ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 287 ไม่สามารถบอกกล่าวได้
บทที่ 287 ไม่สามารถบอกกล่าวได้
บทที่ 287 ไม่สามารถบอกกล่าวได้
“เจ้า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งไป๋ชิวหราน หวงฝู่เฟิง และถังรั่วเวยต่างหันมองหลีจิ่นเหยาเป็นสายตาเดียว
“ศิษย์พี่หลี”
ถังรั่วเวยรู้สึกท้อใจ
“การเดินทางคราวนี้เต็มไปด้วยอันตราย แดนเซียนไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก เพราะเหตุนี้ท่านอาจารย์ถึงไม่อาจให้อาจารย์รองไปด้วยได้”
“อะไร? อันตรายงั้นหรือ?”
หวงฝู่เฟิงยิ่งตื่นตระหนก
“แล้วเหตุใดบรรพชนกระบี่ถึงมาหาข้า?”
“เรื่องนี้…”
ไป๋ชิวหรานก้มมองพื้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จากนั้นเริ่มกล่าวพึมพำ
“วันนี้ช่างเป็นวันที่ดี…”
และหลีจิ่นเหยาที่อยู่ตรงนั้นได้รับฟังถ้อยคำของถังรั่วเวยแล้ว นางก็ตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่คิดหวาดกลัว ข้าเชื่อว่าท่านบรรพชนกระบี่ย่อมปกป้องข้าได้!”
“เจ้าเชื่อในตัวข้าจริง ๆ หรือ”
ชายหนุ่มหันมองนางพร้อมกล่าวคำ
“หากเป็นไปได้ ข้ายังลอบหวังว่าเจ้าจะมอบความไว้วางใจให้กับอาจารย์ของตนมากกว่านี้เสียหน่อย”
“พอ พวกเขาเอาชนะข้าไม่ได้แล้ว”
ต่อหน้าหวงฝู่เฟิง หลีจิ่นเหยาเผยความเหยียดหยามออกมา
“การเชื่อถือเขา… เจ้าเชื่อถือกระบี่คู่ในมือของข้าเสียจะดีกว่า”
อาจารย์และศิษย์อย่างไป๋ชิวหรานกับถังรั่วเวยมองหวงฝู่เฟิงพร้อมกัน แต่ชายผู้นั้นไม่มีความโกรธเคืองใด ๆ ซ้ำยังเผยใบหน้าผ่อนคลาย เขาพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว จิ่นเหยามีความทะเยอทะยานยิ่งกว่าหลิงอวิ๋น!”
เขาหันกลับไปหาไป๋ชิวหรานพร้อมกล่าวจริงจัง
“บรรพชนกระบี่ จิ่นเหยาไม่จำเป็นต้องอยู่ในสำนักอสูรสวรรค์ ดังนั้นท่านสามารถพานางไปได้”
“เจ้าเต็มใจจริง ๆ งั้นหรือ? เด็กคนนี้คือร่างอสูรสวรรค์ที่หาพบได้ยากในรอบหลายพันปี”
ไป๋ชิวหรานกล่าวถาม
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าพานางไปที่แดนเซียนแล้วไม่สามารถกลับมาได้อีกหรือ?”
“ข้าไม่กลัว”
หวงฝู่เฟิงยิ้ม ก่อนจะกล่าวต่อ
“เจ้าสำนักซูยังอยู่บนโลกใบนี้ และข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่กลับมา”
สหายผู้นี้ดูคล้ายจะโง่เขลาไปบ้าง แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะฉลาดหลักแหลมนักในเวลาเช่นนี้
“นอกจากนี้ ศิษย์สุดที่รักของท่านยังอยู่ที่นี่ด้วยมิใช่หรือ?”
หวงฝู่เฟิงหันไปมองถังรั่วเวย
“ไม่ใช่”
ถังรั่วเวยโบกมือพร้อมกล่าวว่า
“ข้าต้องตามท่านอาจารย์ไปเช่นกัน”
“แล้วเมื่อครู่ที่รั่วเวยบอกข้าถึงอันตราย…”
หลีจิ่นเหยาสบถ
“เจ้าไปที่นั่นไม่ใช่ว่าอันตรายกว่าข้างั้นหรือ? เจ้าอยู่ในขั้นปฐมวิญญาณเท่านั้น”
“ศิษย์พี่หลี ข้าไม่เหมือนกับท่าน”
ถังรั่วเวยยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวต่อ
“ข้ามีเหตุผล…”
“เหตุผลใดงั้นหรือ?”
“มัน… ก็แค่…”
ดวงตาของถังรั่วเวยกลายเป็นหลบเลี่ยง
“ยากที่จะกล่าวออกมา…”
“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย หลีจิ่นเหยาจึงตอบกลับทันที อีกทั้งนางยังหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างพิจารณา
นางหยุดถามสาวน้อย และหันไปหาไป๋ชิวหรานแทน
“ท่านบรรพชนกระบี่ แล้วตกลงว่าท่านจะให้ข้าพาท่านไปที่นั่นหรือไม่?”
“ไปสิ แน่นอน”
หวงฝู่เฟิงกล่าวโพล่งขึ้น
“ให้นางไปพบเจอสิ่งแปลกใหม่บ้างเสียก็ดี”
“เอาล่ะ… ถ้าเช่นนั้น”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับหลีจิ่นเหยา
“ขอบคุณแม่นางหลี”
“ข้าเต็มใจ”
หลีจิ่นเหยาโบกมือพร้อมเผยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
“ข้า… เคยบอกให้ท่านเรียกขานข้าว่าจิ่นเหยามิใช่หรือไร?”
“อ้อ จิ่นเหยา”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“เช่นนั้น วันนี้เจ้าเตรียมตัวให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปพบเซียนหงเฉิน เขาจะสอนวิธีพาผู้คนขึ้นไปที่แดนเซียน”
…
หลังจากที่หลีจิ่นเหยาเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว นางถูกไป๋ชิวหรานพาตัวไปอย่างรวดเร็ว และมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเซียนหงเฉิน
“ท่านอาจารย์ สตรีผู้นี้?”
เซียนหงเฉินหรี่ตาลงพร้อมกับมองหลีจิ่นเหยา
“แท้จริงแล้วร่างกายเช่นนี้ แม้จะคล้าย ทว่ากลับแตกต่างจากท่านอาจารย์โดยสิ้นเชิง… สาวน้อย ข้าขอทราบแซ่ของเจ้าได้หรือไม่?”
“ข้าแซ่หลี และมีนามว่าจิ่นเหยา”
หลีจิ่นเหยาประสานหมัดพร้อมกล่าวต่อ
“เช่นนั้นขอถามนามของศิษย์พี่เช่นกัน?”
“โอ้ ๆ ผู้อาวุโสไม่กล้า”
เซียนหงเฉินโบกมืออย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวว่า
“แม่นางหลีสามารถเรียกข้าว่าโม่เฉินได้”
“ท่านโม่เฉิน”
หลีจิ่นเหยาขานรับด้วยน้ำเสียงสดใส
“เช่นนั้น ฝากเจ้าดูแลจิ่นเหยาด้วย”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับเซียนหงเฉิน
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ เสร็จสิ้นแล้วถึงจะกลับมา”
“ท่านอาจารย์โปรดระมัดระวัง”
เซียนหงเฉินกล่าวลากับไป๋ชิวหราน
เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวหรานพาถังรั่วเวยออกจากที่นี่แล้ว เซียนหงเฉินจึงกล่าวกับหลีจิ่นเหยาว่า
“สาวน้อย เช่นนั้นจงตามข้ามา”
หลีจิ่นเหยาเดินตามเซียนหงเฉินเข้าสู่ป่าไผ่ ขณะที่กำลังเดิน เซียนหงเฉินกล่าวขึ้นว่า
“ข้าลอบมองใบหน้าของสาวน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าตกหลุมรักท่านอาจารย์?”
“ถูกต้องแล้ว ข้าตกหลุมรักท่านบรรพชนกระบี่”
หลีจิ่นเหยากล่าวตอบรับอย่างซื่อตรง!
“ท่านโม่เฉินช่างเป็นผู้อาวุโสที่เก่งกาจนัก แววตาเฉียบแหลม ข้าหวังว่าแววตาของท่านบรรพชนกระบี่จะยอดเยี่ยมเทียบเท่ากับท่าน”
“ความเก่งกาจของท่านอาจารย์นั้นมากมายกว่าชายชราผู้นี้นัก แต่สำหรับเรื่องนี้ท่านอาจารย์กลับมิใช่บุคคลที่อ่อนไหวง่ายดาย”
เซียนหงเฉินยิ้ม
“ฮ่าฮ่า และความจริงที่ชายชราทราบถึงจิตใจของแม่นางหลีนั้นไม่ใช่เพราะข้าช่างสังเกต แต่เพราะเคยเป็นคนจัดการเรื่องการแต่งงานของท่านอาจารย์เมื่อนานมาแล้ว ข้าจึงเห็นเบาะแสเล็กน้อยเกี่ยวกับเส้นด้ายสีแดงแห่งโชคชะตา”
“โอ้?”
ดวงตาของหลีจิ่นเหยาเป็นประกาย
“หากข้าถามความคิดของท่านโม่เฉิน เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านบรรพชนกระบี่จะมองมาที่ข้าบ้าง?”
“ก็อาจจะมี แต่อย่างไรแล้วเจ้ายังต้องต่อสู้เพื่อสิ่งนั้น มิฉะนั้นคงไม่อาจร่วมชะตากรรมกับเขาได้”
เซียนหงเฉินกล่าวกับหลีจิ่นเหยา
“สาวน้อยคงจะทราบดีว่าโลกใบนี้ถูกผู้คนยึดครองตั้งแต่บรรพบุรุษ ความพยายามของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้จริง ๆ”
หลีจิ่นเหยาครุ่นคิด
“เอาล่ะ ข้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เช่นนั้นเรามาจัดการเรื่องของเรากันเถิด พลังเวทของข้านั้นไม่ยากเย็นนักที่จะถ่ายทอดมันให้แม่นางหลี”
เซียนหงเฉินเดินเตร็ดเตร่ก่อนจะกล่าว
“โชคดีที่ท่านอาจารย์เลือกคนเก่งกาจเช่นเจ้ามา หากเป็นคนที่โง่เขลาสักหน่อย วิธีการที่ชายชราผู้นี้ตระเตรียมไว้คงจะไม่ดีนัก และข้าไม่อยากจะทำผิดต่อท่านอาจารย์ด้วยการใช้วิธีที่โง่เขลา”
“วิธีโง่เขลาอย่างไร?”
หลีจิ่นเหยาเหลือบมองด้วยความสงสัย
เซียนหงเฉินเหลือบมอง
“หากเก็บใส่กระเป๋าไม่ได้ ข้าคงจะรู้สึกผิดกับท่านอาจารย์และคงต้องใช้วิธีการจับมือให้แน่น มัดทั้งสองด้วยเชือก แล้วใช้พลังเซียนขึ้นสู่แดนเซียน… ซึ่งนี่อาจจะทำให้ท่านอาจารย์กลายเป็นผู้ลักลอบที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติในห้วงกระแสว่างเปล่า แต่อย่างไรแล้วด้วยความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…”
หลีจิ่นเหยาไม่ได้ฟังสิ่งที่เซียนหงเฉินกล่าวเลย ทว่าความสนใจของนางมุ่งไปที่คำว่า ‘จับมือไว้ให้แน่น’ แววตาของสตรีจากสำนักอสูรสวรรค์กลอกไปมา พร้อมกับเผยความเจ้าเล่ห์
…
หลังจากบอกลาหลีจิ่นเหยากับเซียนหงเฉิน ไป๋ชิวหรานก็พาถังรั่วเวยไปที่สำนักเหอฮวน
การฟื้นฟูของสำนักเหอฮวนเสร็จสิ้นแล้ว แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีสำหรับการฟื้นฟูสำนักแห่งนี้ให้กลับสู่สถานการณ์ก่อนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ
ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา ซูเซียงเสวี่ยไม่อาจออกจากสำนักได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าไป๋ชิวหรานจะใช้พลังของหลีจิ่นเหยาเพื่อขึ้นสู่แดนเซียน นางจึงไม่ได้กล่าวคัดค้านใด ๆ เพียงแค่กล่าวเตือนไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ถึงเรื่องความปลอดภัย และบอกกล่าวให้ชายหนุ่มปกป้องสตรีทั้งสองให้ดี
หลังจากบอกกล่าวกับซูเซียงเสวี่ยแล้ว สัมผัสเทวะของไป๋ชิวหรานก็แทรกซึมเข้าสู่ยมโลกอีกครา เขาเข้าสู่ร่างของจักรพรรดิภูตผี
ขณะนี้ เขาก้าวออกจากวิหารจักรพรรดิภูตผีไปพบเจียงหลาน ซึ่งอีกฝ่ายกำลังหมกมุ่นอยู่ในหอตำรายมโลก…