ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 299 สหายเฒ่า
บทที่ 299 สหายเฒ่า
บทที่ 299 สหายเฒ่า
ไป๋ชิวหรานควบคุมยานพาหนะเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลาหลายวัน
เพราะใช้พลังปราณแก่นแท้ของเขาในการควบคุมยานพาหนะ ทั้งหมดจึงใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการเข้าสู่เมืองเจิ้งหยาง ซึ่งที่นี่คือศูนย์กลางของแคว้นดวงตะวันสวรรค์ ทั้งหมดพุ่งไปที่ขอบเขตตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนแห่งนี้
เมื่อมองทะเลเมฆหมอกที่สุดขอบฟ้า ไป๋ชิวหรานก็หยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นนำกลุ่มของเขาไปยังเทือกเขาใกล้เคียง
หลังออกจากเมืองเจิ้งหยาง แล้วส่งสัญญาณเสร็จสิ้น ผู้ที่สัญจรไปมาบนถนนเส้นนี้ต่างไม่มีผู้ใดคิดสนใจพวกเขาอีก
แม้ว่ามันจะเป็นการพรางสายตาจากกองกำลังอื่น ๆ หรือว่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดาก็ตาม แต่ด้วยสัญชาตญาณของไป๋ชิวหรานแล้ว เขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่จริง
นอกจากนี้ แม้ว่ามันจะเป็นกับดัก เขาก็ไม่คิดหวาดกลัว!
ทั้งหมดเดินลึกเข้าไปในเทือกเขา หลังจากเข้าใกล้จุดที่กำหนด พวกเขาก็ได้ยินเสียงการขุดเจาะดังแว่วมา
พวกเขาเร่งฝีเท้าเดินผ่านป่าเขียวชอุ่ม หลังจากเดินมาสักระยะหนึ่ง สุสานในที่เปิดโล่งก็ปรากฏสู่สายตาด้านหน้า และที่ป้ายหลุมศพเหล่านี้มีชายชราสวมผ้าเนื้อหยาบ กำลังสับผลั่วในมือเพื่อขุดดินอย่างขะมักเขม้น
เขาแข็งแกร่ง ทุกครั้งที่ออกแรง เขาสามารถขุดหลุมขนาดย่อม ๆ ออกมาได้… เพียงชั่วครู่ เขาสามารถขุดหลุมที่สามารถรองรับร่างของมนุษย์ได้
จากนั้นชายชราวางพลั่วลง ยกโลงศพข้างตัวขึ้นแล้วยัดลงไปในหลุม ก่อนจะกลบดินเพื่อปิดปากหลุม เขาใช้หินโดยรอบวางข้าง ๆ หลุมศพเพื่อความสวยงาม
สุดท้าย เขาเริ่มใช้สิ่วแกะสลักลวดลายบนหลุมศพ
“แดนเซียนตะวันออก สุสานหวางเฉิง”
หลังจากทำทุกสิ่งเสร็จสิ้นแล้ว ชายชราถืออุปกรณ์ในมือไปยังพื้นที่โล่งใกล้ ๆ แล้วเริ่มสับพลั่วลงดินเพื่อขุดหลุมขนาดใหญ่เพิ่ม
“ตาเฒ่าผู้นี้ กล้าดีอย่างไรกัน”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชิงหมิงจื่อส่ายศีรษะเบา ๆ
“ขุดหลุมฝังศพอะไรกัน?”
ไป๋ชิวหรานถาม
“หวางเฉิงคือชื่อของจักรพรรดิชิงที่นั่งตำแหน่งราชครู”
หลิวซืออธิบาย
จากนั้นทุกคนกวาดสายมองไปรอบ ๆ อีกครั้งและพบว่าบนศิลาจารึกเหล่านั้นมีชื่อสลักเอาไว้
“มันคือชื่อและสกุลของทุกคนในกองกำลังจักรพรรดิชิงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในดินแดน”
ชิงหมิงจื่อชี้ไปในทางเดียวกัน ก่อนจะกล่าวอย่างประหลาดใจ
“แม้แต่หลุมศพของจักรพรรดิชิงเองก็ยังมี”
ไป๋ชิวหราน และคนอื่น ๆ มองดูและพบชื่อ ‘เนี่ยชิงยวิน’ สลักอยู่บนแผ่นจารึก
“สกุลของราชวงศ์ชิงตะวันออกคือ ‘เนี่ย’ และเนี่ยชิงยวินคือชื่อของจักรพรรดินักสู้ศักดิ์สิทธิ์คนสุดท้าย”
จื้อเซียนที่อยู่บนเข็มขัดของไป๋ชิวหราน และแสร้งตายมาเนิ่นนาน อดไม่ได้ที่จะกระซิบบอกเขาในเวลานี้
และบางทีอาจเป็นเพราะชิงหมิงจื่อ กับหลิวซือกำลังตื่นตระหนก ทั้งสองจึงไม่ได้ยินสิ่งที่จื้อเซียนกล่าวเมื่อครู่
“ผู้เฒ่า”
หลีจิ่นเหยาอดไม่ได้ที่จะประสานกำปั้นให้กับชายชราที่กำลังขุดหลุมอยู่ตรงหน้า
“กาลครั้งหนึ่ง มีสหายเก่าผู้หนึ่งที่คล้ายคลึงกับชิง ตอนนี้หลุมฝังศพรอบ ๆ เป็นสีเขียวของหญ้า”
“เย่อหยิ่งนัก”
ถังรั่วเวยอดไม่ได้ที่จะกล่าว
“นี่คือดินแดนเซียนตะวันออก ท่านกล้าดีอย่างไรมาขุดหลุมศพให้จักรพรรดิเซียนแห่งแดนเซียนตะวันออก?”
“ฮึ่ม… มนุษย์ย่อมต้องตายตก และจักรพรรดิเซียนเองก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ทำไมเขาถึงไม่มีหลุมศพของตนเองล่ะ?”
ชายชราหยุดมือ ก่อนจะถือพลั่วไว้ข้างกายแล้วถอนหายใจอย่างเย็นชา
“แดนเซียนตะวันออกกลายเป็นสิ่งไร้ซึ่งชีวิตชีวาแล้ว ข้าขุดหลุมฝังศพของพวกเขาไว้ เพราะขยะไร้ประโยชน์เหล่านั้นควรจะอยู่ในป่าลึกเมื่อตายตก”
คำพูดของชายชราตรงไปตรงมา ชิงหมิงจื่อและหลิวซืออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“หยุดกล่าวไร้สาระได้แล้ว พวกเจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่?”
ชายชราหยุดชั่วคราวก่อนจะกล่าวอย่างหมดความอดทน
“หากพวกเจ้าหลงทาง ก็จงออกไปเสีย หากไม่มีอะไรแล้วก็อย่าได้รบกวนข้า ข้าจะขุดหลุมฝังศพให้ไอ้พวกโง่เขลาที่ยังเหลืออยู่ในสวรรค์ชั้นสาม”
“แน่นอนว่ามี”
ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อ
“พวกเรามาที่นี่ภายใต้การแนะนำของคนผู้หนึ่งหลังจากส่งสัญญาณ เราต้องการขอให้ท่านผู้เฒ่าพาเราไปที่แดนเซียนกลาง”
“ต้องการไปแดนเซียนกลางอย่างนั้นหรือ?”
ชายชราหัวเราะพร้อมชี้ไปที่ด้านข้างแล้วกล่าวว่า
“เอาล่ะ เข้าไปเลย เดี๋ยวข้านำทางเอง”
ทุกคนเดินตามทิศทางนิ้วชายของชรา และพบว่าเขาชี้ไปทางกองโลงศพที่ว่างเปล่า
“อย่างไรก็ตาม แดนเซียนกลางเป็นเพียงศพที่ขี้ขลาด พวกเขาไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด แต่คนในแดนเซียนทั้งสี่ทิศสามารถกดขี่พวกเขาเพื่อสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้เสมอ แม้แต่ศิษย์น้อง พวกเขายังไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน”
เขาสบถ
“หากพวกเจ้าต้องการเข้าสู่แดนที่ตายตกไปแล้ว พวกเจ้าย่อมตายตกเช่นเดียวกับพวกเขา”
“นั่นเป็นถ้อยคำที่หยาบคาย”
ผู้ทรงเกียรติกุ้ยกล่าว
“เห็นได้ชัดว่าดินแดนแห่งความตายคือยมโลก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแดนเซียนกลาง”
“หึ เพราะสิ่งนั้นก็เป็นแดนมรณะเช่นกัน”
ชายชราหัวเราะ
“ปล่อยให้จักรพรรดิเซียนข่มเหงต่อไป สุดท้ายจักรพรรดิภูตผีก็ไม่สนใจสิ่งใดกว่าสามแสนปี มันไม่ต่างอะไรจากวิญญาณที่ไร้ซึ่งหัวใจ!”
“เจ้า!”
ผู้ทรงเกียรติกุ้ยเผยความโกรธผ่านใบหน้า แต่ไป๋ชิวหรานหยุดนางเอาไว้ก่อน
“ผู้เฒ่ากล่าวถูกต้องแล้ว”
ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะ
“ผู้ที่ต่อสู้ได้เก่งกาจกลับไร้ความสำเร็จ ผู้ภักดีไม่คิดโอ้อวด และผู้ที่เก่งกาจด้านการรักษากลับไร้ชื่อเสียง แม้ทั้งหมดจะหยาบคาย แต่ก็ถูกต้องทั้งสิ้น ผู้เฒ่า… ข้าต้องขออภัยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในยมโลกเมื่อสามแสนปีที่ผ่านมา ยามนี้จึงไม่คิดโต้เถียงสิ่งใดทั้งสิ้น”
“แล้วจักรพรรดิเซียนกลางที่สูญเสียผู้บังคับบัญชาของตน เขาร้องไห้ราวกับเด็กไร้มารดา คร่ำครวญ ขี้ขลาด สิ่งนี้น่าสมเพชนัก”
ชายชรารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย เขาชี้นิ้วมาทางไป๋ชิวหราน
“ไอ้ขี้ขลาด ตายตกไปเสียยังจะดีกว่า!”
“ยังมียางอายอยู่หรือไม่?”
ในที่สุดผู้ทรงเกียรติกุ้ยก็ไม่สามารถอดทนได้อีก นางเริ่มสาปแช่ง
“เช่นนั้นเจ้าคงแข็งแกร่งนัก แล้วเหตุใดถึงไม่ใช้พลั่วในมือตบคนโง่เหล่านี้ให้ตายตกทีละคน จากนั้นค่อยลากพวกมันคืนสู่หลุมศพที่สร้าง เจ้าเอาแต่พูดพล่ามโทษผู้อื่น แต่ตัวเองก็ขี้ขลาดเช่นกัน!”
ฟึบ!
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ทรงเกียรติกุ้ย ชายชรายืนตัวตรงก่อนจะโยนพลั่วในมือทิ้งไป
เขาพับแขนเสื้อและเริ่มคิดที่จะโต้ตอบผู้ทรงเกียรติกุ้ย แต่เมื่ออ้าปาก ร่างกายกลับหยุดนิ่ง ไร้สุ้มเสียงออกจากลำคอ
เขานั่งลงบนหลุมศพที่ถูกขุดขึ้น ก่อนจะมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า จากนั้นยกมือหนาขึ้นปิดใบหน้าแล้วเริ่มร้องไห้ออกมา
“เป็นเช่นนั้น ข้าเอาชนะพวกโง่เหล่านั้นไม่ได้ ข้าไม่กล้าออกไปไหน เป็นคนขี้ขลาด เป็นได้เพียงคนขี้ขลาด…”
เขาร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มันคือเสียงหัวเราะที่แสนจะสมเพชในตัวเอง
“อาจารย์”
ถังรั่วเวยดึงแขนเสื้อของไป๋ชิวหรานอย่างช่วยไม่ได้
“ชายชราผู้นั้นร้องไห้ แล้วก็หัวเราะในคราวเดียวกัน เขาเป็นบ้าหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะ ก่อนจะประสานหมัดให้กับชายชราอย่างสุภาพ
“ท่านผู้เฒ่า ตราบใดที่พวกเราเข้าไปในโลงศพนั้น ท่านจะสามารถพาเราไปที่แดนเซียนกลางได้ใช่หรือไม่?”
“แน่นอน คนตายย่อมเข้าสู่โลกแห่งความตายได้!”
ชายชราชี้ไปที่ท้องฟ้า น้ำตาและน้ำมูกเปรอะเปื้อนใบหน้า เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
“นี่คือวิถีแห่งสวรรค์…”
“เอาล่ะ”
ไป๋ชิวหรานมองชิงหมิงจื่อและหลิวซือ
“อาจารย์หลิว…”
“เรียกข้าว่านายหญิง”
หลิวซือยิ้มจาง
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ข้าต้องขอโทษท่านทั้งสอง”
ไป๋ชิวหรานกล่าวขอโทษ
“เอาล่ะ”
ชิงหมิงจื่อโบกมือพร้อมกล่าวว่า
“ข้าไม่เคยนอนในโลงศพมาก่อน นับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจไม่น้อย”
“ไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานมองหลีจิ่นเหยาและถังรั่วเวย ถังรั่วเวยยกไหล่เบา ๆ อย่างไม่สนใจ ส่วนหลีจิ่นเหยากล่าวขึ้นว่า
“ข้าไม่อยากนอนในโลงศพจริง ๆ ยกเว้นท่านบรรพชนกระบี่จะไปกับข้า”
ไป๋ชิวหรานขี้เกียจเกินกว่าจะอ้อยอิ่ง เขาพยักหน้าตอบรับอย่างไม่คิด จากนั้นทั้งหมดจึงเลือกหลุมศพของตนเองก่อนจะลงไปนอนด้านใน ส่วนหลีจิ่นเหยาและไป๋ชิวหรานลงไปนอนในหลุมศพเดียวกัน
หลังจากที่ทุกคนนอนลง หลุมศพก็ปิดทันที จากนั้นมันพาทุกคนไปอีกดินแดนหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบเลยว่าปลายทางคือที่ใด!
ชายชรายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาพึมพำเย้ยหยันตนเอง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ จากนั้นไม่นานก็มีใครบางคนบินมาจากฟากฟ้าพร้อมกับร่อนลงบนพื้น
บุคคลผู้นี้ใบหน้าคมเข้ม แววตาเฉียบแหลม หล่อเหล่า และสูงตระหง่าน กงล้อด้านหลังศีรษะหมุนเชื่องช้า
“ผู้เฒ่า”
เขาหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะร้องเรียกชายชรา
“ข้าคือมหาเซียนขุยภายใต้จักรพรรดิชิง เจ้าเห็นบุรุษสอง สตรีสามที่เพิ่งมาแถวนี้หรือไม่?”
ชายชรานั่งอยู่บนหลุมศพ ยังคงพึมพำต่อไปและไม่สนใจชายผู้มาใหม่
“ผู้เฒ่า?”
มหาเซียนขุยขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ข้าขอถามสักหน่อย”
“ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาด ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาด…”
ทันใดนั้นชายชราลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เขาถือพลั่วไว้ในมือก่อนจะพึมพำคำเบา จากนั้นเหลือบมองมหาเซียนขุยด้วยแววตาลึกลับ
“ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาด ข้าจะสังหารไอ้พวกโง่เขลาแล้วฝังมันให้เจ้ารับชม!”