ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 290 กระดูกงอกเร็วขึ้น
บทที่ 290 กระดูกงอกเร็วขึ้น
บทที่ 290 กระดูกงอกเร็วขึ้น
“ที่นี่คือแดนเซียนงั้นหรือ?”
หลังจากที่ร่วงหล่นสู่ปฐพี ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาก็รู้สึกถึงพลังวิญญาณที่มากขึ้นในบัดดล
ทันทีที่ทั้งสองร่วงหล่นสู่ทะเลเมฆลอยล่อง ไป๋ชิวหรานมองมันอย่างพิจารณาและพบว่าเมฆหมอกเหล่านี้รวมตัวกันจากพลังวิญญาณที่แท้จริงจำนวนมาก
และทันทีที่ร่างของทั้งสองสัมผัสพลังวิญญาณนี้ ร่างกายของพวกเขาจะดูดซับพลังวิญญาณเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทันที พลังของหลีจิ่นเหยาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ขอบเขตเซียน
ในขณะที่ไป๋ชิวหรานสูดลมหายใจลึก ทะเลเมฆรอบ ๆ ก็พลันหายไปหมดสิ้น และพลังวิญญาณที่แท้จริงของจุดฝู่จื่อในร่างกายยังสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน อัตราส่วนของพลังปราณแก่นแท้ของเขาที่ฝึกฝนตนมากว่าสองในสิบถูกลดลงอีกครั้ง
ใบหน้าของไป๋ชิวหรานมืดมนเมื่อเห็นว่าหลีจิ่นเหยาต้องการพลังวิญญาณที่แท้จริงจำนวนมากเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นพลังวิญญาณที่แท้จริงเหล่านี้ไม่มีผลอะไรกับเขา นอกจากการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นพลังปราณที่แท้จริงเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงปิดปากและบีบจมูกเอาไว้ เพื่อพยายามไม่ให้พลังวิญญาณที่แท้จริงเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้
เขาอาจจะเป็นคนแรก และคนสุดท้ายที่เดินผ่านสถานที่แห่งนี้โดยไม่คิดดูดซับพลังวิญญาณที่แท้จริง ซ้ำยังคิดปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วย!
หลีจิ่นเหยายืนอยู่ข้างเขาภายในกลุ่มเมฆหมอกแห่งพลังวิญญาณที่แท้จริง นางเข้าสู่สภาวะกลมกลืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว ดวงตาปิดสนิท สติปัญญาถูกฝังไว้ในห้วงภวังค์ ร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และพลังวิญญาณที่แท้จริงค่อย ๆ ผ่อนคลายร่างกาย อ้อมแขนของนางหลุดออกจากร่างกายของไป๋ชิวหรานไป…
ชายหนุ่มเหยียดมือออกไปจับไหล่ของนางเอาไว้เพื่อไม่ให้หายไป หลังจากไตร่ตรองสักครู่ เขาหยิบก้อนเมฆขึ้นมาจำนวนหนึ่งแล้วยัดเข้าไปในห้วงมิติเพื่อให้ถังรั่วเวยได้ดูดซับ
ขณะที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆหมอกโดยรอบ พลังของแสงบางส่วนยังคงเห็นได้ชัดเจนจากจุดสูงสุด ไป๋ชิวหรานมองดูมันและพบว่าพลังปราณวิญญาณเหล่านั้นอยู่ในขั้นปฐมวิญญาณ หลังจากที่เข้าสู่ที่นี่แล้วทะยานเข้าสู่อีกขอบเขตหนึ่ง มันจะไม่ร่วงหล่นลงมาอีก
พวกเขาต้องอยู่ในอากาศและดูดซับพลังในเมฆหมอกเหล่านี้ เพื่อก่อร่างใหม่ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี
อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิวหรานและเหล่าเซียนคนอื่น ๆ ที่มีเลือดเนื้อจะร่วงหล่นลงไปในเมฆหมอกที่ลึกกว่า ซึ่งจะสามารถดูดซับพลังปราณวิญญาณที่แข็งแกร่งเพื่อชดเชยให้กับตนเองได้
ไป๋ชิวหรานปิดกั้นทวารทั้งเจ็ดเพื่อไม่ให้พลังวิญญาณที่แท้จริงบุกเข้าสู่คฤหาสน์สีม่วงในร่างกาย ในขณะเดียวกันเขาพาหลีจิ่นเหยา และถังรั่วเวยออกไปอยู่ที่อื่น เขาไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใดถึงจะได้ไปต่อ หลังจากเฝ้ารออยู่เนิ่นนาน เวลาดำเนินผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็ร่วงหล่นจากชั้นเมฆหมอกหนาที่เต็มไปด้วยพลังมาสู่ช่องว่างระหว่างเมฆกับอากาศ
มีเมฆสีทองอยู่ทุกหนแห่ง และพลังของแสงสีทองเปล่งประกายไปทั่ว ยอดเขามากมายสูงตระหง่านปรากฏเหนือก้อนเมฆสีทองเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความงดงามของสรวงสวรรค์
หลีจิ่นเหยาฟื้นคืนสติกลับมา นางจับมือไป๋ชิวหรานแน่น ก่อนที่ทั้งสองจะร่อนลงบนเนินเขาตรงหน้าในทะเลเมฆหมอกด้วยกัน
พลังวิญญาณที่นี่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินหลายสิบเท่า แม้แต่ดินแดนแห่งขุมทรัพย์ของภูเขาหลิงที่ถูกสำนักใหญ่ครอบครองยังไม่อาจเทียบเท่าเนินเขาที่ไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยายืนอยู่ อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังมีพืชวิญญาณจำนวนมากที่หาพบได้ยากในโลกมนุษย์!
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นก่อนจะปลดปล่อยถังรั่วเวยออกมา จากนั้นเขาเหยียดมือออกไปเก็บวัตถุที่มีประโยชน์บนพื้นดิน และคิดจะใช้มันเพื่อเล่นแร่แปรธาตุในภายหลัง
“พลังวิญญาณที่นี่มากมายเหลือเกิน”
หลีจิ่นเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก
“ข้ารู้สึกว่าในทุกลมหายใจ จะทำให้ขั้นการฝึกตนเพิ่มพูนขึ้นมาก”
ถังรั่วเวยสูดหายใจเข้าลึกอีกสองครา จากนั้นเอื้อมมือมาสัมผัสหน้าอกของตนเอง ใบหน้างามเผยความเคอะเขินออกก่อนจะกล่าวกระซิบ
“เหตุใดข้ารู้สึกว่ากระดูกตรงนี้มันเติบโตเร็วนัก?”
“นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา พลังวิญญาณที่แท้จริงจะเปลี่ยนแปลง และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเจ้า และอีกอย่างมันมีผลในการปลุกความแข็งแกร่งทางสายเลือดของเจ้าด้วย”
ไป๋ชิวหรานเดินไปหาถังรั่วเวย ก่อนจะกระซิบกับนาง
“แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ เมื่อเจ้าว่าง ข้าจะทุบตีเจ้าให้อาจารย์ของเจ้าเอง”
ถังรั่วเวยสัมผัสหน้าอกของหลีจิ่นเหยา ขณะที่นางกอดหลีจิ่นเหยาเอาไว้ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างกังวล
“ตรงนั้นมีหนทาง”
หลีจิ่นเหยากล่าวขึ้น
ไป๋ชิวหรานกับถังรั่วเวยมองไปในทิศทางที่อีกฝ่ายชี้นำ และพบว่าระหว่างทะเลเมฆหมอกมีแผ่นหินลอยอยู่ มันประกบเข้าหากันกลายเป็นเส้นทางที่ทอดยาว
“นี่คงจะเป็นหนทางสู่แดนเซียนที่แท้จริง”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“เอาล่ะ เช่นนั้นเราเดินไปตามถนนเส้นนี้แล้วกัน”
ทั้งสามเดินตรงไปตามถนนเส้นนี้ เมื่อเดินมาเรื่อย ๆ พวกเขาได้พบกับเหล่าเซียนสองสามตนปรากฏตัวบนถนนเส้นนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดร่วมเดินทางไปพร้อม ๆ กัน
บางคนระมัดระวังผู้อื่นยิ่ง แต่ในขณะที่บางคนกลับกระตือรือร้นเมื่อได้พบคนแปลกหน้า
ไป๋ชิวหรานและกลุ่มของเขาเพิกเฉยต่อคนเหล่านี้ ทั้งหมดเร่งฝีเท้าเพื่อทิ้งระยะห่าง หลังจากเดินมาสักพักใหญ่ ในที่สุดก็เห็นสถานที่มากมายในทะเลเมฆหมอกด้านหน้า
มันคือหนทางที่ลอยอยู่เหนือทะเลเมฆหมอก และเชื่อมต่อกับเส้นทางที่เขากำลังยืนอยู่
ประตูเปิดกว้างออก ด้านหน้ามีเซียนผู้หนึ่งนั่งอยู่พร้อมกับโต๊ะผ้าสีแดง มีกระดาษกับปากกาวางอยู่บนโต๊ะนั้น
เมื่อมีเซียนคิดจะผ่านประตูนั้นไป เซียนผู้นั้นจะถูกหยุดไว้เพื่อตอบคำถาม และร่างภาพของคนผู้นั้นเอาไว้บนกระดาษก่อนจะสามารถผ่านไปได้
เมื่อไป๋ชิวหรานเข้าใกล้ อีกฝ่ายก็ตะโกนออกมาอย่างเกียจคร้าน
“ประเดี๋ยว! พวกเจ้ามาลงชื่อตรงนี้เสียก่อน”
ไป๋ชิวหรานหยุดฝีเท้า และเดินตรงไปที่โต๊ะ
เซียนผู้นั้นเงยหน้าอย่างเกียจคร้านก่อนจะเหลือบมองหลีจิ่นเหยา
“โอ้ เซียนที่ขึ้นสู่สวรรค์ด้วยกายเนื้อเช่นนี้หาพบได้ยากเย็นนัก”
จากนั้นเขาก็มองถังรั่วเวย
“ผู้ฝึกตนขั้นปฐมวิญญาณ เป็นศิษย์รุ่นน้องที่ขึ้นมาพร้อมกับท่านงั้นหรือ? โอ้ นับว่ามีความสามารถไม่น้อย”
กล่าวจบ เขาเงยหน้าเหลือบมองไป๋ชิวหราน
“หืม? ข้าไม่อาจมองทะลุบุรุษผู้นี้ได้… ขั้นฝึกฝนตนของเจ้าอยู่ในระดับใด?”
ชายหนุ่มประสานมือก่อนจะกล่าวตอบอย่างไร้ยางอาย
“พี่ใหญ่คงกล่าวหยอกล้อข้าแล้ว ในเมื่อข้าสามารถมาสู่ที่นี่ได้ ขั้นฝึกฝนตนของข้าควรจะอยู่ระดับใดเล่า?”
“ดวงตาของข้าไม่อาจมองทะลุเจ้าได้น่ะสิ”
“เรื่องนี้… เป็นเพราะข้ามีขั้นฝึกฝนตนที่พิเศษกว่าผู้อื่น”
“หนุ่มสาวเอ๋ย ยามนี้พวกเจ้าคงกำลังคิดปิดบังและหลบซ่อน ลืมมันไปเสีย… ข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะพูดคุย”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ชิวหราน เซียนผู้นั้นก็โบกมืออย่างไม่หยี่หระ
“มานี่ แล้วลงชื่อซะ มาจากโลกไหน สำนักใด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้า ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องบอกกล่าว”
ทั้งสามคนเขียนรายงานลงไป และจากนั้นเขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“อืม… สำนักกระบี่ชิงหมิง? มีผู้ใดในสำนักของเจ้าเคยขึ้นมาที่นี่ก่อนหรือไม่? เรามีบริการที่สามารถช่วยให้เจ้าได้พบกับบรรพบุรุษของตน”
“ทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ?”
ไป๋ชิวหรานอุทานออกอย่างประหลาดใจ
“แน่นอน!”
เซียนผู้นั้นชูกำปั้นขึ้นฟ้า
“แน่นอน เซียนผู้นี้หมายความเช่นนั้น… หากไม่ได้ข้าช่วยเหลือในแดนเซียนแห่งนี้ เจ้าจะต้องทำทุกสิ่งด้วยตนเอง และขั้นตอนทั้งหมดนั้นยุ่งยากยิ่ง”
“ที่นี่คือแดนเซียนตะวันออกใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวถาม
เซียนพยักหน้า
“พี่ใหญ่…”
ไป๋ชิวหรานไตร่ตรองก่อนจะกล่าว
“ได้โปรดช่วยข้าค้นหาคนที่ขึ้นมาที่นี่เมื่อสามพันปีที่แล้วได้หรือไม่ เขานามว่าชิงหมิงจื่อ”