ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 267 เจ้าสามารถต่อสู้แบบหนึ่งต่อสามได้หรือไม่
บทที่ 267 เจ้าสามารถต่อสู้แบบหนึ่งต่อสามได้หรือไม่?
บทที่ 267 เจ้าสามารถต่อสู้แบบหนึ่งต่อสามได้หรือไม่?
รัฐกู่โจว สำนักกระบี่ชิงหมิง
ไป๋ชิวหรานยืนอยู่บนวารีสารทกระจ่างฟ้า มันทะยานขึ้นท้องฟ้ากลายเป็นลำแสงขึ้นไปด้านบนเหนือภูเขาชิงหมิง
เมื่อมองลงไปด้านล่าง แม้แต่ภูเขาหินทมิฬที่เขายกมาให้ถังรั่วเวยฝึกฝน ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นเพราะค่ายกลป้องกันของสำนักกระบี่ชิงหมิงถูกทำลายลง มันจึงสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าหลายพื้นที่บนภูเขาถูกสร้างขึ้นจากอาคม
ยังมีผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งอยู่บนภูเขา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทำงานให้กับเผ่ามารอย่างหนัก ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่เหล่านี้เป็นสมาชิกของสำนักกระบี่ชิงหมิง แต่ไป๋ชิวหรานลอบขับไล่พวกเขาทั้งหมดออกจากสำนักกระบี่ชิงหมิงในใจแล้ว…
ชายหนุ่มไม่คิดที่จะหลบซ่อน ก่อนจะร่อนลงและหยุดยืนบนยอดเขาชีซิง ซึ่งอยู่ตรงหน้าลานเล็ก ๆ ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนของเขา
น่าประหลาดที่ไม่มีเผ่ามารหรือผู้ฝึกตนกบฏมาที่นี่ คงเพราะว่ามันอยู่ห่างไกล และไม่มีผู้ใดคิดสนใจ
เขาผลักประตูเข้าไปตรวจสอบภายในเล็กน้อย ไม่มีสิ่งใดหายไป คงไม่มีผู้ใดมาที่นี่จริง ๆ
แต่ห้องพักของเขาก็ไม่ได้มีสิ่งมีค่าใดอยู่แล้ว นอกจากกระบี่เหล็กกับเสื้อผ้าธรรมดาในห้องเก็บของ ส่วนเคล็ดวิชาล้ำค่าที่เขาสรรค์สร้างขึ้นกับโอสถอายุวัฒนะระดับสูงนั้นได้ถูกส่งไปเก็บไว้ที่คลังเก็บของภายในสำนักกระบี่ชิงหมิง
บัดนี้ สถานที่เหล่านั้นคงจะอยู่ในความดูแลของเหล่าผู้ฝึกตนกบฏ
แน่นอน ว่าเขาต้องการพูดคุยกับคนเหล่านี้เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขากระทำต่อสำนักกระบี่ชิงหมิง!
ไป๋ชิวหรานปิดประตู และลงกลอนไว้เช่นเดิม ก่อนจะเหาะเหินไปยังยอดเขาชิงหมิงโดยไม่คิดหันกลับ
…
จุดสูงสุดของสำนักกระบี่ชิงหมิง ด้านนอกของลาน ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตามเผ่ามารไป
ผู้ฝึกตนทั้งหมดยังคงสวมใส่ชุดของสำนักกระบี่ชิงหมิง พวกเขาทั้งหมดใส่ชุดสีแดงและดำสลับกันไป อย่างไรแล้วก็คงจะไม่ใช่ศิษย์ระดับต่ำ ทั้งเผ่ามารที่ติดตามมาก็มีร่างกายเทียบเท่ากับคนธรรมดา ผิวพรรณดำคล้ำ แววตาเปล่งประกายราวกับเปลวไฟลุกโชน ผิวหนังคล้ายกับก้อนหิน ทั้งยังมีเขาโค้งขนาดใหญ่สองอันประดับอยู่บนศีรษะ แขนขามีรอยแยก ทั้งยังเปล่งประกายสีแดงออกมาราวกับลาวา เปลวไฟคุกรุ่นปะทุออกเป็นระยะ ซึ่งทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกร้อนรุ่ม
ทุกย่างก้าวของพวกมันทิ้งรอยไหม้ไว้เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่าเผ่ามารเหล่านี้ก็เป็นอสูรผู้ทรงเกียรติเช่นกัน
พลังของพวกมันมหาศาล แรงกดดันถาโถมใส่เหล่าผู้ฝึกตน พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำใด
แม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าอสูรผู้ทรงเกียรติจะไม่พูด หลังจากเดินขึ้นบันได อสูรผู้ทรงเกียรติก็กล่าวถามอย่างเชื่องช้า
“เหล่าผู้ฝึกตนเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเจ้าได้ข่าวเกี่ยวกับสหายร่วมเผ่าพันธุ์ที่หลบหนีไปหรือไม่?”
“รายงานท่านราชาอสูร พวกเขาน่าจะหนีไปที่สำนักอสูรสวรรค์”
อดีตผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักกระบี่ชิงหมิงกล่าวตอบ
“ที่ตั้งหลักของสำนักอสูรสวรรค์ตั้งอยู่ในแดนเป่ยหมิง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีที่สุด และสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดาย”
“อืม”
อสูรผู้ทรงเกียรติตนนี้ก้าวขาตรงไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่ลานหน้ากระท่อมของเจ้าสำนัก
“มนุษย์เหล่านั้นไม่ใช่ภัยคุกคาม สิ่งที่ข้าอยากทราบมากที่สุดคือผู้ใดเป็นคนสังหารสหายร่วมเผ่าพันธุ์ของข้าในคุกบนภูเขาวันนั้น”
ขณะที่กล่าว เขากดฝ่ามือลงไปที่ประตูไม้ของลานเพียงต้องการผลักเข้าไป ทว่าความร้อนบนฝ่ามือทำให้ประตูไม้ตรงหน้ากลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา!
หลังจากมองผลลัพธ์ที่กระทำไปเมื่อครู่ อสูรผู้ทรงเกียรติก็ถูฝ่ามือพร้อมกับเดินตรงเข้าไปในลานอย่างไม่แยแส
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อปลูกหญ้าวิญญาณไว้ในลานของเขา แต่ยามนี้ทั้งหมดกลับถูกเผาหมดสิ้นเมื่ออสูรผู้ทรงเกียรติเดินเข้ามา ร่างกายแผ่ไอความร้อนออกอย่างโหดร้าย ทุกสิ่งอย่างพลันเหี่ยวเฉาและกลายเป็นเถ้าถ่านไปในชั่วลมหายใจ
อสูรผู้ทรงเกียรติพาเหล่าผู้ฝึกตนมายังสถานที่ที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเคยอาศัย สถานที่แห่งนี้คือลานที่เขาใช้สั่งการ อสูรตนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ของเจ้าสำนัก
“ผู้ที่สามารถคุกคามเผ่ามารได้คงจะอยู่ในระดับเซียน…”
ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักกระบี่ชิงหมิงยืนอยู่ข้างกายอสูรผู้ทรงเกียรติ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“แต่ภายในโลกมนุษย์… ข้าน้อยทราบถึงการดำรงอยู่ของผู้แข็งแกร่ง”
“โอ้? มันเป็นใคร?”
อสูรผู้ทรงเกียรติอุทานออกมาอย่างสนใจ
“คือ…”
ผู้อาวุโสระดับสูงกัดฟันพร้อมกล่าวต่อ
“เขาคือผู้สร้างตำนานของโลกผู้ฝึกตน และเป็นผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่ชิงหมิงของเรา…”
“เรียกว่า ‘ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่ชิงหมิง’ งั้นหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงบิดขี้เกียจดังขึ้นจากด้านนอก ซึ่งขัดจังหวะการพูดคุยของพวกเขา
อสูรผู้ทรงเกียรติขมวดคิ้วยุ่ง ในขณะที่เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงเผยใบหน้าซีดเผือด
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์ และยังสามารถหลบซ่อนจากสายตาและหูของข้าได้”
อสูรผู้ทรงเกียรติมองเข้าไปภายในลาน พร้อมกับปลดปล่อยเสียงระฆังก้องกังวานออกไป
“เป็นผู้ใด?”
คนที่อยู่ด้านนอกไม่ตอบกลับ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มผมขาวในชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับมือไพล่หลัง ท่วงท่าดูสบาย ๆ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวใด
มีความว่างเปล่าอยู่ในแววตาคู่นั้น มันก็เหมือนกับทุกคราที่เขามายังสถานที่แห่งนี้ ชายหนุ่มกวาดสายตามองทุกคนที่ยืนอยู่ภายในลาน
เมื่อกวาดสายตาไปโดยรอบแล้ว เหล่าศิษย์ที่ทรยศต่อสำนักกระบี่ชิงหมิงต่างก้มศีรษะลง และเริ่มกล่าวซุบซิบกัน
“อะ…อาจารย์ลุง”
“ทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ ยังมีใบหน้าเรียกหาข้าว่าอาจารย์ลุงอีกหรือ?”
ไป๋ชิวหรานยิ้มเยาะพร้อมกล่าวกับพวกเขา
“พวกเจ้าไม่ใช่ศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิง เหตุใดถึงเรียกหาข้าว่าอาจารย์ลุง”
ผู้อาวุโสระดับสูงหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบทั่วร่างกาย หน้าผากปรากฏไปด้วยร่องลึกแห่งความหวาดกลัวก่อนจะตอบว่า
“แต่ว่า… พวกเรา…”
“ไม่ พวกเจ้าไม่ใช่”
ไป๋ชิวหรานกวาดสายตามองทั้งหมดอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก
“ยังกล้ากล่าวอ้างว่าตนเองเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงอีกงั้นหรือ? เจ้าพวกทรยศ!”
ขณะที่เสียงนั้นดังขึ้น มันก็มาพร้อมกับพลังมหาศาลปะทุออก ทั้งประตูและหน้าต่างของลานแห่งนี้แตกกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยว่อนไปในอากาศ
ลมกระโชกแรงปะทะกับเหล่าผู้ก่อกบฏของสำนักกระบี่ชิงหมิง พลังรุนแรงนี้ทำให้พวกเขาปิดปากสนิท และหลับตาลงอย่างไม่อาจต้านทาน
หลังจากนั้นไม่นาน ลมกระโชกก็สงบลง ใบหน้าของไป๋ชิวหรานกลับคืนเป็นปกติอีกครั้ง เขายิ้มให้กับเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงก่อนจะปัดไหล่ตนเองแล้วกล่าวว่า
“วันนี้เรามีแขกมาเยี่ยมเยือน สำนักกระบี่ชิงหมิงย่อมไม่คิดเสียมารยาท ไม่ต้องกังวล ข้ายังไม่คิดลงโทษพวกเจ้าในตอนนี้”
ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น เป็นอสูรผู้ทรงเกียรติที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ มันกำลังยิ้มและปรบมืออย่างชอบใจ
“มนุษย์เช่นเจ้าน่าสนใจจริง ๆ”
มันหัวเราะในลำคอ
“โอ้ เทพเจ้าอสูรตนนี้รู้สึกยินดีที่ได้เห็นสิ่งนี้ หลังจากที่ได้มองกลยุทธ์เช่นนี้ มันทำให้ข้าอยากจะเห็นการต่อสู้ของเจ้านัก”
ไป๋ชิวหรานเอียงศีรษะ แล้วแสร้งอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
“หืม? ภายในสำนักกระบี่ชิงหมิงของข้ามีอสูรอยู่ด้วยงั้นหรือ แล้วอสูรตนนี้คือผู้ใดกัน?”
“ฮ่า ๆ เป็นเจ้าที่สังหารสหายร่วมเผ่าพันธุ์ของข้า”
อสูรผู้ทรงเกียรติยิ้มและกล่าว
“ต้องยอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ทราบว่าในสำนักนี้ ข้าไม่ใช่อสูรเพียงหนึ่งตน เผ่ามารของเราที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้มีมากกว่าภายในคุกบนภูเขาหลายเท่า”
ในขณะที่มันกำลังพูด เพดานด้านบนก็พังทลายลง สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่บินว่อนอยู่ด้านบนบดบังแสงจันทรา อสูรที่มีศีรษะราวกับเหยี่ยวทมิฬพุ่งลงมาจากฟากฟ้า เป้าหมายของมันคือไป๋ชิวหราน
จากนั้น เงาดำลอบเข้ามาจากด้านนอก มันคืออสูรไร้หน้า และพุ่งเข้ามาทางด้านขวาของไป๋ชิวหราน
ศิษย์อสูรเพลิงสองตนที่นั่งอยู่ด้านข้าง สร้างค่ายกลสามเหลี่ยมล้อมรอบไป๋ชิวหรานเอาไว้
อสูรเพลิงผู้ทรงเกียรตินั่งอยู่บนเก้าอี้ มันกำลังมองไป๋ชิวหรานที่กำลังสงบนิ่งตรงหน้า รอยยิ้มปรากฏขึ้นพร้อมกล่าวคำ
“เจ้าสามารถเอาชนะเผ่ามารหนึ่งตนได้ แล้วเจ้าสามารถต่อสู้แบบหนึ่งต่อสามได้หรือไม่?”
“หึ”
ไป๋ชิวหรานหัวเราะพร้อมกล่าวต่อ
“เจ้าหมายถึง… แบบนี้งั้นหรือ?”
เขาเหยียดมือออก ทันใดนั้นมีสองศีรษะปรากฏขึ้นในมือของเขา หนึ่งคือเหยี่ยวทมิฬ และสองดูคล้ายมนุษย์ทว่าไม่มีใบหน้า
ในเวลาเดียวกัน อสูรเพลิงรู้สึกว่าตนเองรู้สึกไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนได้
ดวงตาของมันเบิกกว้าง พร้อมกับกระแสโลหิตในร่างกายพลุ่งพล่านราวกับลาวาที่ปะทุออกจากภูเขาไฟ สุดท้ายศีรษะของมันหลุดร่วงลงบนพื้น ทำให้เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!