ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 28 เดิมพัน
บทที่ 28 เดิมพัน
“อาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ชิวหราน ท่าทีของถังรั่วเวยถึงกับทรุดลง “ท่านกำลังสาปแช่งลูกศิษย์คนเดียวของท่านว่าจะไม่สามารถบรรลุขั้นสร้างรากฐานได้เหมือนท่านงั้นหรือ?”
“มันก็เป็นแค่ความสงสัยเท่านั้น” ไป๋ชิวหรานแตะคางขณะกล่าว “ข้าอดสงสัยไม่ได้ เพราะรั่วเวย…เจ้ามีคุณสมบัติที่คล้ายกับข้าในตอนเริ่มแรก เจ้ามีทั้งรากฐานวิญญาณระดับสวรรค์ มีความกระตือรือร้นในการฝึกฝน อีกทั้งเจ้ายังไร้เดียงสาและอ่อนหวานนิด ๆ และสิ่งที่เจ้ากำลังจะฝึกก็เป็นวิถีของอาจารย์…”
“เพศข้าแตกต่างกับท่านอย่างสิ้นเชิง!” ถังรั่วเวยหน้าตึงและกระแทกเสียงกลับ “พลังต้นกำเนิดก็ควรจะแตกต่างกันด้วย”
“ฮึ่ม ผู้ฝึกตนไม่ควรเอ่ยถึงต้นกำเนิด” ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างเย็นชา “หากพูดถึงเพศ รั่วเวย เจ้ามีอวัยวะทุกส่วนไม่ต่างจากอาจารย์ ยกเว้นแค่สิ่งเดียว หากใส่เสื้อผ้าผู้ชายก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นสตรี”
“ฮึ่ม!” ถังรั่วเวยรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา จากนั้นจึงพูดด้วยโทสะ “ข้าเป็นคนฉลาด ข้าจะไม่มีทางติดอยู่ขั้นกลั่นลมปราณตลอดชีวิตเช่นท่านเด็ดขาด!”
คราวนี้เป็นใบหน้าของไป๋ชิวหรานที่มืดลง
ศิษย์และอาจารย์ข่มอารมณ์ไว้ในใจและมองหน้ากันด้วยความขุ่นเคือง “ข้าบอกว่าอย่างไรรั่วเวย”
เสียงของไป๋ชิวหรานค่อนข้างสั่นเทา “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นศิษย์อาจารย์กัน มันไม่โง่ไปหน่อยหรือที่จะเล่นกันเช่นนี้”
“ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” ถังรั่วเวยตอบกลับ “แต่ท่านก็ยังอยู่ขั้นพลังเดิมไม่ใช่หรือ?”
“ดี เมื่อเจ้ามั่นใจนัก” ไป๋ชิวหรานยกคิ้วพร้อมกล่าว “ด้วยความสามารถพื้นฐานของเจ้า มันคงใช้เวลาไม่นานก่อนที่เจ้าจะบรรลุระดับสิบของขั้นกลั่นลมปราณ สำหรับอาจารย์ใช้เวลาห้าถึงหกปี และเจ้าห้ามช้ากว่านี้ ห้าถึงหกปีนั้นรวดเร็วเพียงชั่วพริบตาสำหรับพวกเรา เจ้าต้องการจะลองดูหรือไม่ว่าสามารถบรรลุขั้นสร้างรากฐานในระยะเวลานี้?”
“ท่านอาจารย์ ท่านคิดจะเดิมพันกับข้างั้นหรือ?” ถังรั่วเองก็ไม่คิดจะยอมจำนอน นางยกคิ้วขึ้นตอบ
“แน่นอน” ไป๋ชิวหรานกล่าว “หากเจ้าไม่สามารถบุกทะลวงสู่ขั้นต่อไปได้ในเวลานี้ เช่นนั้นเจ้าจะต้องเชื่อฟังอาจารย์ในอนาคต หากข้าบอกอย่างหนึ่ง เจ้าจะไม่สามารถเถียงเป็นอย่างอื่นได้ หากข้าสั่งให้นั่ง เจ้าก็ห้ามยืน”
“แล้วหากข้าชนะล่ะ?” ถังรั่วเวยถามกลับ
“ชนะงั้นหรือ?” ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้ม “อาจารย์จะให้กระบี่บินระดับสูงกับเจ้า นอกจากนั้นยังจะทำตามที่เจ้าขอทุกอย่าง”
“ขอสิ่งใดก็ได้ใช่หรือไม่?” ถังรั่วเวยถามด้วยความสงสัย
“ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตความสามารถของอาจารย์ และไม่ฝืนกฎสวรรค์” ไป๋ชิวหรานพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
“ดี” ถังรั่วเวยกลางม้วนกระดาษออก “ข้าจะเริ่มฝึกเดี๋ยวนี้!”
—
นับจากนั้นเป็นต้นมา เพื่อเดิมพันกับไป๋ชิวหราน ถังรั่วเวยก็ได้ทุ่มเทแรงกายทั้งหมดและกระตือรือร้นบ่มเพาะพลังอย่างแข็งขัน
ทุกเช้าถังรั่วเวยจะตื่นนอนตอนย่ำรุ่งตามเวลาปลุกของสัตว์วิญญาณจากสำนักกระบี่ชิงหมิง จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนตามรูปแบบที่ไป๋ชิวหรานเขียนให้ในม้วนคัมภีร์
นางจะฝึกจนถึงเวลาอาหารเช้าที่ไป๋ชิวหรานจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นจึงเดินทางไปยอดเขาที่อยู่ถัดจากยอดเขาชีซิง และใช้เวลาทั้งหมดเพื่อฝึกฝนสิ่งที่ไป๋ชิวหรานเขียนขึ้นมา ซึ่งมันชื่อว่าเคล็ดวิชาต้นกำเนิดสนามแม่เหล็กวิวัฒน์
วิธีฝึกเช่นนี้ แตกต่างจากการฝึกต่าง ๆ ของธาตุดิน ตามที่ไป๋ชิวหรานกล่าวไว้ มันจะเน้นไปที่การควบคุมสนามแม่เหล็กตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นยอดเขาศิลาดำจึงถูกไป๋ชิวหรานปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับวิธีการฝึกฝนด้วย
นอกจากพลังวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเหมาะสมกับการบ่มเพาะพลัง ความรุนแรงของธาตุแม่เหล็กยังเพิ่มขึ้นทุก ๆ หนึ่งจุดจนถึงตีนเขา กล่าวได้ว่าแรงโน้มถ่วงบนภูเขานี้สูงกว่าปกติเกือบยี่สิบเท่า
ถังรั่วเวยสามารถฝึกได้แค่ชั้นบนสุดของยอดเขานี้ แต่ด้วยคุณสมบัติรากฐานวิญญาณที่สูง นางจึงใช้เวลาไม่นานที่จะแปรเปลี่ยนวิญญาณให้เป็นต้นกำเนิดสนามพลังแม่เหล็กระดับแรกได้
ในตอนกลางวัน ไป๋ชิวหรานจะพาถังรั่วเวยไปยังสถานศึกษาที่ยอดเขาชิงหมิง เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียม และพื้นฐานต่าง ๆ ในโลกผู้ฝึกตน ในตอนเย็นถังรั่วเวยจะถูกพากลับมาแช่บ่อน้ำสมุนไพรที่ทำมาจากสมุนไพรหลายชนิด
ในช่วงเวลากิจวัตรนี้ ถึงแม้ว่าถังรั่วเวยจะไม่รู้สึกลำบากกาย แต่ก็ยังถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้นางหนักใจมากที่สุด
เพราะช่วงเวลานี้นางจะมีไป๋ชิวหรานนั่งอยู่ด้านข้างตลอดเวลา มันมีเพียงสิ่งเดียวที่เขามักจะทำ นั่นคือการวิจารณ์เกี่ยวกับผลของการฝึกฝนในแต่ละวัน และคอยหยอกล้อนางไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ‘ห้ามใส่ผ้าคาดหน้าอกขณะบ่มเพาะพลัง’ หรือ ‘ผู้ฝึกตนต้องควบคุมอารมณ์เย่อหยิ่งและความใจร้อน ต่อให้จะฝึกหนักเพียงใดก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีถึงจะเพิ่มขนาดได้’ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้จี้ใจดำของถังรั่วเวย
แน่นอนว่าถังรั่วเวยย่อมไม่แสดงความอ่อนแอ นางมักจะโต้เถียงกับไป๋ชิวหราน โดยที่ศิษย์อย่างนางจะถามกลับว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้บรรลุระดับที่หนึ่งหมื่นของขั้นกลั่นลมปราณ หรือปีนี้ท่านยังอยู่ขั้นกลั่นลมปราณอีกหรือ? และอีกมากมาย
ทั้งสองทะเลาะอยู่เช่นนั้นเรื่อยมา แต่มันก็ทำให้ถังรั่วเวยมีความกระตือรือร้นในการบ่มเพาะพลังมากขึ้น ส่วนไป๋ชิวหรานก็นำแรงโทสะนี้มาเข้มงวดกับนางมากขึ้น และยังศึกษาวิธีบรรลุขั้นสร้างรากฐานต่อไป
ด้วยเหตุนี้ ชีวิตประจำวันของพวกเขาก็คือการบ่มเพาะพลัง ฝึกฝนวิทยายุทธ์ เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของผู้ฝึกตน อาบน้ำสมุนไพร และท้ายที่สุดก็กลับไปบ่อน้ำพุร้อนเพื่อผ่อนคลายในยามเย็น ชีวิตของถังรั่วเวยและไป๋ชิวหรานดำเนินไปเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ
สำหรับผู้ฝึกตน เวลาหกปีนั้นผ่านไปรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา ไป๋ชิวหรานยังคงให้ความสนใจต่อการบรรลุขั้นพลัง และยังไม่ยอมให้ถังรั่วเวยใช้ยาครอบจักรวาลเพื่อบรรลุขั้นพลังของนาง เวลานี้นางบ่มเพาะพลังจนมาถึงระดับที่สิบของขั้นกลั่นลมปราณแล้ว ซึ่งอยู่ห่างขั้นสร้างรากฐานอีกเพียงก้าวเดียว
ในช่วงหกปีที่ผ่านมา เขายังคงทำตามที่บอกไว้ว่าจะไม่ยอมบรรลุระดับพลังไประดับที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบหกของขั้นกลั่นลมปราณ ทุกครั้งที่เขารู้สึกอยากจะก้าวยังระดับต่อไป เขาจะข่มมันไว้โดยการเขียนวิชาระดับสูง หรืออาคมเหนือธรรมชาติลงในหอสมุดของสำนักกระบี่ชิงหมิง
ในที่สุดก็มาถึงเช้าวันหนึ่ง ถังรั่วเวยเข้าไปพบไป๋ชิวหรานที่กำลังนั่งศึกษาเกี่ยวกับการบีบอัดพลังปราณเมื่อพลังปราณในตัวมีไม่สิ้นสุด
“ท่านอาจารย์” ใบหน้าของสตรีผู้นั้นมีความประหม่า ความคาดหวัง และแดงก่ำเล็กน้อย “ข้าคิดว่ากำลังจะเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน”
“ในที่สุด…วันนี้ก็มาถึงแล้วหรือ?” ไป๋ชิวหรานวางพู่กันลง ท่าทีของเขาดูคาดเดาได้ยากขณะบ่นพึมพำ “เจ้ารอข้าสักเดี๋ยว ข้าจะช่วยเจ้าเตรียมเม็ดยาสร้างฐานเอง”
เขายืนขึ้นและหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูเก่าอย่างมากออกมาจากหนังสือ จากนั้นจึงยื่นให้ถังรั่วเวย
“มาเถอะ นี่คือวิธีการทำสมาธิที่อาจารย์ของข้าได้ถ่ายให้ตอนที่ข้าจะเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน เจ้าสามารถใช้มันเพื่อสงบจิตใจให้ดีขึ้น อีกสองวันข้าจะเตรียมเม็ดยาสำหรับการสร้างรากฐานให้เจ้า!”