ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 30 สุราอันขมขื่นที่ไหลผ่านลำคอ
บทที่ 30 สุราอันขมขื่นที่ไหลผ่านลำคอ
“อึก! อึก! อึก!” ไป๋ชิวหรานนั่งอยู่ตรงบันไดบ้านเจ้าสำนักพร้อมเงยหน้าขึ้นเทสุราเซียนระดับสูงลงท้องราวกับดื่มน้ำ จากนั้นจึงก้มหน้าลงพลางร่ำไห้ “บัดซบ! สร้างรากฐานแล้ว! นางใช้เวลาเพียงหกปีในการเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน!”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเหลือบมองขวดสุราเปล่าหลายโหล่กลิ้งอยู่บนพื้นภายในบ้าน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “อาจารย์ลุง ดื่มให้น้อยลง…”
“หุบปาก! เจ้าเข้าใจความเจ็บปวดของข้าตอนนี้งั้นหรือ? พวกเจ้าอย่าเข้ามายุ่ง!” ด้วยเสียงตะคอกกลับอันดุดัน ไป๋ชิวหรานโยนขวดสุราไปกระแทกกับกำแพงพร้อมใช้มือหนึ่งปิดหัวใจ
“ข้าคาดคิดไว้นานแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้เข้าสักวัน และไม่คิดว่ามันจะเร็วถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจารย์จะมีขั้นพลังสูงกว่าศิษย์ ส่วนศิษย์รุ่นน้องหรือผู้อาวุโสที่แซงหน้าข้าไปก็เป็นเรื่องธรรมดาในช่วงสามพันปีนี้ แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่ข้ากลัวมานานก็มาถึง ข้าต้องมาถูกศิษย์เพียงคนเดียวล้ำหน้าไปอีกงั้นหรือ?” เขาหันไปพร่ำเพ้อกับขวดสุราที่อยู่ด้านข้างก่อนจะฉีกผ้าปิดขวดออก
“เฮ้อ สุราอันขมขื่นไหลผ่านลำคอไปสู่หัวใจข้าที” ท้ายที่สุดไป๋ชิวหรานก็เทสุราเซียนระดับสูงที่มีมูลค่าหลายพันศิลาวิญญาณเข้าปากไป
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเห็นว่าสุราเซียนถูกดื่มไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจแทน อาจารย์ลุงของเขาใช้สุราเพื่อกลบความเศร้าโศกก่อนจะเดินออกไปที่ลานเพียงลำพัง ไป๋ชิวหรานยืนมองดวงจันทร์ที่สว่างไสวมาหลายพันปีเหนือท้องฟ้าสำนักกระบี่ชิงหมิง
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสทั้งหกก็พาถังรั่วเวยขึ้นมาบนยอดเขา เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาเจวี๋ยอวิ๋นจื่อจึงเปล่งประกายและรีบเข้าไปพบ
“ศิษย์น้อง อาจารย์ป้ารั่วเวย พวกเจ้ามากันแล้ว”
ตามศักดิ์ของไป๋ชิวหราน ถังรั่วเวยที่เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของเขาจึงมีลำดับขั้นที่สูงกว่าผู้อื่น แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดยังต้องเรียกนางว่าศิษย์พี่หรืออาจารย์ป้า
“เจ้าสำนัก” ถังรั่วเวยเป็นหญิงที่ฉลาดและไม่แสดงความเย่อหยิ่งกับตำแหน่ง นางคารวะเจวี๋ยอวิ๋นจื่อพร้อมเอ่ยถาม “ท่านเห็นอาจารย์ของข้าหรือไม่?”
“เขาร่ำไห้ขณะนั่งดื่มอยู่หน้าบ้านของข้าเมื่อครู่” ทันทีที่พูดถึงสิ่งนี้ เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็รู้สึกเจ็บปวดในใจอีกครั้ง “ตั้งแต่เขามาที่บ้านข้า เขาก็ดื่มสุราเซียนไปเกือบสามหมื่นศิลาวิญญาณแล้ว”
“อะไรกัน? เหตุใดถึงทำตัวน่าเกลียดเช่นนี้? เขาจะทำตัวเป็นเด็กไปได้อย่างไร?” ถังรั่วเวยพับแขนเสื้อขึ้นพร้อมเดินไปยังลานบ้าน “ข้าจะลากคอเขากลับไปเอง”
“อ๊ะ…” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อพยักหน้าและรีบยกนิ้วโป้งให้นาง “สมแล้วที่เป็นอาจารย์ป้ารั่วเวย”
เนื่องจากอายุของพวกเขา คนในรุ่นเดียวกับเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเติบโตขึ้นมาในการดูแลของไป๋ชิวหราน เมื่อตอนยังเป็นเด็ก พวกเขาถูกไป๋ชิวหรานอบรมเฆี่ยนตี แน่นอนว่าอาจารย์ลุงผู้นั้นไม่เคยออมมือ แม้แต่ผู้อาวุโสคนที่หกหรือคนเจ็ดที่เป็นสตรีก็ไม่มีข้อยกเว้น
แต่ถังรั่วเวยนั้นต่างกัน อาจเป็นเพราะตัวตนของนางในฐานะศิษย์สายตรง นางอ้างว่าเป็น ‘ความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง’ ไป๋ชิวหรานผู้ที่สามารถสังหารศิษย์ของสำนักโลหิตเทวะและเจ้าสำนักเหอฮวนจึงไม่กล้าแตะต้องนาง
มันยังกลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับทั้งสองที่จะทะเลาะกัน หรือพูดแทงใจดำกันได้มากกว่าใคร
ดังนั้นจึงมีเพียงถังรั่วเวยที่กล้าเกลี้ยกล่อมไป๋ชิวหรานซึ่งได้หนีมาที่นี่ เพราะมีเพียงนางที่ได้รับการยกเว้น เกรงว่าแม้แต่ผู้อาวุโสจู๋เฟิงที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดยังถูกไป๋ชิวหรานเฆี่ยนตีมาแล้ว
และด้วยสายตาที่ดูคาดหวังของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและชิงอวิ๋น ถังรั่วเวยจึงผลักประตูลานบ้านเดินเข้าไป จากนั้นก็มีกลิ่นโชยสุราอันรุนแรงแต่ยังคงความหอมลอยมาเตะจมูกของนาง
แค่ได้กลิ่นสุรา ถังรั่วเวยก็รู้สึกได้ถึงการแข็งตัวของแก่นแท้รากฐานที่เพิ่งก่อตัวได้ไม่นานมานี้ ซึ่งสามารถแสดงได้ถึงระดับของสุราเซียนว่าสูงเพียงใด เวลานี้นางเห็นขวดเปล่าเกือบสามโหลพร้อมกับอาจารย์ผมขาวของนางกำลังจ้องมองท้องฟ้า
“รั่วเวย” เมื่อเห็นถังรั่วเวยผลักประตูเข้ามา ดวงตาของไป๋ชิวหรานก็เต็มไปด้วยน้ำตา “เจ้าเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานแล้ว ยินดีด้วยจริง ๆ …”
เมื่อเห็นหน้าตาและท่าทีของผู้เป็นอาจารย์ ถังรั่วเวยก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ “ท่านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร? ข้าเป็นลูกศิษย์ของท่านนะ ความก้าวหน้าย่อมแสดงว่าท่านสอนดีสิ ท่านควรจะมีความสุขไม่ใช่หรือ? การที่มาเรือนท่านเจ้าสำนักแล้วร่ำไห้เป็นเด็กเช่นนี้หมายความอย่างไร?”
ด้วยเสียงตะโกนดังกล่าว เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและชิงอวิ๋นที่เฝ้าดูด้านนอกประตูถึงกับตกใจ จากนั้นพวกเขาก็มองนางด้วยความชื่นชม
“ข้ามีความสุขอยู่แล้ว” ไป๋ชิวหรานเอามือปิดหน้าและส่ายหัว “ข้าอยากจะร่ำไห้ด้วยความดีใจเท่านั้น…”
“การเดิมพันยังมีอยู่ใช่หรือไม่?” ถังรั่วเวยเลิกคิ้วขึ้น
“แน่นอน” ไป๋ชิวหรานยังคงปิดหน้าอยู่ “ไป๋ชิวหรานผู้นี้ไม่เคยกลับคำพูด”
“ดี” ถังรั่วเวยเดินไปหาอีกฝ่าย จากนั้นจึงยื่นมือออกไปลากเขาอย่างสุดกำลัง “ตามข้ากลับไปยังยอดเขาชีซิงเดี๋ยวนี้”
“ทำไมกัน?” คนอาจารย์เอ่ยถาม “นี่คือ ‘คำขอ’ ของเจ้างั้นหรือ?”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าไม่ได้โง่นะ” สตรีตรงหน้ากลอกตามองเขา “แต่ท่านลืมสัญญาเรื่องอื่นแล้วหรืออย่างไร? ข้าต้องการกระบี่บินระดับสูงสุด! กลับไปหลอมให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“เดี๋ยว อย่าดึงข้า…ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน ข้าจะเดินไปเอง!” อาจารย์และศิษย์เดินทางออกจากลานและกลับไปยังยอดเขาชีซิง เมื่อเห็นเช่นนี้ ชิงอวิ๋นจึงเผยรอยยิ้มออกมาน้อย ๆ
“รั่วเวยช่างน่าทึ่งนัก ในอนาคตหากอาจารย์ลุงไม่ยอมให้ความร่วมมือ พวกเราจะขอความช่วยเหลือจากนาง”
“ตกลง” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อพยักหน้าเห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดี”
—
หลังจากกลับมายังยอดเขาชีซิง ไป๋ชิวหรานก็ถูกยึดสุราเซียนไปทันที จากนั้นเขาก็ถูกผลักเข้าห้องหลอมต่อ
ชายหนุ่มรู้สึกว่าถังรั่วเวยแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เมื่อเผชิญหน้ากับนาง เขาจะรู้สึกพ่ายแพ้และไม่อาจต้านทานสิ่งใดได้ หลังจากฟื้นคืนสติ เขาจัดแจงวางส่วนผสมสำหรับหลอมกระบี่ ก่อนจะลงไปนั่งจุมปุกครุ่นคิดอยู่ตรงหน้าเตาหลอม
หรือขั้นสร้างรากฐานมีผลต่อการข่มขู่จิตใจของผู้ที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณด้วย?
ไป๋ชิวหรานรู้สึกตกใจ แต่อย่างที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยคิดจะผิดสัญญาหากแพ้เดิมพัน
วัสดุสำหรับหลอมอาวุธเหล่านี้ เขาได้เตรียมไว้เพื่อทำให้ถังรั่วเวยตั้งแต่นางบรรลุระดับแรกของขั้นกลั่นลมปราณแล้ว
แม่เหล็กทมิฬแห่งแดนตะวันตก ผลึกลึกลับจากท้องฟ้าและทะเล และยังมีโลหะป่า ของทุกชิ้นล้วนเป็นของมีค่าทั้งหมดในโลกผู้ฝึกตนซึ่งเขารวบรวมมาไว้ทีละชิ้น
ไป๋ชิวหรานดีดนิ้ว จากนั้นเปลวไฟขนาดเล็กก็พลันปรากฏขึ้น เปลวไฟเป็นสีแดงเข้มแต่ด้านในมีสีดำปะปนอยู่เล็กน้อย
สิ่งนี้คือเพลิงนิรันดร์ซึ่งเกิดจากผนึกอัคคีของไป๋ชิวหราน เนื่องจากชายหนุ่มไม่อาจสร้างรากฐานได้ ดังนั้นทักษะอย่างอื่นจึงไม่สามารถใช้ได้เช่นกัน ที่สามารถใช้ได้ก็มีเพียงทักษะของขั้นกลั่นลมปราณ
เพื่อชดเชยความสามารถต่าง ๆ ที่เสียไป ไป๋ชิวหรานจึงได้ค้นพบหลากหลายหนทางในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน ผนึกเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทุกอย่างในโลกสามารถใช้ผนึกเพื่อพึ่งพาความสามารถที่ต้องการได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พลังของผนึกจะไม่ได้แย่ไปกว่าวิชาหรือทักษะ แต่ก็เป็นการยากที่จะฝึกฝน อีกทั้งต้องใช้เวลาและพลังงานที่มากกว่า ส่วนธาตุที่ต้องใช้นั้นก็ต้องมีต้นกำเนิดธาตุที่เหมาะสมอีกด้วย
สำหรับไป๋ชิวหราน สิ่งที่เขามีมากที่สุดก็คือพลังงานและเวลา ส่วนต้นกำเนิดพลังงาน เขาได้พบมันมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ตัวอย่างเช่นผนึกอัคคีนี้ มันเป็นเพลิงนิรันดร์ที่ไป๋ชิวหรานหลอมขึ้นขณะจับอสูรวิหคอมตะได้ในป่า ชายหนุ่มจัดการบังคับให้มันพ่นไฟออกมาเพื่อซึมซับ
ด้วยผนึกอัคคีนี้ เขาจึงสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้นและดียิ่งกว่าไฟปกติ เพราะชายหนุ่มไม่สามารถกลั่นไฟจากขั้นขอบเขตแก่นทองคำได้
ตอนนี้เขากลายเป็นนักหลอมอาวุธ
หลังจากส่งเพลิงนิรันดร์ลงไปในเตาหลอม ไป๋ชิวหรานก็เริ่มสร้างกระบี่บินให้ถังรั่วเวยทันที
ตลอดเวลาสามพันปีนี้ เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับกระบี่บินอยู่บ่อยครั้ง และตอนนี้มันกำลังกลายเป็นแสงอาคมที่หลอมละลายวัสดุหายากภายในเตาหลอม
หลังจากตีและชุบอย่างต่อเนื่องด้วยเพลิงนิรันดร์ กระบี่บินก็ค่อย ๆ ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในเตาหลอม