ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 309 คารวะยามเย็น
บทที่ 309 คารวะยามเย็น
บทที่ 309 คารวะยามเย็น
เรือหุ้มเกราะพาผู้คนมาถึงกำแพงแห่งความตระหนักรู้ กองกำลังบนเรือหันหางเสือออกจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากของสายธารแห่งความว่างเปล่าเพื่อไปยังอีกฝั่ง
“รอยแตกอยู่ตรงนั้น”
หลังจากแล่นเรือไปได้สักพักหนึ่ง จักรพรรดิเซียนกลางก็ชี้ไปที่ใดที่หนึ่งบนกำแพงแห่งความตระหนักรู้แล้วกล่าวกับไป๋ชิวหราน
แท้จริงแล้ว ไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนสามารถเห็นความแตกต่างตรงหน้าได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดชี้นิ้วบอก รอยแตกนั้นชัดเจนยิ่ง เหนือกำแพงแห่งความตระหนักรู้โปร่งแสงและมีเพียงรอยแตกขนาดใหญ่ราวกับสายฟ้าสีทองประทับอยู่
คลื่นพลังนั้นคุ้นเคยยิ่ง และมันก็ไม่แตกต่างจากศพของจักรพรรดิที่ไป๋ชิวหรานได้สัมผัสบนหอคอยจักรพรรดิมากนัก!
นั่นคือพลังวิญญาณของไป๋ลี่ ด้วยพลังวิญญาณเล็ก ๆ ของเขาเพียงคนเดียวก็ไม่อาจปิดกั้นรอยแตกขนาดใหญ่ได้ ดังนั้นเขาไม่เพียงแต่ใช้พลังวิญญาณของตนเองเท่านั้น ทว่ายังต้องมีสติสัมปชัญญะที่เข้มงวดอยู่ตลอดเวลาเพื่อปิดช่องว่างนี้เอาไว้
แสงสีทองเหล่านี้คือจิตสำนึกของเขา เช่นเดียวกับร่างกาย ความเข้มของแสงนี้ทรงพลังที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนที่ไป๋ชิวหรานเคยได้พบ
อาจกล่าวได้ว่าหากร่างกายและจิตวิญญาณกลับมาหลอมรวมกันได้ จักรพรรดิเซียนอู่ฟางในปัจจุบันยังไม่อาจเอาชนะเขาได้ และอาจมีเพียงจักรพรรดิตะวันออกไท่อีในยุครุ่งเรืองของสมัยเหล่าทวยเทพเท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับเขาได้
สัมผัสเทวะของไป๋ชิวหรานแทรกซึมเข้าไปในจิตสำนึกศักดิ์สิทธิ์ของไป๋ลี่อย่างง่ายดาย ณ ใจกลางของจิตสำนึก เขาได้พบกับวิญญาณของไป๋ลี่!
ภาพหลอนที่เหมือนกับร่างกายของไป๋ลี่นั่งไขว่ห้างพร้อมหลับตาแน่นอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรสีทองแห่งนี้ เมื่อสัมผัสเทวะของไป๋ชิวหรานรุกรานเข้ามา เขาก็ยังไม่ตอบสนองใด ๆ เพราะยังต้องคงความหนักแน่นเอาไว้เพื่อปลดปล่อยจิตสำนึกศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา เพราะเหตุนี้จิตวิญญาณของไป๋ลี่จึงอยู่ในสภาวะหลับใหลเสมอ
ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตามสามัญสำนึกแล้ว วิธีที่ดีที่สุดในการปลุกจิตวิญญาณที่หลับใหลคือทำให้มันตระหนักถึงผลกระทบบางสิ่ง
เด็กผู้มีเส้นขนปกคลุมไปทั่วร่างผู้นี้ไม่ได้ถูกเขาเฆี่ยนตีมากว่าหลายแสนปีแล้ว เช่นนั้นไป๋ชิวหรานจึงตัดสินใจตบหน้าเขาอย่างแรง!
สัมผัสเทวะหลอมรวมกันเป็นแส้ยาวในมหาสมุทรแห่งจิตสำนึกนี้ ไป๋ชิวหรานควบคุมความแข็งแกร่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเล็งเป้าหมายไปยังด้านหลังของวิญญาณไป๋ลี่
แส้แห่งสัมผัสเทวะถูกสะบัด ส่งผลให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับความว่างเปล่า จากนั้นฟาดลงที่ด้านหลังของจิตวิญญาณของไป๋ลี่อย่างรุนแรง
ขณะนั้น ไป๋ชิวหรานเห็นชัดเจนว่าวิญญาณของเด็กหนุ่มกระตุกอย่างไม่ตั้งใจ
เขาต้องเจ็บปวดเป็นแน่
นั่นคือสิ่งที่ไป๋ชิวหรานคิด
ผลของแส้แห่งสัมผัสเทวะสำแดงฤทธิ์ในทันที วิญญาณของไป๋ลี่ฟื้นขึ้นและกระโดดออกจากจุดที่นั่งอยู่
“ผู้ใด?!”
เขาจ้องมองไปรอบ ๆ อย่างโกรธเคือง
“ผู้น้อยที่โง่เขลา เจ้าทราบถึงผลที่ตามมาหลังจากโจมตีจักรพรรดิองค์นี้อย่างสนุกสนานนั้นหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานไม่ได้กล่าวอะไรตอบ เขาเปลี่ยนภาพจำแลงในสัมผัสเทวะของตนเอง แล้วยืนจับจ้องชายตรงหน้า
ไป๋ลี่จดจำไป๋ชิวหรานได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาหยุดนิ่งอยู่กับที่
“เจ้า…”
เขาเพิ่งตื่นขึ้นมา ดูเหมือนว่าความทรงจำยังกลับคืนมาไม่ครบ หลังจากคิดอยู่นาน จู่ ๆ เขาก็กล่าวขึ้นว่า
“ได้พบกับท่านอาจารย์!”
วิญญาณของเขาคุกเข่าลงพร้อมโค้งคำนับให้กับไป๋ชิวหราน
“ไป๋ลี่ ศิษย์ที่ไม่คู่ควร ทำความเคารพท่านอาจารย์”
“ลุกขึ้นเถิด หมดเรื่องแล้ว”
ชายหนุ่มโบกมือขณะกล่าว
“ข้ามาเพื่อพาเจ้ากลับ หากไม่กลับไป เหล่าภรรยาของเจ้าคงไม่อาจต้านทานสิ่งที่หัวใจเรียกร้องได้”
“เรื่องนั้น… ศิษย์ก็อยากกลับไปเช่นกัน”
เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มอันขมขื่น
“แต่… อีกฟากของกำแพง”
เขาหันกลับมา พื้นที่โปร่งใสปรากฏขึ้นตรงกลางจิตสำนึกทองคำ ทำให้ไป๋ชิวหรานสามารถมองเห็นอีกฝั่งของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ได้
เขามองเห็นความว่างเปล่าไร้ซึ่งขอบเขต พื้นที่แห่งนั้นเป็นโลกที่มีดวงดาวประดับไว้ด้วยลานแห่งจิตสำนึกโปร่งแสงราวกับใยแมงมุมก่อตัวเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ มันใหญ่โตมาก เมื่อมองไปรอบ ๆ แล้ว เขาเกรงว่ามันจะสามารถเทียบเท่ากับโลกของเซียนที่ปกครองแดนเซียน!
ในพื้นที่จิตสำนึกศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ มีสัตว์ประหลาดมากมายอัดแน่นอยู่ รูปร่างของพวกมันประหลาดและน่าสะพรึง เนื้อตัวบิดไปมา หนวดยาวรุงรัง มีดวงตา ปากใหญ่โตนับไม่ถ้วนบนร่างกาย ซากเรือรบ ยานเหาะรบ เกวียนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด และยังมีเศษซากกองกระดูกสุมแน่นอยู่ภายในนั้น…
มันมากมายนับไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่รูปร่างที่กระตุ้นความสะพรึงกลัวได้ แต่คลื่นพลังที่แผ่กระจายออกจากร่างกายของพวกมันยังแข็งแกร่งยิ่ง พวกมันอยู่ในขั้นเซียนจนไปถึงขั้นเหนือเซียน!
“นั่นมันกองทัพอาจารย์อสูร!”
ไป๋ลี่มองไปที่นั่นพร้อมกล่าวต่อ
“พวกมันรออยู่ที่นี่เป็นเวลากว่าหลายหมื่นปีภายใต้คำสั่งของอาจารย์อสูรสองสามตน ตราบใดที่จิตสำนึกของข้าผ่อนคลาย พวกมันจะพยายามโจมตี และไม่อาจปล่อยให้พวกมันเข้าสู่ความว่างเปล่าอีกด้านหนึ่งได้”
ไป๋ชิวหรานมองดูพวกมันเหล่านี้พร้อมคิดคำนวนในใจแล้วถามว่า
“หากข้าคิดทำลายอาจารย์อสูรเหล่านี้ มันจะใช้เวลานานเพียงใดกว่าจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง?”
“น้อยกว่าร้อยปี”
ไป๋ลี่ถอนหายใจ
“แม้ว่าท่านจะถ่วงเวลาพวกมันไม่ให้กำเนิดขึ้นมาจากเขตแดนแห่งจิตสำนึก แต่มันก็ไม่นานเกินกว่าห้าร้อยปี นี่คือจุดสูงสุดแล้ว”
“แล้วหากข้าใช้จิตสำนึกทรงพลังของเจ้าปิดกั้นล่ะ?”
ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอีกครั้ง
“หากไม่มีการเกิดใหม่ มันคงจะอยู่ได้นานถึงหลายพันหลายหมื่นปี…”
หลังจากคิดสักครู่ เด็กหนุ่มจึงกล่าวตอบ
“พอได้แล้ว กลับไปซะ”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับเขา
“ยังมีความยุ่งเหยิงมากมายในแดนเซียน เจ้าไปจัดการเรื่องนี้ให้ข้าก่อน จักรพรรดิเซียนตะวันออกช่างทำตัวไร้สาระขึ้นทุกวัน หากเจ้าไม่รีบกลับไปเก็บกวาดให้เรียบร้อยเสีย ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะหาทางงัดเจ้าออกจากแดนเซียนแน่นอน”
“เรื่องนั้น…”
ไป๋ลี่มีท่าทีลังเลเล็กน้อย หลังจากเป็นจักรพรรดิเซียนองค์แรกมานานหลายปี เขาย่อมมีความคิดของตนเอง แต่ไม่สามารถพูดแย้งในสิ่งที่ไป๋ชิวหรานออกคำสั่งได้แน่นอน เขามีเพียงต้องทำตาม…
แต่ชายหนุ่มกลับไม่คิดให้เวลา เมื่อเห็นไป๋ลี่ยังไม่เคลื่อนไหว เขาก็ถอนสัมผัสเทวะออกไป และใช้ร่างกายของตนเข้ามาในความว่างเปล่านี้แล้วคว้าเอาวิญญาณของไป๋ลี่โดยตรง
“ท่านอาจารย์ เดี๋ยว!”
เด็กหนุ่มรีบหันกลับมาอ้อนวอน
“ท่านควรจะคิดให้ดีก่อน!”
“ข้าคิดเรื่องนี้มาตลอดเส้นทางแล้ว!”
ไป๋ชิวหรานใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในฝ่ามือนำวิญญาณของไป๋ลี่วางไว้บนฝ่ามือของเขา
“ฟังคำของอาจารย์ อย่าได้โต้แย้ง”
หลังจากจัดการกับวิญญาณของไป๋ลี่เสร็จสิ้นแล้ว จิตสำนึกสีทองที่ผนึกเข้ากับกำแพงแห่งความตระหนักรู้เอาไว้ก็สั่นไหว กองทัพอสูรที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นชัดเจนว่ารอยแตกนั้นกำลังสั่นคลอน!
รถม้าที่ถูกสร้างขึ้นจากเศษเลือดเนื้อเปล่งเสียงราวกับรถพ่นไอน้ำ ปล่องไฟที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเศษซากของมนุษย์นับไม่ถ้วนกำลังพ่นควันหนาทึบ ควันนั้นคือหมอกโลหิตสีแสงชาด!
ปากกระบอกปืนใหญ่ถูกลากออกมา เป้าหมายของมันคือรอยแตกของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ ลำแสงสีเลือดพุ่งออกจากปากกระบอกปืนที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคม
แสงเลือดนี้คือการส่งสัญญาณ อสูรมากมายนับไม่ถ้วนในความว่างเปล่าแห่งนี้เริ่มโจมตีกำแพงแห่งความตระหนักรู้ ในไม่ช้าสติสัมปชัญญะสีทองถูกทำลายลงจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ในที่สุดกำแพงแห่งจิตสำนึกสีทองที่ขัดขวางพวกมันมากว่าหลายหมื่นปีก็พังทลายลง และอสูรในความว่างเปล่าทั้งหมดพลันส่งเสียงอย่างหิวกระหาย!
พวกมันมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความปรารถนามากล้น ทั้งจิตวิญญาณ ทั้งสายโลหิตที่ต้องการอาหาร พวกมันทราบดีว่าอีกฝั่งของกำแพงแห่งนี้คือดินแดนบริสุทธิ์ที่อ่อนแอ
กองทัพอสูรในความว่างเปล่ารุมเข้าไปที่รอยแตกของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ พวกมันเตรียมที่จะกัดกินวิญญาณของชายที่น่าเกลียดชังที่กักขังพวกมันไว้กว่าหลายแสนปี แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่คาดคิด ชายผมขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา ซ้ำยังไม่เคยพบเจอกับชายผู้นี้
เขาถือกระบี่ยาวสีฟ้าครามในมือ แสงเยือกเย็นหลั่งไหลออกมาจากกระบี่เล่มนั้น
“ว่าไง”
เขายกยิ้มอ่อนโยนให้กับเหล่าอสูรตรงหน้า
“คารวะยามเย็น…”