ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 310 ยอดกระบี่ประหนึ่งคลื่นวงน้ำแห่ง
บทที่ 310 ยอดกระบี่ประหนึ่งคลื่นวงน้ำแห่งห้วงนทีอันกว้างใหญ่ เสี่ยวอู๋เฟยเกิดนึกถึงบ้านเกิดขึ้นมา
บทที่ 310 ยอดกระบี่ประหนึ่งคลื่นวงน้ำแห่งห้วงนทีอันกว้างใหญ่ เสี่ยวอู๋เฟยเกิดนึกถึงบ้านเกิดขึ้นมา
อาจารย์อสูรที่เกิดจากความคิดหลากหลายของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถสื่อสารได้ แต่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์อสูรเหล่านี้ไม่มีความคิดที่จะสื่อสารกับไป๋ชิวหรานเลย พวกมันถูกขังไว้ที่นี่หลายหมื่นปี ตอนนี้พวกมันกำลังหิวโหยอย่างมาก!
หลังจากชายหนุ่มกล่าวทักทาย คำตอบของพวกมันคือการโจมตีอันบ้าคลั่ง!!!
การโจมตีเหล่านี้มีความน่าหวาดกลัวของสรรพสิ่งของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด ทั้งซากศพ เนื้อ เลือด เชื้อโรคร้ายแรง เปลวไฟ หนามแหลม ใบมีด และมันเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงทั้งสิ้น
“ช่างหยาบคายอะไรเช่นนี้ ไม่คิดกล่าวทักทายก่อนเลย ไร้อารยธรรมสิ้นดี”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ วารีสารทกระจ่างฟ้าถูกวาดเป็นครึ่งวงกลม เขาปลดปล่อยปราณกระบี่แรกออกไป
ขุนเขาขจีหิมะโรยราฟ้าเบิกแสงปลดปล่อยพลังออกจากฟากฟ้า
แม่น้ำสลายวิญญาณที่เกิดจากการควบรวมกันของปราณกระบี่พุ่งเข้าสู่สนามรบ การโจมตีทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาถูกกำจัดออกในทันที และเหล่าอสูรที่อัดแน่นอยู่ภายในพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้ลดลงไปกว่าหนึ่งในสาม!
ทว่าเขายังไม่หยุด ไป๋ชิวหรานเคลื่อนไหวกระบี่อีกครั้ง พร้อมปลดปล่อยท่วงท่าที่สอง
ยอดกระบี่ประหนึ่งคลื่นวงน้ำแห่งห้วงนทีอันกว้างใหญ่ เสี่ยวอู๋เฟยเกิดนึกถึงบ้านเกิดขึ้นมา
ปราณกระบี่กวัดแกว่งคล้ายหมอกควันขนาดใหญ่ และควบแน่นในแม่น้ำสลายวิญญาณที่ปลดปล่อยออกในคราวแรก ในขณะที่ปราณกระบี่ควบแน่นกลายเป็นวิหคขาว กางปีกสยายออก ข้ามแม่น้ำและพุ่งเข้าสู่ความว่างเปล่า ไม่ว่านกตนนี้บินผ่านไปที่ใด มันจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางกั้นจนหมดสิ้น!
กระบวนท่าแรกของไป๋ชิวหรานและกระบวนท่าที่สองหลอมรวมกัน ส่งผลให้พลังเหนือธรรมชาติปะทุออกกวาดล้างกองทัพอาจารย์อสูรที่แข็งแกร่งทั้งหมดซึ่งยืนอยู่ใกล้กับกำแพงแห่งความตระหนักรู้นี้จนหมดสิ้น
ความผันผวนของพลังแพร่กระจายออกไปในส่วนลึกของจิตสำนึกที่ห่างไกล จิตสำนึกที่แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเซียนเริ่มเคลื่อนไหว แต่ในเวลานี้ไป๋ชิวหรานถอนตัวออกจากเขตแดนแห่งจิตสำนึกแล้ว สัมผัสเทวะของเขาออกเคลื่อนไหว และจิตสำนึกศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกจากร่างกายโดยตรงกลายเป็นลำแสงสีขาวปิดกั้นเขตแดนแห่งจิตสำนึก
อสูรเหล่านี้อยู่ในขั้นเซียนและเหนือเซียน แม้ไป๋ชิวหรานจะสามารถกวาดล้างพวกมันหมดสิ้น ทว่าตราบใดที่ต้นกำเนิดยังอยู่ ไม่นานนักพวกมันจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากเขตแดนแห่งจิตสำนึก
ที่สำคัญไปกว่านั้น หากรอยแตกนี้ไม่ถูกปิดกั้น เขตแดนแห่งจิตสำนึกภายในจะกัดเซาะโลกใบนี้ด้วย และจิตสำนึกของเหล่าอสูรใหม่จะก่อเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ณ เวลานั้นพวกมันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีวันแพ้พ่าย!
หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ไป๋ชิวหรานก็นำพาวิญญาณของไป๋ลี่กลับไปที่เรือหุ้มเกราะที่จอดรออยู่ในห้วงกระแสความว่างเปล่า
จักรพรรดิเซียนกลางพร้อมด้วยคนอื่น ๆ รีบรุดเข้ามาถามอย่างห่วงใย
“ท่านอาจารย์ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋ชิวหรานกางฝ่ามือออกพร้อมกับเผยให้เห็นวิญญาณที่หดตัวของไป๋ลี่ในฝ่ามือ ตอนนี้ดูเหมือนว่าวิญญาณที่อ่อนแอของจักรพรรดิเซียนองค์แรกจะถูกบีบไว้นานเกินไปจึงหมดสติ
เมื่อเห็นเช่นนี้ จักรพรรดิเซียนกลางถึงกับเผยสีหน้ายินดี เขายกแขนขึ้นพร้อมตะโกนเสียงดัง
“กลับ!”
กองกำลังบนเรือหุ้นเกราะวิ่งออกไปอย่างเป็นระเบียบ ทั้งหมดควบคุมเรือหุ้มเกราะนี้ให้หันหลังกลับแล้วล่องไปตามสายธารแห่งความว่างเปล่า
การกระทำของพวกเขาทั้งหมดยังคงเข้มงวดและเป็นระเบียบ ไป๋ชิวหรานมองการกระทำของทั้งหมดแล้ว เขาได้เห็นสีหน้าผ่อนคลายและดูมีชีวิตชีวาที่ฟื้นคืนกลับ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นที่รักยิ่ง”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองวิญญาณของศิษย์ในมือ ก่อนจะกล่าวกระซิบ
…
ในแดนเซียนกลาง ประตูเมืองด้านนอกของหอคอยจักรพรรดิถูกเปิดออก เรือหุ้มเกราะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่หอคอยจักรพรรดิ
บันไดถูกลดระดับลง ไป๋ชิวหรานและจักรพรรดิเซียนกลางลงจากเรือหุ้มเกราะก่อนจะเข้าสู่แท่นบูชาขนาดใหญ่ภายในเมือง พวกเขาพบว่าหมอทั้งหมดตระเตรียมเครื่องมือการรักษาและโอสถไว้เสร็จสิ้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าการบำรุงรักษาร่างกายของไป๋ลี่เรียบร้อยดี
เมื่อชายหนุ่มและจักรพรรดิเซียนกลางกลับมา จักรพรรดินีเหลียนและเซียนหงเฉินก็รีบกล่าวทักทาย เมื่อเห็นเช่นนั้น ไป๋ชิวหรานจึงกล่าวถามพวกเขาทันที
“พวกเราอยู่ที่นั่นนานเพียงใด?”
“ประมานสามเดือนแล้ว”
เซียนหงเฉินตอบกลับ
“สถานที่แห่งนี้กำลังจะปิดตัวลงอีกครั้ง…”
ต้าหลัวเทียนถือว่าเป็นพื้นที่สงคราม หลังจากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้พบกับอาจารย์อสูร และเพื่อปกป้องร่างของจักรพรรดิเซียนองค์แรก จักรพรรดิเซียนกลางจึงรวบรวมชนชั้นสูงในแดนเซียนกลางที่เหลืออยู่ตั้งกองทัพขนาดใหญ่ไว้ที่นี่ ตั้งแต่มีการจัดกลุ่มขึ้นมา ต้าหลัวเทียนแห่งนี้จะเปิดประตูในทุกสามสิบหกปีเป็นระยะเวลาสามเดือน และสามเดือนนี้หมอของแดนเซียนจะเข้ามารักษาร่างกายของไป๋ลี่ เพื่อไม่ให้ศพของเขาแห้งเหี่ยวเฉาไป
เพราะหากวันหนึ่งจักรพรรดิเซียนองค์แรกกลับมา มันคงจะยากนักหากว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไป
“ท่านอาจารย์ เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
จักรพรรดินีเหลียนถามอย่างมีความหวัง
ไป๋ชิวหรานกางฝ่ามือออกเผยให้เห็นวิญญาณของไป๋ลี่ เมื่อสตรีผู้นั้นมองลำแสงสีทองเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่บนฝ่ามือของชายหนุ่ม จักรพรรดินีเหลียนก็ยกมือปิดปาก น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจอดกลั้น
“จับร่างกายของเขาไว้”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“ข้าจะใส่วิญญาณของเขากลับคืน”
เซียนหงเฉินกับจักรพรรดินีกลับสู่แท่นสูงพร้อมด้วยหมอทั้งหมด รวมถึงจักรพรรดิเซียนกลาง สามขุมพลังระดับจักรพรรดิเซียน ร่วมกับเหล่าเซียนที่อยู่ในขั้นมหาสมุทรพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตรึงร่างบนบัลลังก์ไว้ ท่ามกลางเส้นสายบนบัลลังก์ ลำแสงสีทองแปรเปลี่ยนเป็นตรวนเพลิงผูกร่างของไป๋ลี่เข้ากับบัลลังก์อย่างแน่นหนา
ในขณะเดียวกัน ไป๋ชิวหรานปลุกวิญญาณของเด็กหนุ่มในมือให้ตื่นขึ้น ก่อนจะจับวิญญาณไว้และเดินไปที่ร่างกายของเขาทีละก้าว จากนั้นจึงเหยียดมือออกแล้วกดวิญญาณของเขาเข้าไปในร่างกายนั้นโดยตรง
ทันทีที่วิญญาณเข้าสู่ร่าง ร่างกายของไป๋ลี่ก็ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี ร่างกายที่ไร้วิญญาณของเขาตายตกไปกลายเป็นศพจักรพรรดิ ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดจิตสำนึกของเขา และตอนนี้วิญญาณต้องการกลับเข้าสู่ร่าง แน่นอนว่าร่างกายย่อมคิดขัดขืน
อย่างไรก็ตาม การมีสติสัมปชัญญะที่มีสัญชาตญาณรุนแรงไม่อาจต่อสู้กับวิญญาณของไป๋ลี่ที่อ่อนแอได้ เขาระงับการต่อต้านของร่างกายด้วยการโจมตีสามครั้ง และในการเคลื่อนไหวเพียงห้าครั้งทำให้การต่อต้านทั้งหมดของร่างกายสงบลงได้
ร่างของจักรพรรดิเซียนองค์แรกนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างเงียบเชียบ อีกสองถ้วยชาถัดมา ในที่สุดวิญญาณของเขาก็สามารถครอบครองร่างกายนี้ได้อีกครั้ง เขาเริ่มขยับนิ้วก้อยซ้ายก่อน ร่างกายทั้งหมดเริ่มตอบสนองทีละน้อย ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้น
“ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้… นานมากแล้ว”
เด็กหนุ่มจับที่พักแขนของบัลลังก์ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นท่ามกลางความปลื้มปีติของฝูงชน
“ร่างกายแบบนี้ สัมผัสที่เท้า การเหยียบพื้นที่แท้จริง”
เขาประสานหมัดพร้อมโค้งคำนับให้ไป๋ชิวหรานที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเชื่องช้า
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยเหลือ”
“อืม”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าแล้วพูดกับเขาว่า
“อย่าเพิ่งได้ใจไป เจ้ามีเวลาไม่มากนัก ทราบหรือไม่ว่าต้องทำสิ่งใด?”
“ข้าทราบแล้ว”
ไป๋ลี่พยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ข้าคือตัวตนอื่น และข้าให้เวลาเจ้าได้เพียงห้าร้อยปี… ห้าร้อยปีถัดไปเจ้าต้องเข้าสู่สังสารวัฏแห่งการเกิดและตาย จงอย่าได้ลืมว่าเจ้าตายตกไปแล้ว”