ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 261 ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเป็นผู้นำสำนักอสูรสวรรค์
บทที่ 261 ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเป็นผู้นำสำนักอสูรสวรรค์…
บทที่ 261 ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเป็นผู้นำสำนักอสูรสวรรค์…
“เอ่อ… ท่าน”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับหวงฝู่เฟิง
“เนื่องจากท่านอยู่ที่นี่ เช่นนั้นหมายความว่าสถานการณ์ของสำนักอสูรสวรรค์ย่อมอยู่ในระดับที่รับมือได้แน่นอน”
“เคารพอาวุโส”
หลีจิ่นเหยากล่าวทักทายพร้อมกล่าวต่อว่า
“ท่านอาจารย์ แล้วอาวุโสอีกท่านอยู่ที่ใดหรือ?”
“หลิงอวิ๋น?”
หวงฝู่เฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงถอนหายใจเบา
“นางถูกเผ่ามารจับตัวไป”
“หืม?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋ชิวหราน ซูเซียงเสวี่ย และหลีจิ่นเหยาพลันประหลาดใจไม่น้อย หลีจิ่นเหยารีบถามไถ่
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดหลิงอวิ๋นถึงถูกจับตัวไป?”
“เรื่องนั้น…”
หวงฝู่เฟิงถอนหายใจ
“เรื่องราวมันเลวร้าย…”
“เอาล่ะ ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดแล้ว”
หลีจิ่นเหยาโบกมือพร้อมกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว อาวุโสใหญ่ถูกขายไปเป็นแรงงานทาสแล้วใช่หรือไม่?”
“กล่าวตามตรง หลิงอวิ๋นขายตัวเองเข้าไป”
หวงฝู่เฟิงยกมือขึ้นก่อนจะกล่าวต่อ
“เข้ามาด้านในก่อน แล้วค่อยพูดคุยกันดี ๆ”
ทั้งกลุ่มตามเข้าไปด้านในภูเขาสำนักอสูรสวรรค์ หวงฝู่เฟิงไม่เชี่ยวชาญเวทเกี่ยวกับค่ายอาคมนัก เขาจึงพยายามจัดการซ่อมช่องว่างที่ถูกเปิดออกอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ในที่สุดเขาก็ดึงกระบี่ออกมาด้วยความหงุดหงิด และต้องการใช้กระบี่นี้อุดช่องว่างเหล่านั้น
“ยังคงเป็นเช่นเคย”
หลีจิ่นเหยารู้สึกเขินอายเมื่อไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยมองมาที่ตน ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นและเริ่มซ่อมแซมค่ายกลตรงหน้า
เมื่อเห็นการกระทำที่คล่องแคล่วและพลังปราณที่แท้จริงมากมายพวยพุ่งออกมา หวงฝู่เฟิงก็ตกตะลึงไม่น้อยก่อนจะอุทานว่า
“นี่ จิ่นเหยา เจ้าเข้าสู่ขั้นมหายานแล้วหรือ”
“เป็นเช่นนั้น”
หลีจิ่นเหยายิ้มจาง ๆ นางไม่คิดเปิดเผยความแข็งแกร่งและชื่อเสียงของตน
“มันทำให้ข้ามีความสามารถมากกว่าท่านอาจารย์”
หวงฝู่เฟิงพยักหน้าก่อนจะหันศีรษะกลับไป
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องกังวลเรื่องของหลีจิ่นเหยา นางเป็นศิษย์สายตรงของท่านตั้งแต่ยังเด็ก เช่นนั้นคงไม่ต่างอะไรจากบุตรสาวแท้ ๆ ของท่านใช่หรือไม่?”
“เป็นเช่นนั้น”
หวงฝู่เฟิงตอบกลับ
“เพราะเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อได้ส่งคนมาช่วยเหลือแล้ว”
“หืม? เด็กผู้นั้นอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เกิดอะไรขึ้น รีบบอกกล่าวมาโดยเร็ว”
“ข้าไม่รู้จะกล่าวอย่างไร… เผ่ามารที่มาเยือนแข็งแกร่งยิ่ง พวกเราจึงพ่ายแพ้อย่างราบคาบ อีกทั้งเผ่ามารยังทำลายล้างสำนักทุกที่ที่มันพบเจอ และยังจับผู้อาวุโสระดับสูงในสำนักของเราไป ผู้นำหลายคนถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกจับเป็นเชลย”
หวงฝู่เฟิงเป็นคนที่เล่าเรื่องไม่เก่งจริง ๆ
“ข้าขอถามอย่างจริงจัง พวกท่านพ่ายแพ้ได้อย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วแน่นขณะกล่าวถาม
“ข้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของเผ่ามาร และความแข็งแกร่งของพวกท่าน แล้วจะพ่ายแพ้ได้อย่างไร? อีกทั้งค่ายกลป้องกันภูเขาของสำนักกระบี่ชิงหมิงก็มีเพียงการโจมตีจากอสูรสายฟ้าเท่านั้นที่สามารถโค่นล้มได้ ต่อมาข้ารู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยจึงปรับเปลี่ยนมันเล็กน้อย เช่นนี้ต่อให้เผ่ามารก็ยังไม่อาจจัดการได้โดยง่าย”
“เพราะเผ่ามารแข็งแกร่งขึ้น”
หวงฝู่เฟิงตอบกลับสั้น ๆ
“คราวนี้เป็นอสูรยักษ์และยังมีจำนวนมาก แนวป้องกันของกองทัพเทพยุทธ์และสำนักวิญญาณหยินในแดนตะวันตกก็ถูกทำลายลงในคราวเดียว”
“อสูรยักษ์? พวกมันมากี่ตน?”
“อ่า จากที่ข้าไตร่ตรอง บางที… อาจมีหลายสิบตน”
หวงฝู่เฟิงกล่าวหลังจากคิดทบทวน
“หลายสิบ…”
อย่ามองเพียงเรื่องที่ไป๋ชิวหรานไปที่สุสานเหล่าทวยเทพ การสังหารอสูรยักษ์เปรียบได้กับการเชือดไก่และสุนัข แต่ในบรรดาเผ่ามาร อสูรยักษ์เป็นสิ่งที่หาพบได้ยากอย่างแท้จริง และมันคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งทุกคนล้วนทราบดี เช่นเดียวกับศพที่ไป๋ชิวหรานพบในถ้ำเซียน เมื่อมันยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าอาจมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับแคว้นโฮ่วถู
หากเข้าใจไม่ผิด มันจึงเป็นอสูรที่เติบโตเร็วกว่าสิ่งที่เขาเคยพบเจอ
“เช่นนั้นมันจึงไม่แปลกที่พวกท่านจะพ่ายแพ้”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับค่ายอาคมป้องกันของภูเขาสำนักกระบี่ชิงหมิง?”
แน่นอนว่าชายหนุ่มทราบถึงพลังของค่ายอาคมยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ การต่อต้านอสูรยักษ์สิบตนไม่นับว่าเป็นอะไรเลย
“เพราะคราวนี้เผ่ามารไม่เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้น ทว่ายังฉลาดขึ้นอีกด้วย”
หวงฝู่เฟิงตอบกลับ
“ในอดีต เผ่ามารนั้นไร้เหตุผล ไม่มีการสื่อสาร และเป็นเพียงภัยคุกคามเมื่อเคลื่อนไหว พวกมันจะสังหารและทำลายทุกสิ่งที่พบเจอ ไม่มีแม้เศษไม้ใบหญ้าหลงเหลือไว้เบื้องหลัง ดังนั้นสมัยก่อนเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินที่สามัคคีกันอย่างเหนียวแน่นจึงสามารถต่อต้านพวกมันไว้ได้ แต่คราวนี้ เมื่อทำลายสถานที่ใดที่หนึ่งเสร็จสิ้น พวกมันจะเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมแพ้ หลังจากเอาชนะได้ก็จะแต่งตั้งสายลับเพื่อให้โน้มน้าวบุคคลภายใน นั่นคือวิธีที่มันสามารถเอาชนะสำนักกระบี่ชิงหมิงได้ หลังจากสงครามเริ่มขึ้น ผู้นำระดับสูงและศิษย์มากมายได้หักหลังสำนักอย่างเงียบเชียบ และพวกเขาคือคนที่ปิดการทำงานของค่ายอาคมป้องกัน”
“ค่ายอาคมที่แข็งแกร่งที่สุดถูกทำลายจากภายในงั้นหรือ?”
ใบหน้าของไป๋ชิวหรานกลายเป็นน่าเกลียด
“ควรจะมีคนจากสำนักกระบี่ชิงหมิงที่ยังมีชีวิตอยู่ในพื้นที่อื่น ๆ ที่ยังสามารถต่อต้านได้ ข้าได้ยินจากสหายร่วมสำนักของเราว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกเผ่ามารกักขังเอาไว้ หากเคลื่อนไหวโดยเร็ว… เช่นนั้นอาจจะยังสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้”
หวงฝู่เฟิงกล่าวต่อ
“แต่ตอนนี้ท่านบรรพชนกระบี่สำนักกระบี่ชิงหมิงกลับมาแล้ว สิ่งนี้ทำให้เรามีความหวังที่จะโต้กลับได้”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน หลีจิ่นเหยาก็ซ่อมแซมค่ายอาคมของสำนักอสูรสวรรค์เสร็จสิ้น ภายใต้เวทอันละเอียดอ่อนของนาง ท้องฟ้าของสำนักอสูรสวรรค์จึงถูกม่านหมอกสีชาดปกคลุมอีกครา และการป้องกันนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เคยมี!
หวงฝู่เฟิงตื่นเต้นมากเมื่อได้รับชม และเมื่อเห็นหลีจิ่นเหยาทรุดกายลงกับพื้นหลังจากเสร็จสิ้น เขาก็กล่าวกับนางว่า
“จิ่นเหยา ทักษะของเจ้ายอดเยี่ยมกว่าข้านัก วันนี้ทราบแล้วว่าผู้นำสำนักอสูรสวรรค์นั้นไม่ใช่ข้า แต่ควรจะเป็นเจ้า…”
หลีจิ่นเหยากลอกตาไปมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ข้าคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะการเป็นผู้นำสำนักจะทำให้ข้าไม่ว่าง ข้าต้องการออกไปตามหารักแท้ของตน”
นางเหลือบมองไป๋ชิวหราน ก่อนจะจ้องมองแววตาลุ่มลึกที่ไม่อาจหยั่งรู้ของชายหนุ่ม
“นอกจากนี้ ผู้ทรงเกียรติซื่อยังไม่ตายตก พวกเขากำลังไปช่วยเหลือผู้นำสำนักวิญญาณหยินไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดท่านถึงคิดมอบตำแหน่งผู้นำสำนักให้กับข้า?”
“เป็นข้าที่คิดเรื่องนี้มาสักพัก…”
หวงฝู่เฟิงสัมผัสคางของตัวเองแผ่วเบาก่อนจะตอบกลับ
“ข้าคิดว่าหลิงอวิ๋นยังคงอ่อนแอ จึงควรได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติม…”
เมื่อฟังการสนทนาระหว่างศิษย์และอาจารย์ ซูเซียงเสวี่ยก็แตะไหล่ของไป๋ชิวหรานพร้อมถอนหายใจ
“จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าอาจารย์ของข้าน่าเคารพขึ้นมา”
“สำนักอสูรดั้งเดิมก็เป็นเช่นนี้เสมอ… ในตอนนั้นอาจารย์ของเจ้าเพียงหลอกล่อเจ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น”
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ไป๋ชิวหรานกล่าวขึ้นมาว่า
“หากเป็นหวงฝู่เฟิงและแม่นางหลิงย่อมไม่เป็นไร อย่างน้อยพวกเขายังมีความรักต่อหลีจิ่นเหยา… แม้ความสัมพันธ์นี้จะรุนแรงไปสักหน่อยก็ตาม”
และตอนนี้หลีจิ่นเหยากำลังปฏิเสธคำชวนของอาจารย์อีกครั้ง หวงฝู่เฟิงที่ทำสิ่งใดไม่ถูกจึงกล่าวขึ้นว่า
“หากเช่นนั้นเจ้าควรขึ้นรับตำแหน่งผู้อาวุโส แต่เจ้ากลับไม่ต้องการเงิน ดังนั้นหากมีตำแหน่งไว้ก็คงดีไม่น้อย มิฉะนั้นสำนักอสูรสวรรค์คงเลี้ยงดูเจ้ามาอย่างไร้ประโยชน์ในหลายปีผ่าน”
“ย่อมได้”
เมื่อเผชิญหน้ากับการร้องขอเช่นนี้ หลีจิ่นเหยาขมวดคิ้วก่อนจะครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายนางจึงตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะยอมทำตามคำขอร้องของท่านอาจารย์อย่างไม่เต็มใจ”
ความจริงคือหวงฝู่เฟิงไม่ขุ่นเคืองกับคำพูดที่ประชดประชันของศิษย์ เขาเพียงบอกกล่าวกับหลีจิ่นเหยาอย่างใจเย็นว่าควรจะทำสิ่งใดต่อไป
“เอาล่ะ เอาล่ะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ไป๋ชิวหรานก็ขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสองอย่างรวดเร็ว แล้วเขาจึงหันไปถามหวงฝู่เฟิง
“ท่านบอกว่าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อพาคนบุกไปช่วยตัวประกัน แล้วจี้หลิงอวิ๋นกับผู้อื่นถูกจับกุมไว้ในสถานที่ใด?”