ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 300 เข้าใจผิด
บทที่ 300 เข้าใจผิด
บทที่ 300 เข้าใจผิด
การนอนในโลงศพอาจจะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับทุกคน
การนอนอยู่ในที่มืดและแคบเป็นสิ่งที่ทุกคนจะได้พบเจอหลังจากตายตกเท่านั้น ขณะที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากภายนอกยังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง โลงศพนี้ถูกกระแทกเป็นครั้งคราว และภายในโลงของไป๋ชิวหรานมีสองคนอัดแน่นอยู่ในนั้น
อย่าได้คิดว่าหลีจิ่นเหยาที่อยู่ด้านข้างคือสตรีอ่อนโยนและเขินอาย ทั้งสองอยู่ในโลงศพเล็ก ๆ ด้วยกัน ยิ่งพบเจอกับความปั่นป่วนและสั่นไหว นางยิ่งรู้สึกเบียดเสียดและมีความสุขมากขึ้น
หลีจิ่นเหยาคือมนุษย์ มีร่างกายอ่อนนุ่มเช่นเดียวกับมนุษย์ ระหว่างทางไป๋ชิวหรานถูกศีรษะ ข้อศอก หัวเข่า และส่วนอื่น ๆ ของนางกระแทกเข้ามาหลายสิบครั้ง
แม้ว่าจะรู้สึกผิดกับถังรั่วเวย แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาถูกร่างกายของหลีจิ่นเหยาเบียดเสียดเข้ามา ไป๋ชิวหรานยังคิดเสมอว่าโชคดีที่คนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ของตน
หลีจิ่นเหยายังมีส่วนอ่อนนุ่มบนร่างกาย หากเป็นถังรั่วเวย… ส่วนที่กระแทกเข้ามาอาจจะเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าศอกและเข่าของหลีจิ่นเหยา
หลังจากผ่านเส้นทางที่โหดร้ายมาแล้ว ทั้งหมดอยู่ในความมืดมิดจนไม่ทราบวันเวลา สุดท้ายโลงศพก็หยุดเคลื่อนไหว ไป๋ชิวหรานออกแรงผลักประตูโล่งศพและพบว่ามันไร้แรงต้านทาน ดูเหมือนว่าจะมาถึงแล้ว…
เขาจึงเปิดประตูโลงศพออกแล้วยืนขึ้น
พลังวิญญาณมากมายพวยพุ่งเข้ามา สุริยาเหนือศีรษะของทำให้ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่าน กลิ่นอายของหญ้าเขียวขจีโชยมาเตะจมูก หากไม่ใช่เพราะโลงศพที่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ไป๋ชิวหรานคงรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้คือสวนหย่อมที่งดงาม
“แดนเซียนกลางเป็นเช่นนี้”
เขาถอนหายใจ
“แม้แต่สุสานก็ยังสร้างได้งดงามยิ่ง”
ด้านข้าง หลีจิ่นเหยาลุกขึ้นจากโลงศพ ใบหน้าของหญิงสาวมีรอยแดงขนาดใหญ่ มองเพียงแวบแรกก็ทราบได้ว่านางถูกกระแทกอย่างรุนแรง สิ่งแรกที่นางทำเมื่อลุกขึ้นคือกำจัดรอยแดงทั้งหมดบนร่างกาย
ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นเช่นนั้น
“เจ้ายังไหวอยู่หรือไม่?”
หลีจิ่นเหยาพยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวตอบ
“หากข้าต้องนอนอยู่ในนี้ทุกวัน ข้าคงจะกลายเป็นคนโง่เขลา…”
หลีจิ่นเหยาลอบคิดในใจว่าจะไม่นอนโลงศพของไป๋ชิวหรานอีกแล้ว เพราะว่าคนข้างกายของนางคือไป๋ชิวหรานที่มีร่างกายแข็งแกร่ง เมื่อร่างบอบบางกระแทกเข้ากับเขา ความเจ็บปวดนั้นเกินกว่าจะต้านทานได้ และยิ่งรู้สึกอึดอัดไม่น้อยหลังจากอยู่ร่วมกับเขาเป็นเวลานาน!
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถสนิทสนมกันได้โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิต…
ในเวลานี้ ฝาของโลงศพรอบ ๆ ไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาถูกผลักออก ชิงหมิงจื่อ หลิวซือ และถังรั่วเวยใช้มือถูร่างกายของตนเองเมื่อยืนขึ้น มีเพียงผู้ทรงเกียรติกุ้ยเท่านั้นที่ดูเป็นปกติที่สุด
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะตื่นขึ้นมาจากโลงศพ…”
ขณะที่กำลังถูจมูกสีแดงเรื่อ ถังรั่วเวยก็เอ่ยพึมพำ
“เป็นประสบการณ์ที่… ค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว”
เมื่อเห็นจมูกของนางแดงก่ำ ไป๋ชิวหรานจึงเข้าใจทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“เจ้าทุบโลงศพ หรือโลงศพกระแทกเจ้ากันแน่?”
“อะไร?”
ถังรั่วเวยมองหน้าเขาด้วยแววตาเย็นยะเยือก
“ข้าหมายถึง… ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว เจ้าต้องการให้ข้านวดมันดูหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวซ้ำ
ถังรั่วเวยยืนอยู่ตรงนั้น นางไตร่ตรองชั่วครูก่อนจะเผยใบหน้าแดงก่ำแล้วพูดด้วยความขุ่นเคือง
“ไร้สาระ!”
ไม่นานใบหน้าของนางแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกล่าวเสียงติดขัด
“ตะ… แต่… อย่างไรก็ต้องนวดอีกครั้ง…”
เมื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ ชิงหมิงจื่อขมวดคิ้วพร้อมคิดทบทวน เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกประหลาด
ในใจของเขากลับคิดอยากจะแทนที่ตนเองในร่างของไป๋ชิวหรานอย่างไม่ตั้งใจ เขาต้องการให้ถังรั่วเวยผู้นี้เป็นศิษย์ของตน แต่หลังจากฟื้นคืนสติกลับมา เขาจึงรู้สึกว่าตนไม่สามารถทำได้
“ชิวหราน”
เขาไอเบา ๆ ก่อนจะกล่าวว่า
“เป็นเรื่องดีที่อาจารย์และศิษย์สนิทสนมกัน แต่เจ้าควรให้เกียรตินาง และอย่าได้ติดตลกมากนัก”
“โอ้”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“ท่านอาจารย์ ข้าจะบอกกล่าวกับท่าน”
เมื่อเห็นความสัตย์ซื่อของไป๋ชิวหรานที่มีต่อชิงหมิงจื่อ ถังรั่วเวยกลอกตาราวกับว่านางได้พบกระดูกสันหลังชิ้นใหม่
นางชี้ไปที่ไป๋ชิวหรานก่อนจะบ่นอุบ
“อาจารย์ท่านนี้ชอบหยอกล้อข้าด้วยถ้อยคำรุนแรงเสมอ ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น แต่เขายังชอบหยอกล้อผู้อื่นด้วย”
“ชิวหรานนั้นปากไวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าทราบดีตั้งแต่รับเขาเป็นศิษย์ วาจาของชายหนุ่มผู้นี้ทั้งเหม็นเน่า ทั้งไร้สาระ”
ชิงหมิงจื่อกล่าวหลังจากได้ยิน
“แล้วยังเจ้าชู้คิดลวนลามสตรี… ชิวหรานเจ้าต้องระงับความกล้าหาญนี้ไว้บ้าง บางทีแซ่ของซ่งเสวียนอาจจะคือไป๋…”
“หืม?”
หลีจิ่นเหยารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในคำพูดของชิงหมิงจื่อ นางจึงรีบกล่าวถาม
“อาวุโสชิงหมิงจื่อหมายความว่าอย่างไร ซ่งเสวียนคือผู้ใดหรือ?”
“โจวซ่งเสวียน ผู้นำสำนักคนที่สามของสำนักกระบี่ชิงหมิงหลังจากที่ข้าขึ้นสู่แดนเซียน”
ชิงหมิงจื่อส่ายศีรษะพร้อมกล่าวว่า
“นางคือศิษย์คนโตของข้า และยังเป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่สุด ในเวลานั้นศิษย์ตัวน้อยของข้าเป็นที่รักใคร่ในสำนักยิ่ง แต่ชิวหรานและกลุ่มของเขากลับมองว่าสตรีผู้นี้คือคนรักในฝันของตนเอง…”
“แค่ก ๆ”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกเขินอายจนไอแห้งออกมาเบา ๆ
“ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนั้นคือเรื่องที่ผ่านมากว่าหลายพันปีแล้ว และตอนนี้ศิษย์ก็มีภรรยาแล้วสองคน”
“โอ้…”
หลังจากหลีจิ่นเหยาได้ยินไป๋ชิวหรานยอมรับว่าสตรีผู้นั้นคือรักแรกของเขา นางขมวดคิ้วแน่นก่อนจะมองเขาด้วยแววตาหึงหวง
แต่หลังจากชิงหมิงจื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างเป็นประกาย
“โอ้? ศิษย์ของข้ามีภรรยาแล้ว? ภรรยาของเจ้าคือผู้ใด หน้าตาเป็นอย่างไร และผู้อาวุโสในตระกูลคือผู้ใดเล่า? ในอนาคตเจ้าต้องแนะนำนางให้ข้ารู้จักแล้ว”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“สำหรับอีกคนท่านคงไม่รู้จัก แต่ทุกคนคงจะรู้จัก นางเป็นศิษย์จากสำนักเหอฮวน ท่านคงลืมไปแล้วว่าตอนนั้นท่านเกือบถูกเจ้าสำนักของนางมารับตัวไป”
ชิงหมิงจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าของเขาเผยความหวาดกลัว
“เจ้าหมายถึงว่านางคือศิษย์ของนังแม่มดผู้นั้น…”
“แค่ก ๆ”
หลิวซือยิ้ม พร้อมกับมองชิงหมิงจื่อและกล่าวอย่างแผ่วเบา
“สหายชิงหมิง ข้าคิดว่าเราต้องพูดคุยกันในภายหลัง”
“ซือเอ๋อ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับนังเฒ่าผู้นั้น”
ชิงหมิงจื่ออธิบาย
“หากเจ้าไม่เชื่อข้าก็ให้ถามชิวหราน เพราะชิวหรานก็เห็นแม่มดผู้นั้นเช่นกัน”
“ท่านอาจารย์อย่าได้ดึงข้าลงน้ำ”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ใช่ หลังจากท่านจากไป แม่มดเฒ่านั่นคิดเล่นงานข้า แต่ข้าสับฟันนางจนตาย หรือท่านสับฟันนางจนตาย?”
ดวงตาของหลิวซือกลับมาแหลมคมอีกครั้ง
“เจ้าเด็กตัวเหม็น ไร้ซึ่งความจงรักภักดีต่ออาจารย์!”
ชิงหมิงจื่อสาปแช่ง ก่อนจะมองไป๋ชิวหรานด้วยแววตาอ้อนวอนและกล่าวว่า
“แล้วเหตุใดถึงได้แต่งงานกับสตรีจากสำนักเหอฮวน? ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ทราบถึงนิสัยใจคอของคนในสำนักเหอฮวนหรือไร? แม้ว่านางจะหันหลังให้กับสำนักเพื่อเจ้าจริง ๆ แต่ชื่อเสียงของนางในโลกผู้ฝึกตนคงไม่ได้ดีนัก”
“ท่านอาจารย์ ท่านคงไม่ทราบ”
ถังรั่วเวยกล่าวขึ้น
“อาจารย์รองเป็นสตรีที่มีคุณธรรม ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในโลกผู้ฝึกตน แม้แต่อวี้เมี่ยนฝูแห่งสำนักพุทธเทียนเซิ่งยังยอมรับ นอกจากนี้มองเพียงผิวเผินอาจคิดว่าพวกเขาไม่ยอมรับกัน แต่เป็นความจริงแล้วในเก้าทวีปมหาสิบแผ่นดิน ทั้งสำนักชอบธรรม และวิถีแห่งปีศาจยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว”
“???”
ชิงหมิงจื่อตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาพึมพำ
“หลังจากที่ข้าขึ้นสู่แดนเซียน มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกผู้ฝึกตน?”
“เรื่องมันยาวนัก”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“รอให้พวกเราอยู่ในสถานที่ปลอดภัยก่อน แล้วศิษย์จะค่อย ๆ เล่าให้ท่านฟังภายหลัง”
เขาเดินนำออกไป หลีจิ่นเหยา และถังรั่วเวยเดินตามหลัง หลิวซือเดินตรงไปหาชิงหมิงจื่อก่อนจะหยิกเอวเขาในความเงียบงัน
ทั้งกลุ่มเดินตรงไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นเมฆสีแดงพุ่งพรวดลงมาจากฟากฟ้า นั่นคือเซียนหงเฉินที่มารับไป๋ชิวหราน อีกฝ่ายโค้งคำนับต่อเขาอย่างรวดเร็ว
“ขออภัยอย่างยิ่ง… ขออภัยที่ข้ามาช้า”