ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 29 อาจารย์ที่ถูกลูกศิษย์ตามทัน
บทที่ 29 อาจารย์ที่ถูกลูกศิษย์ตามทัน
เมื่อกล่าวถึงวิธีกลั่นเม็ดยาสร้างรากฐาน เกรงว่าในโลกของผู้ฝึกตนคงไม่มีใครเชี่ยวชาญไปกว่าไป๋ชิวหรานอีกแล้ว
ในช่วงสามพันปีที่ผ่านมา เขาจำไม่ได้แล้วว่าศึกษาเม็ดยาสร้างรากฐานมากี่สำนักแล้ว และไม่รู้ว่ากินยาสร้างรากฐานไปกี่เม็ดเช่นกัน อย่าว่าแต่ประสิทธิภาพของเม็ดยา แม้แต่รสชาติของมันเขายังรู้เพียงแค่มองดูสีและกลิ่นจากเม็ดยานั้น ๆ
ในปัจจุบัน สูตรยาสร้างรากฐานของห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรมก็ถูกเขียนขึ้นโดยเขาเอง
แต่สำหรับถังรั่วเวย เม็ดยาสร้างรากฐานที่ไป๋ชิวหรานกลั่นไม่ใช่แค่เม็ดยาสร้างรากฐานธรรมดา
อย่างที่ชายหนุ่มกล่าวไว้ สภาพบางอย่างของถังรั่วเวยนั้นคล้ายกับเขามาก ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงต้องพยายามสร้างเม็ดยาให้เหมือนตอนที่เขาจะเข้าสู้ขั้นสร้างรากฐานครั้งแรก ยาเม็ดที่เขาจะทำให้ถังรั่วเวยตอนนี้ จึงเป็นเม็ดยาที่เซียนชิงหมิงมอบให้เขา มันเป็นเม็ดยาที่เซียนชิงหมิงกลั่นขึ้นมาด้วยตัวเอง
น้ำหนักของทุกส่วนผสมจากสูตร การควบคุมอุณภูมิความร้อน เขากลั่นมันขึ้นมาอย่างจริงจัง นี่คือหนึ่งในอารมณ์ของผู้เป็นอาจารย์…
มันไม่ใช่เพราะเขาต้องการให้ถังรั่วเวยเป็นหนูลองยาอะไรทำนองนั้น ไม่ใช่อย่างแน่นอน…
ไป๋ชิวหรานลงจากภูเขาและไปยังร้านขายยาที่ดูแลโดยห้าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ชิงหมิง
สิ่งอำนวยความสะดวกของสำนักกระบี่ชิงหมิงไม่ได้มีแค่การบ่มเพาะพลัง แต่ศิษย์ในสำนักยังสามารถใช้ศิลาวิญญาณเพื่อซื้อทรัพยากรที่ใช้บ่มเพาะพลัง หรืออาวุธตามระดับต่าง ๆ ของขั้นพลังบ่มเพาะที่เหมาะสม
ผลงานของศิษย์ในสำนักก็สามารถนำมาใช้แลกได้เช่นกัน
แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะไม่มีตำแหน่งในสำนัก อีกทั้งขั้นพลังยังอยู่แค่กลั่นลมปราณ แต่มูลค่าการมีส่วนร่วมกับสำนักของเขานั้นสูงที่สุดในสำนักกระบี่ชิงหมิง
ในช่วงเวลาสามพันปีที่ผ่านมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าช่วยศิษย์และสำนักให้รอดพ้นภัยพิบัติไปกี่ครั้งแล้ว
ดังนั้นจำนวนผลงานของไป๋ชิวหรานจึงมากที่สุดในสำนัก สิ่งนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและคนอื่น ๆ ในทางอ้อม เพราะตัวไป๋ชิวหรานนั้นมีความพิเศษอยู่ ทางสำนักไม่รู้ว่าควรจะจัดสรรทรัพยากรให้ไป๋ชิวหรานที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณระดับหกหมื่นได้อย่างไร
เป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีแล้วที่ไป๋ชิวหรานไม่ได้ใช้สิทธิพิเศษของสำนักกระบี่ชิงหมิง ดังนั้นสิทธิของเขาจึงสะสมรวมมาจนถึงปัจจุบันจนมันกลายเป็นตัวเลขที่ไม่อาจประเมินค่าได้
อาจกล่าวได้ว่า หากไป๋ชิวหรานเต็มใจ เขาก็สามารถกลายเป็นเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงได้ทันที นอกจากนั้นยังสามารถเป็นถึงผู้อาวุโสทั้งหมดทั้งระดับสูงสุดไปจนถึงระดับบริหาร
เพื่อสร้างรากฐานของถังรั่วเวยในวันนี้ ไป๋ชิวหรานจึงได้นำจี้หยกเก่าซึ่งมีอายุกว่าสามพันปีไปยังสำนักกระบี่ชิงหมิง จากนั้นจึงไปยังคลังเก็บของเพื่อใช้แต้มในจี้หยกแลกวัตถุดิบกลั่นยาออกมา
ตัวตนของเขาเป็นที่รู้จักเฉพาะเจ้าสำนัก ผู้อาวุโส และศิษย์สายตรงไม่กี่คน ดังนั้นเพียงไม่นาน ข่าวของบุรุษผู้มากด้วยสิทธิในการแลกเปลี่ยนจึงแพร่กระจายไปทั่วสำนักกระบี่ชิงหมิง
ข่าวนี้ไปถึงหูของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงและผู้อาวุโสอีกหลายคนอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถนิ่งนอนใจได้จึงรีบไปยังคลังเพื่อถามไป๋ชิวหราน
“อาจารย์ลุงกำลังทำสิ่งใด?”
“รั่วเวยกำลังจะเข้าสู่การสร้างรากฐาน ข้าจะปรับแต่งเม็ดยาสำหรับสร้างรากฐานให้นาง” ไป๋ชิวหรานตอบขณะบอกให้ผู้อาวุโสทั้งห้าเลือกวัตถุดิบทำยามาให้
“อะไรนะ? รั่วเวยกำลังจะเข้าสู่การสร้างรากฐาน?” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อตกใจอย่างมาก
“แพ้…”
“แพ้อะไรงั้นหรือ?” ไป๋ชิวหรานถามทันที
“แค่ก ไม่มีสิ่งใด” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกล่าวอย่างมีมารยาท “อาจารย์ลุงจะใช้สูตรใดในการปรับปรุงเม็ดยาสร้างรากฐานหรือ?”
“ข้าจะใช้สูตรที่อาจารย์เป็นคนกลั่นให้ในตอนนั้น” ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“จริงหรือ?” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อถามด้วยความสงสัย “สูตรยาที่ได้จากท่านเซียนชิงหมิงจะต้องวิเศษอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”
“ไม่ เวลานั้นผลตกค้างของมันเหมือนหายนะที่ยังคงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเป็นสูตรยาจากอาจารย์ของข้า ถึงมันจะไม่มีสิ่งใดขาดหาย แต่ก็ไม่มีสิ่งใดวิเศษเช่นกัน” ไป๋ชิวหรานตบบ่าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อพร้อมกล่าว “เจ้าลืมที่ข้าสอนไปแล้วงั้นหรือ? วิธีสำหรับบ่มเพาะพลังนั้นพัฒนาขึ้นทุกยุคสมัย เว้นแต่จะมีวิธีบ่มเพาะพลังจากยุคโบราณที่เคยรุ่งเรือง แต่กลับถูกภัยพิบัติกวาดล้างทำลายอารยธรรมอย่างกะทันหัน มิเช่นนั้นวิธีของปัจจุบันจึงดีที่สุด”
“แล้วเหตุใดท่าน…” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ลุง ท่านกำลังใช้ศิษย์ที่น่ารักอย่างรั่วเวยเป็นหนูทดลองงั้นหรือ!”
ตู้ม!
ไป๋ชิวหรานต่อยเจวี๋ยอวิ๋นจื่อทันทีท่ามกลางสายตาที่ตื่นตระหนกของศิษย์รอบด้าน จากนั้นจึงดึงคอเสื้อของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อขึ้นมา
“อย่าพูดจาไร้สาระ ข้าแค่นึกถึงอนาคตของรั่วเวย ผู้ฝึกตนที่แท้จริงต้องก้าวไปข้างหน้าทีละขั้นด้วยตัวเอง!”
“หาก…หากมันทำให้ท่านเป็นสุขก็ไม่เป็นไร”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อละล่ำละลักพูด
—
ภายในเวลาสองวัน ไป๋ชิวหรานก็กลั่นเม็ดยาสร้างรากฐานสำเร็จ คุณสมบัติและประสิทธิภาพของมันเท่ากับตอนที่เขาได้รับมา
หลังจากรู้ข่าวนี้ ผู้อาวุโสและเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงได้ละทิ้งงานของตนเองเพื่อมาชมอย่างตื่นเต้น
ด้วยการที่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องมารวมตัวกันมากมาย มันจึงทำให้ถังรั่วเวยเข้าไปในห้องฝึกตนด้วยความประหม่า จากนั้นนางจึงเริ่มปิดประตูเพื่อมุ่งมั่นสร้างรากฐาน ไป๋ชิวหรานเดินวนไปมาด้านนอกเพื่อรอดูผลที่เขาเคยเดิมพันไว้
เมื่อเห็นอาจารย์ลุงกำลังเดินไปมาด้านหน้าประตู บรรดาศิษย์ของเขาต่างพากันกังวล ทันใดนั้นเจ้าสำนักก็แอบกระซิบกับผู้อาวุโสด้านข้าง “ดูสิ นานเท่าไหร่แล้วที่พวกเราไม่ได้เห็นอาจารย์ลุงกระวนกระวาย เขาดูเหมือนคนกำลังรอภรรยาคลอดบุตรเลย เช่นนี้ก็แสดงว่าแผนของพวกเราเริ่มได้ผล เขาเริ่มห่วงใยถังรั่วเวยขึ้นมาแล้ว”
“ความห่วงใยก็คือความห่วงใย ข้าไม่คิดว่าเป็นความห่วงใยเช่นนั้น” ผู้อาวุโสหกตอบ
“เอาล่ะ…ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา” ผู้อาวุโสคนที่เจ็ดซึ่งอายุน้อยที่สุดได้ตะโกนขึ้น “อาจารย์ลุง หยุดเดินวนไปวนมาเสียที แค่สร้างรากฐานเอง ท่านจะกังวลสิ่งใดนัก? ถึงแม้จะเสียเงินเดิมพัน มันก็คงไม่ทำให้ท่านขาดทุนหรอกน่า”
“เฮ้อ ข้ากำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ที่ซับซ้อน” ไป๋ชิวหรานนั่งตรงข้ามกับบรรดาศิษย์รุ่นน้องพร้อมเผยใบหน้าตรงไปตรงมา “ในมุมหนึ่งของผู้เป็นอาจารย์ ข้าหวังอย่างมากว่ารั่วเวยจะสามารถบรรลุขั้นพลังและไปต่อให้ไกลที่สุด อีกด้านหนึ่ง ข้าไม่สามารถยับยั้งด้านมืดที่อยู่ในใจ ข้าคิดว่าหากมีใครสักคนมาเป็นสหายผู้ไม่สามารถข้ามขั้นกลั่นลมปราณได้ เช่นนั้นข้าก็คงจะมีความสุขมากเช่นกัน”
“เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะดึงผู้อื่นลงหลุมไปด้วย” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเห็นด้วยกับความน้อยเนื้อต่ำใจนี้
“แต่ข้าไม่คิดว่ารั่วเวยจะมีความสุขหากนางได้ยินเข้า” ผู้อาวุโสทั้งหกคนต่างก็แสดงท่าทีซับซ้อนเช่นกัน
การเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานของถังรั่วเวยนั้นยาวนานถึงสามวัน ซึ่งเหมือนกับของไป๋ชิวหราน
ในช่วงเวลานี้ ไป๋ชิวหรานได้ส่งให้ผู้อาวุโสและเจ้าสำนักกลับไปดูแลสำนัก แต่เมื่อคนเกียจคร้านเหล่านี้จากไป พวกเขาก็ยังแอบใช้สัมผัสทางจิตวิญญาณเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณที่นี่ เมื่อถังรั่วเวยกำลังจะออกมาจากห้องฝึกตน พวกเขาต่างพากันกลับมายังยอดเขาชีซิงราวกับนัดกันไว้
ความผันผวนของพลังวิญญาณได้ลดลง การพัฒนาของรั่วเข้าสู่ช่วงสุดท้าย และในที่สุดสัมผัสเทวะของพวกเขาก็หยุดพร้อมกับถังรั่วเวยที่สิ้นสุดกระบวนการ
สตรีผู้ที่อยู่อย่างสันโดษมาสามวันได้ผลักประตูเดินออกมา เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานจึงรีบไปพบนางพร้อมถามอย่างไม่สบายใจ “รั่วเวย เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าบรรลุขั้นพลังหรือไม่?”
นางมองดูอาจารย์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้ม
พลังแรงโน้มถ่วงทะลุผ่านร่างกาย มันกลายเป็นพลังงานรูปฝ่ามือประทับอยู่ตรงหินของลานบ้าน
ไป๋ชิวหรานจ้องเขม็งไปยังรอยฝ่ามือนั่น
ในรอยฝ่ามือมีพลังตกค้างที่เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังของธาตุดิน ซึ่งเป็นสัญญาณความสำเร็จในการเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน!!