ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 306 ศัตรูของแดนเซียน
บทที่ 306 ศัตรูของแดนเซียน
บทที่ 306 ศัตรูของแดนเซียน
เมื่อได้ยินโคลงกลอนของหลีจิ่นเหยา ไป๋ชิวหรานจึงเข้าใจได้
เพื่อไม่ให้สตรีเหล่านี้ต้องอับอายอีก เขารีบตอบรับคำขอของพวกนาง ส่วนนางสนมเหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะเผยใบหน้าเขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทกวีของหลีจิ่นเหยา
แต่พวกนางไม่กล้าทำสิ่งใดกับหลีจิ่นเหยา ดังนั้นทั้งหมดจึงรีบกล่าวคำลากับไป๋ชิวหรานและออกไปทันที
ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของเหล่านางสนมพวกนั้น ก่อนจะส่ายศีรษะและพึมพำกับตนเอง
“ไป๋ลี่… หากข้าไม่ได้มาที่แดนเซียนแห่งนี้ เจ้าคิดจะปล่อยพวกนางให้รออยู่เช่นนี้หรืออย่างไรกัน?”
“ท่านอาจารย์โปรดรับฟัง ก่อนที่อาจารย์จะไปที่ต้าหลัวเทียนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เขากล่าวไว้ว่าหากหนึ่งหมื่นปีแล้วยังไม่กลับมา นางสนมทั้งหมดสามารถแต่งงานใหม่ได้ตามต้องการ”
เซียนหงเฉินกล่าวตอบ
“อย่างไรก็ตามพวกนางยังคงติดตามท่านอาจารย์ และไม่ได้แต่งงานใหม่ อีกทั้งยังไม่เคยออกนอกกำแพงของตนเอง”
ไป๋ลี่ประสบอุบัติเหตุนี้มาหลายหมื่นปีแล้ว จักรพรรดิดินีและนางสนมเหล่านี้ไม่ต้องการสวมหมวกสีเขียวให้กับจักรพรรดิเซียนองค์แรก พวกนางจึงทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง และเฝ้ารออย่างมีความหวังเท่านั้น
นางสนมเหล่านี้ไม่เหมือนกับเจียงหลาน ทั้งหมดเป็นมนุษย์ ส่วนเจียงหลานเป็นเทพ ความปรารถนาและการควบคุมอารมณ์ในเรื่องนี้ของทั้งสองย่อมแตกต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจียงหลานเฝ้ารอไป๋ชิวหราน นางยังคงสมบูรณ์แบบและมั่นคงเสมอ แต่นางสนมเหล่านี้ล้วนมีความรู้สึกที่มากกว่า มันจึงควบคุมได้ยากกว่าเจียงหลาน
แต่หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี นับว่าพวกนางมีจิตใจที่แข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์
“แต่แท้จริงแล้วข้าไม่มีเงื่อนงำใดในใจเลย”
ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะก่อนจะกล่าว
“ท้ายที่สุดข้าก็ไม่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันของไป๋ลี่ หากเขาเสียสติไปแล้ว ข้าก็ไม่อาจช่วยเหลือได้”
“หากท่านอาจารย์ไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ ในแดนเซียนและโลกใต้อาณัติภายในแดนเซียนแห่งนี้ ข้าเกรงว่าคงจะไม่มีผู้ใดช่วยเหลือเขาได้อีกแล้ว”
เซียนหงเฉินส่ายศีรษะเบา ๆ
…
ไป๋ชิวหรานและพวกพ้องพักอยู่ในโถงมหาสงบของสวรรค์กระจ่างเขตอวี่ชิงชั่วคราว จากนั้นจักรพรรดิเซียนกลางเล่อเฉินเทียนส่งคนรับใช้สองสามคนเพื่อนำบัตรกำนัลบางอย่างมามอบให้ไป๋ชิวหราน
ด้วยบัตรกำนัลเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถอ่านคัมภีร์เซียนที่ถูกเก็บไว้ในหอสังเกตการณ์เว่ยเทียนได้อย่างอิสระ
หลังจากอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้สองวัน ปรมาจารย์ของไป๋ชิวหราน ชิงหมิงจื่อและหลิวซือขอย้ายออกจากสวรรค์กระจ่างเขตอวี่ชิง เพราะทั้งสองรู้สึกว่าศิษย์ของเขาเป็นผู้อาวุโส และจะมีเซียนระดับสูงมากมายมาพบ ทั้งหมดล้วนแต่ให้ความเคารพต่อไป๋ชิวหรานยิ่ง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ชิงหมิงจื่อและหลิวซือรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
หลังจากอธิบายให้ไป๋ชิวหรานเข้าใจ จักรพรรดิเซียนกลางจึงอนุมัติคำขอของทั้งสอง ตามขั้นการฝึกฝนของชิงหมิงจื่อแล้ว เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่เซียนและย้ายชิงหมิงจื่อไปยังดับสงัดฟ้าสงบ
และศิษย์รุ่นที่สามกับศิษย์รุ่นที่ห้าซึ่งขึ้นมาสู่แดนเซียนจากสำนักกระบี่ชิงหมิง พวกเขาถูกส่งมาโดยจักรพรรดิเซียนกลางเพื่อรับตำแหน่งในแดนเซียนกลางจากเมืองเจิ้งเซียนในแดนเซียนตะวันออก… ทั้งหมดอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้อำนาจของชิงหมิงจื่อ
สองถึงสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และวันหนึ่งไป๋ชิวหรานได้รับสาส์นจากคนรับใช้ที่เล่อเฉินเทียนส่งมา ใจความกล่าวไว้ว่า ‘หอคอยจักรพรรดิกำลังจะเปิดออก’ และจากนั้นเขาก็ถูกพาไปที่พระราชวังแดนเซียนกลางโดยคนรับใช้ผู้นั้น และยังไปที่นั่นเพียงคนเดียว
เขากำลังจะไปทำเรื่องส่วนตัว และหลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวยก็ไม่คิดติดตาม ก่อนหน้านี้ไป๋ชิวหรานเพิ่งทุบกระดูกหน้าอกของถังรั่วเวยในหมัดเดียว ดังนั้นระหว่างนี้นางจึงต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่ง
เล่อเฉินเทียนสวมชุดคลุมมังกรกำลังนั่งรออยู่ ในเวลานี้เซียนหงเฉินก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ทั้งยังมีจักรพรรดินีเหลียน และกลุ่มเซียนที่คล้ายกับหมออยู่ด้วย
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานเดินเข้ามา ทุกคนในห้องโถงยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพเขา จากนั้นจักรพรรดิเซียนกลางเชิญไป๋ชิวหรานให้เดินเคียงข้าง และพาออกประตูหลังห้องโถงไปตามเส้นทางคดเคี้ยว ก่อนจะเข้าสู่รังรักของพระราชวังเซียนกลางแห่งสวรรค์กระจ่างเขตอวี่ชิง
จักรพรรดิเซียนกลางเล่อเฉินเทียนมีจักรพรรดินีเพียงองค์เดียว และมีนางสนมอีกสองคน เมื่อเทียบกับจักรพรรดิเซียนตะวันออกที่มีสาวงามในรังรักกว่าสามพันคน อาจกล่าวได้ว่าคู่ครองของเขาน้อยนิดนัก อย่างไรก็ตามรังรักภายในพระราชวังเซียนกลางนั้นสูงใหญ่ กว้าง และหนทางยังซับซ้อน
บรรดาเซียนมากมายต่างพูดกันว่าจักรพรรดิเซียนกลางเลี้ยงดูสตรีเซียนในรังรัก แต่เมื่อไป๋ชิวหรานมาที่นี่ในวันนี้ กลับพบว่ารังรักแห่งนี้เต็มไปด้วยการคุ้มกันแน่นหนา มีองครักษ์มากมายคุ้มกัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่รังรัก แต่เป็นกองกำลังขนาดย่อมมากกว่า!
เล่อเฉินเทียนพาทุกคนเดินผ่านเหล่ากองกำลัง และมาถึงท่าเรือส่วนตัวนอกรังรัก ณ ท่าเทียบเรือ มีเรือก่อสร้างขนาดใหญ่สร้างจากเหล็กชั้นดีจอดเทียบท่าอยู่
กลุ่มคนทั้งหมดขึ้นไปบนเรือขนาดใหญ่ ไม่นาน เรือก็ค่อย ๆ แล่นออกไปอย่างเชื่องช้าขึ้นสู่น่านฟ้าระดับสูง และแล่นไปในท้องฟ้ามืดมิด ขณะนั้น ไป๋ชิวหรานถามขึ้นว่า
“เหตุใดถึงเอาหมอจำนวนมากมาด้วย? เจ้าควรบอกกล่าวความลับทั้งหมดนี้แก่ข้า”
“ขอรับ”
หลังจากขึ้นเรือ เล่อเฉินเทียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ต้องการทราบสิ่งใด? ข้ายินดีบอกกล่าวทุกสิ่ง”
“อืม ครั้งสุดท้ายที่เจ้าฉี่รดเตียงนอนคือเมื่อใด?”
ไป๋ชิวหรานถามออกไปอย่างไม่คิดมาก
“เอ่อ… เรื่องนี้…”
เล่อเฉินเทียนไม่คิดว่าไป๋ชิวหรานจะถามคำถามเช่นนี้ เขาจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ
“หากไม่อยากตอบทุกสิ่งก็อย่าได้กล่าวว่าทราบทุกเรื่อง เก็บมันไว้เป็นความลับเถิด ข้าจะไม่กล่าวโทษเจ้า”
ชายหนุ่มสั่งสอนเขาคำสองคำ ก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังต่อสู้ แล้วเจ้ากำลังต่อสู้กับสิ่งใดอยู่? หากไม่ใช่เหล่าทวยเทพ”
เมื่อไป๋ชิวหรานกล่าวถามเรื่องจริงจัง เล่อเฉินเทียนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะกล่าวตอบ
“เรื่องมันยาวนัก หลังจากปราบเหล่าทวยเทพและออกจากโลก เราได้พบศัตรูทรงพลังมากมาย แต่ในบรรดาศัตรูที่ทรงพลังนี้ ผู้ที่อันตรายมากที่สุดคืออาจารย์อสูร”
“อาจารย์อสูร? มันคือสิ่งใดกัน”
“เมื่อแดนเซียนก่อกำเนิดได้หนึ่งแสนห้าหมื่นปี เกิดเป็นยุครุ่งเรืองในการปกครองของปรมาจารย์ จักรพรรดิเซียนทั้งห้ารวมตัวกัน และควบคุมแดนเซียนกับยมโลก อิทธิพลของพวกเขาขยายไปถึงห้วงกระแสความว่างเปล่า เราได้พบสายนทีที่เกิดจากต้นกำเนิดวายุในกระแสความว่างเปล่า และสำรวจทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ เวลานี้ได้พบกับแม่น้ำที่มีกำแพงแห่งความตระหนักรู้”
เล่อเฉินเทียนไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ข้าไม่ทราบว่าจะกล่าวอย่างไรดี การป้องกันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นจากพลังค่ายอาคมธรรมดา แต่มันกลับถูกสร้างจากสัมผัสเทวะอันทรงพลังที่ไร้ผู้ใดเทียบ”
“กำแพงแห่งความตระหนักรู้?”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกสงสัย
สำหรับผู้ฝึกตนและเหล่าเซียน กำแพงแห่งความตระหนักรู้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ท้ายที่สุดแล้วเซียนจะต้องต่อสู้กับอสูร เมื่อต่อสู้กับการรุกรานจากอสูรแล้ว ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องสร้างอาคมดังกล่าวด้วยสัมผัสเทวะของพวกเขาเช่นกัน
แต่กำแพงแห่งความตระหนักรู้ขนาดใหญ่ที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำปรโลก และข้ามโลกจำนวนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้จักนั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการ
“ถูกต้องแล้ว โดยปกติมันไม่ต่างจากค่ายอาคมเทวะที่พวกเราสร้างบนแท่นวิญญาณ แต่เมื่อได้ค้นพบกำแพงนี้ มันมีรูกลวงตรงกลาง และพลังวิญญาณไร้ลักษณ์ถูกสร้างขึ้นจากแหล่งกำเนิดนั้น พลังมากมายทะลักออกมาจนแผ่ขยายไปหลายภพใกล้เคียง สุดท้ายมันก่อตัวเป็นโลกแห่งจิตใต้สำนึกเกิดขึ้น ตอนนั้นพวกเราไม่คิดสนใจสำรวจพื้นที่ของจิตสำนึกเหล่านั้น แต่จู่ ๆ วันหนึ่งก็ได้พบว่ามีเทพเจ้าและอสูรที่น่าสยดสยองปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่จิตสำนึกเหล่านั้น และพวกมันเริ่มลงมือโจมตี เป็นตอนนี้เองที่ตระหนักได้ว่าปัญหานี้ยิ่งใหญ่เพียงใด”
…