกตนคล้ายคลึงกันกับการสร้างหอคอยสูง เสาหลักรากฐานถือเป็นสิ่งกำหนดความแข็งแกร่งในการแบกรับวัสดุให้สร้างสูงขึ้นไปทีละชั้น ทว่าเส้นทางนี้ต้องอาศัยซึ่งความอุตสาหะพากเพียรร่วมด้วย ดังนั้นการที่หอคอยจะสูงเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแรงขององค์ประกอบโดยรวม ต้องวางรากฐานไว้ให้มั่นคง ซึ่งรากฐานที่ว่านี้ก็คือร่างกายของเจ้าเอง หนทางเบื้องต้นในการสร้างรากฐานคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ”
“แต่ท่านอาจารย์ ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรทมิฬของราชวงศ์ซ่างเสวียนมาตั้งแต่อายุได้หกขวบ ข้ามั่นใจว่าร่างกายของข้านั้นแข็งแกร่งเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปไม่น้อย”
“ยังไม่พอ เจ้าอย่าได้ดูแคลนการฝึกตนเชียว ความสามารถที่เจ้ามียังน้อยนิดนัก ไม่อาจเทียบเท่าหอคอยสูงตระหง่านด้วยซ้ำ” ไป๋ชิวหรานมองถังรั่วเวยด้วยแววตาซับซ้อน “ในเมื่อเจ้ามีฐานะเป็นศิษย์ของข้า เช่นนั้นข้าต้องรับผิดชอบส่งเสริมเจ้าให้มีทักษะเพิ่มพูนมากกว่าที่เป็นอยู่ เจ้าจะต้องบรรลุขั้นการฝึกตนที่สูงกว่าข้าอย่างแน่นอน แท้จริงแล้วภายในหอคัมภีร์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงก็มีตำราว่าด้วยการฝึกตนเช่นกัน สำหรับโลกฆราวาสการศึกษาวิชาเซียนติดตัวก็นับว่าประเสริฐยิ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับโลกการฝึกตนแล้ว วิชาเซียนยังไม่แข็งแกร่งพอในด้านกำลังภายใน ทั้งยังไม่ส่งผลต่อกำลังภายนอก ในเมื่อกำลังทั้งสองด้านต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน หากรู้น้อยย่อมไม่เพียงพอ ไม่สามารถฝึกตนได้”
“เช่นนั้น…” ถังรั่วเวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าควรทำอย่างไรดี?”
“อืม…มีอยู่หนทางหนึ่ง ส่งมือมาให้ข้า” ไป๋ชิวหรานยื่นมือไปสัมผัสกับฝ่ามือนุ่มนิ่มของถังรั่วเวย
“รั่วเวย ประเดี๋ยวสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้อาจจะส่งผลให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ฉะนั้นเจ้าอย่าได้โกรธเคืองอาจารย์ไปเลย”