ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 3 เส้นตายใกล้มาถึงทุกปี
บทที่ 3 เส้นตายใกล้มาถึงทุกปี
หลังจากได้สิ่งที่ต้องการจากเจ้าสำนัก ไป๋ชิวหรานก็ออกจากยอดเขาหลักอย่างมีความสุขและกลับไปยอดเขาชีซิง
แต่ในช่วงที่ไป๋ชิวหรานออกไปข้างนอก ดูเหมือนจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมารออยู่ที่ลานบ้าน ไป๋ชิวหรานสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกและอึดอัดโชยออกมาทันที
เขาหยุดอยู่ตรงลานบ้านชั่วครู่ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไปในห้องนอน เขาเห็นว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญกำลังยืนอยู่หน้าเตียง
“ต้องเป็นเจ้าแน่อยู่แล้ว เชวียหลิง”
เขาถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวและมีใบหน้าที่ซีดเผือด
“มีธุระอะไรกับข้างั้นหรือ?”
“ไป๋ชิวหราน” ชายหนุ่มนามเชวียหลิงมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า “เวลาของเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว”
ใบหน้าของไป๋ชิวหรานเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะมองชายหนุ่มตรงหน้าเงียบ ๆ
จากนั้นไม่นานเขาใช้มือเกาศีรษะที่เต็มไปด้วยผมสีขาวก่อนจะกล่าว “เฮ้อ วันนั้นอีกแล้วสินะ… ตกลง ๆ ข้ารู้แล้ว กลับไปเสีย”
เชวียหลิงยังไม่จากไปไหน เขายืนอยู่ที่เดิมและเอ่ยถาม “สามพันปีแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ยอมแพ้อีก?”
“ยอมแพ้อะไร?” ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างจริงจัง “ผู้ฝึกตนต้องพากเพียร กล้าหาญ และอดทน! เจ้าสิเป็นเพียงวิญญาณจากยมโลก แต่กลับมาเกลี้ยกล่อมให้คนเป็นสละชีวิต”
ถูกต้อง เชวียหลิงคือผู้คุมวิญญาณที่มาเก็บเกี่ยวคนที่ใกล้สิ้นอายุขัย โดยรับคำสั่งจากเจ้านรกแห่งยมโลก ในฐานะผู้รักษาระเบียบของสวรรค์และโลก เว้นแต่เชวียหลิงจะยินยอมด้วยตัวเอง คนธรรมดาจะไม่สามารถมองเห็นเขาได้ หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนจากโลกเซียนก็ตาม
ในสำนักกระบี่ชิงหมิง นอกจากไป๋ชิวหรานแล้ว ทุกคนที่ใกล้สิ้นอายุขัย ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่กำลังปิดประตูบ่มเพาะพลังเพื่อทะลวงไปยังขั้นเซียนเพื่อหนีความจริง หรือแม้แต่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการมีตัวตนของเชวียหลิงได้
ในฐานะผู้ส่งสารแห่งยมโลก เชวียหลิงและไป๋ชิวหรานต่างก็เป็นคนรู้จักกันมาเนิ่นนาน แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะแข็งแกร่งจนไม่มีใครทัดเทียมได้ แต่เขาก็ยังคงอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น
ผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณแม้จะมีความเสถียรของพลังที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ยังมีอุปสรรคอยู่สองสามอย่าง และหนึ่งในนั้นคืออายุขัยที่สำคัญที่สุด
ถึงแม้ผู้ฝึกตนที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณจะมีอายุยืนกว่าคนธรรมดา แต่ก็อยู่ได้แค่สามถึงสี่ร้อยปีเท่านั้น ในช่วงเวลานี้หากพวกเขาไม่สามารถบรรลุขั้นสร้างรากฐานได้สำเร็จ ร่างกายของพวกเขาจะเหี่ยวเฉาและวิญญาณจะถูกนำไปคุมขังใต้พิภพเพื่อรอโอกาสเกิดครั้งต่อไป
แต่ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณของไป๋ชิวหราน เขากลับมีความโดดเด่นที่สุด ประการแรกคือลมปราณที่ไหลเวียนในร่างกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งและไม่มีวันเสื่อมสลาย อีกทั้งยังมีพลังวิญญาณธาตุไม้ระดับสวรรค์ วิญญาณธาตุชนิดนี้นอกจากจะช่วยให้วิชาธาตุไม้มีผลดีแล้ว มันยังทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสรรพคุณของโอสถและสมุนไพรได้อย่างเต็มที่ และสามารถใช้สมุนไพรรักษาโรคบางชนิดได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์นั้นสามารถกลั่นยาอายุวัฒนะที่เรียกว่า โอสถอายุยืน วิธีการกลั่นโอสถชนิดนี้นั้นง่ายอย่างมาก ทุกครั้งที่กิน มันสามารถยืดอายุขัยของมนุษย์ได้ถึงห้าปี แต่จำนวนครั้งที่ใช้ของมันก็มีขีดจำกัด ดังนั้นจึงมักจะใช้สำหรับผู้ฝึกตนที่มีอายุขัยช่วงท้ายของชีวิตเท่านั้น
แต่ไป๋ชิวหรานไม่มีข้อจำกัดนี้ เขาจึงอาศัยโอสถอายุยืนทำให้ตัวเองอยู่มาหลายพันปี
ครั้งแรกที่ไป๋ชิวหรานและเชวียหลิงพบกันคือสองพันปีก่อน ไป๋ชิวหรานได้เข้าสู่ช่วงสิ้นอายุขัยเป็นครั้งแรก ในเวลานั้นไป๋ชิวหรานได้เดินทางไปยังแคว้นอื่นและติดอยู่ในขอบเขตสวรรค์ของโบราณสถานแห่งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะกลั่นโอสถอายุยืน ขณะเดียวกันเชวียหลิงที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนี้ใหม่ ๆ ก็ได้มาจับกุมวิญญาณของเขา
ในเวลานั้นไป๋ชิวหรานรู้สึกว่ากำลังจะบรรลุขั้นพลัง เขาจึงต่อสู้ขัดขืนอย่างหนักเพื่อไม่ให้เชวียหลิงเอาวิญญาณไปได้ และท้ายที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายชนะ
แต่เชวียหลิงที่เป็นร่างวิญญาณไม่ยอมแพ้ เขาไล่ตามไป๋ชิวหรานต่ออีกเป็นเวลาหลายเดือน และไม่ยอมกลับยมโลกจนไป๋ชิวหรานสามารถกลั่นโอสถอายุยืนสำเร็จ
ทั้งสองมีความสัมพันธ์เช่นนี้มาเป็นเวลาสองพันปี ทุกครั้งที่ไป๋ชิวหรานใกล้จะสิ้นอายุขัย เชวียหลิงจะมารอเขาทุกครั้ง หลายร้อยปีก่อน ยมโลกได้ส่งกองกำลังวิญญาณจำนวนมากทั้งยมทูต หรือผู้พิพากษาวิญญาณมาพร้อมกับเชวียหลิงเพื่อเอาชนะไป๋ชิวหราน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครเอาชนะไป๋ชิวหรานได้ ดังนั้นยมโลกจึงค่อย ๆ ยอมแพ้เรื่องนี้ และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลา
ในปัจจุบัน เชวียหลิงได้กลายเป็นเหมือนนาฬิกาปลุกสำหรับไป๋ชิวหรานเมื่อถึงเวลาที่เขาใกล้สิ้นอายุขัย
“เจ้าอย่าได้คิดถึงมันอีกเลย ทะเลลมปราณของเจ้ามีมากมายมหาศาลยิ่งกว่าคนทั่วไป การเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานนั้นต้องแปรเปลี่ยนลมปราณให้กลายเป็นแก่นสาร เจ้ามีปราณเยอะถึงเพียงนั้น คิดหรือว่าจะบรรลุได้จริง ๆ?” เชวียหลิงกล่าวอย่างเย็นชา
“ล้มเลิกเสียเถอะ มันไม่มีโอสถหรือสมุนไพรวิเศษใดในโลกนี้ช่วยเจ้าได้หรอก กลับไปยังยมโลกกับข้าอย่างเชื่อฟังดีกว่า จักรพรรดิเซียนให้สัญญาว่าเจ้าจะได้เป็นเจ้านรกคนต่อไป และปกครองแดนใต้พิภพทั้งสิบเขต”
“ไม่เอา!” ไป๋ชิวหรานปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ข้าต้องการแค่ขั้นสร้างรากฐาน!”
“ฮืม เจ้าก็ทราบกฎของเราดี” เชวียหลิงเหล่มอง “ถ้าถึงเวลาแล้วเจ้ายังหาหนทางยืดอายุขัยต่อไม่ได้ ข้าจะกลับมาจับวิญญาณของเจ้า”
“รีบไสหัวไปเถอะ” ไป๋ชิวหรานโบกมือด้วยความไม่สบอารมณ์ “ว่างมากหรือไงถึงมัวมาอยู่กับข้าที่นี่?”
เมื่อเห็นท่าทีของไป๋ชิวหรานเป็นเช่นนั้น เชวียหลิงจึงไม่คิดจะพูดจาไร้สาระต่อ เขาหันหลังเดินไปยังมุมห้อง จากนั้นร่างของเขาก็ค่อย ๆ หายตัวผ่านผนังไปอย่างลึกลับ
อีกด้านหนึ่ง ไป๋ชิวหรานล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยเอาศีรษะพิงแขนของตนพร้อมจ้องมองบนเพดาน
ชีวิตของเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เซียนชิงหมิงรับเข้าสำนัก
ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณ เขาติดอยู่ในขั้นนี้มานานถึงสามพันปี
ทุกปีของวันสิ้นปี เขาจะต้องหายาอายุวัฒนะเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
บรรดาผู้ที่เคยคาดหวังในตัวเขาตอนแรก บางคนได้กลายเป็นเซียนมุ่งสู่โลกเซียน บางคนก็ล้มเหลวจากการทะลวงขั้นเซียน หรือบางคนก็ล้มตายในสนามรบ ส่วนศัตรูที่หมายเอาชีวิตเขาต่างก็จากโลกนี้ไปหมดแล้ว
สภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกเพลิดเพลินกับมันอีก แม้จะมีชีวิตที่ยืนยาวก็ตาม
ไร้ซึ่งคู่ครอง ไร้ซึ่งชื่อเสียง เขาเฝ้ามองดูศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคู่พบรักและกลายเป็นคู่ครองชั่วนิรันดร์สำเร็จ แต่เขากลับต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาสามพันปีโดยไม่มีผู้ใดข้างกาย
เขาได้ถอดชุดที่แสดงว่าเป็นศิษย์ของสำนักออก และยังปฏิเสธตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักกระบี่ชิงหมิง จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่ยอดเขาชีซิงเพียงลำพัง
ตลอดสามพันปีที่ผ่านมา เขายังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุการสร้างรากฐานเช่นเดิม
“เฮ้อ มีปัญหามาอีกแล้วสินะ” ไป๋ชิวหรานเกาสะโพกของตนขณะนอนอยู่บนเตียงพร้อมบ่นพึมพำ “ดูเหมือนลงเขาคราวนี้ เราจะต้องหาวัตถุดิบทำโอสถอายุยืนด้วยแล้ว”