ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 317 ซากปรักหักพังหวนคืน
บทที่ 317 ซากปรักหักพังหวนคืน
บทที่ 317 ซากปรักหักพังหวนคืน
หลังจากไป๋ชิวหรานกลับมาที่สวรรค์กระจ่างเขตอวี่ชิง เขาก็มุ่งหน้าเข้าสู่โถงมหาสงบอีกครั้ง สิ่งของที่เคยวางบนโต๊ะถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
ถังรั่วเวยและหลีจิ่นเหยาไม่ได้อยู่ที่นี่ และจักรพรรดิเซียนกลางยังคงนั่งรอเขาอยู่ที่เดิม
“ท่านอาจารย์”
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานกลับมาแล้ว จักรพรรดิเซียนกลางรีบลุกขึ้นพร้อมเอ่ยคำ
“ผลลัพธ์ว่าอย่างไรบ้างหรือ?”
ไป๋ชิวหรานบอกกล่าวกับจักรพรรดิเซียนกลางถึงข้อมูลที่ได้รับทราบมา
“ประเสริฐนัก”
เล่อเจิ้นเทียนรู้สึกมีความสุขยิ่ง
“ด้วยเหตุผลนี้ อย่างน้อยเราก็สามารถเตรียมวางแผนป้องกัน และก้าวนำได้หนึ่งก้าว”
“อืม”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า เขาเอื้อมมือออกมาโอบไหล่ของเล่อเจิ้นเทียนทันใด
“เสี่ยวเทียน ข้ามีบางอย่างอยากถาม”
“เชิญท่านกล่าว”
“ข้าได้ยินว่า โลกทั้งใบภายใต้เขตแดนเซียนทั้งห้าทิศของเรา ก่อนถึงขั้นสร้างรากฐาน สิ่งเหล่านั้นไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตน จริงหรือไม่?”
ชายหนุ่มถามด้วยรอยยิ้ม
เล่อเจิ้นเทียนกำลังจะอ้าปากตอบว่าใช่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกถึงความหนาวเหน็บเย็นเยือกที่แผ่นหลัง
เขารู้สึกว่าฝ่ามือของไป๋ชิวหรานที่วางไว้บนไหล่กำลังเปียกชุ่ม และเมื่อใช้หางตาเหลือบมอง เขาทราบว่ามือของไป๋ชิวหรานเต็มไปด้วยโลหิต และเนื้อหนังของอสูรผู้โชคร้าย มันน่าสยดสยองไม่น้อย!
เปลือกตาของเล่อเจิ้นเทียนถึงกับสั่นสะท้าน เขารีบกล่าวตอบ
“แน่นอนว่าไม่ ท่านอาจารย์ แดนเซียนมีกฎเกณฑ์ในวิถีเต๋า ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิเซียนผู้มีอายุยืนยาวกว่าสวรรค์ หรือมนุษย์ผู้ไม่มีความสามารถแม้จะล่าไก่ ตราบใดที่มีจิตใจใฝ่รู้วิถีเต๋า พวกเขาย่อมถือว่าเป็นผู้ฝึกตน และเป็นสหายร่วมทางในวิถีสวรรค์”
“อืม…”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยคำ
“แต่ข้าได้ยินมาว่า… ในบางโลก โลกแห่งการฝึกตนแยกออกจากโลกของมนุษย์ธรรมดา และพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่โลกใบนั้นหากยังไม่เข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน… อย่าคิดเปลี่ยนแปลงกฎเพียงเพราะข้าถาม”
“นี่ไม่ใช่การบังคับ”
เล่อเจิ้นเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ข้ากำลังกล่าวด้วยความสัตย์จริง”
“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า”
ไป๋ชิวหรานตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะปล่อยมือ
“ไปได้แล้ว รอสิ่งใดอยู่เล่า?”
จักรพรรดิเซียนกลางไม่ใช่คนเกียจคร้านมากนัก หลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวยออกไปทำกิจของตนเอง แต่เขายังอยู่ที่นี่ และเฝ้ารอเพราะทราบว่ามีเรื่องต้องพูดคุยกัน
“อย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิเซียนกลางกล่าวต่อ
“อาจารย์ ลุงสามมาขอเข้าพบท่าน”
“ลุงสาม? ข้ารับศิษย์คนที่สามตั้งแต่เมื่อใดกัน… อ้อ เป็นลิงตัวนั้น”
ไป๋ชิวหรานเกาศีรษะก่อนจะตระหนักได้
“ถูกต้องแล้ว ลุงสามเป็นบรรพบุรุษของปีศาจ และพวกเขานำปีศาจไปอาศัยอยู่ในเมืองปีศาจสวรรค์ที่สิบแปดสวรรค์รูปภูมิ”
จักรพรรดิเซียนกลางกล่าวตอบ
“แล้วเขาอยู่ที่ใด?”
“ภายในวิหารกวงลู่ ขณะนี้พวกเขารอท่านอาจารย์ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน โปรดตามข้ามาเถิด”
…
วิหารกวงลู่เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิเซียนองค์แรกและจักรพรรดิเซียนกลางในปัจจุบันใช้รับประทานอาหาร ไป๋ชิวหรานถูกพามาที่นี่โดยเล่อเจิ้นเทียน และพบว่าถังรั่วเวยกับหลีจิ่นเหยาก็อยู่ที่นี่แล้ว ฝั่งตรงข้ามไป๋ลี่มีวานรตัวใหญ่ รูปร่างแข็งแรงนั่งอยู่
วานรตัวนี้มีขนสีเทาปกคลุม และดูเหมือนขนเหล่านั้นจะไม่ได้รับการดูแลอย่างดี และยังสวมเสื้อคลุมเซียน แม้เสื้อคลุมเซียนจะดูเก่ามาก แต่มันก็เรียบง่ายและไม่หรูหราเหมือนกับเสื้อผ้าของเหล่าสามัญชน
“ท่านบรรพชนกระบี่ เชิญทางนี้”
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานเข้ามา หลีจิ่นเหยารีบจัดเก้าอี้ที่นางเก็บไว้ให้กับเขา ซึ่งก็คือระหว่างนางกับถังรั่วเวย
ขณะนั้นไป๋ลี่กับวานรสีเทาลุกขึ้นยิ้มให้กับไป๋ชิวหรานด้วยความเคารพ
“ท่านอาจารย์ จดจำได้หรือไม่?”
“ข้าจำได้”
ไป๋ชิวหรานไม่ได้กล่าวว่าใช้เวลาไปเท่าใดกว่าจะจดจำลิงตัวนี้ได้ เขาจึงตอบเพียงเท่านั้น
“ลิงที่ท่านกับภรรยาช่วยชีวิตไว้ตอนนั้น คราวแรกข้าไม่ได้ตั้งชื่อให้ เจ้าตั้งชื่อตนเองอย่างนั้นหรือ?”
เขามองไปที่วานรสีเทา และมันผู้นั้นโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“ศิษย์ฮุ่ยหยวน ทำความเคารพอาจารย์”
“ฮุ่ยหยวน ชื่อนี้เรียบง่าย”
ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“การมีคำเรียกขานเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะชื่อที่เจ้าตั้งเอง แต่มันต้องมีความหมายพิเศษที่ทำให้เจ้ารู้สึกพึงพอใจด้วย”
“ความจริงแล้ว ข้าต้องการให้เขาเพิ่มอีกหนึ่งคำตามหลังคำว่าฮุ่ยหยวน”
ไป๋ลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยคำ
“อย่างเช่น ฮุ่ยหยวนอ้าย หรืออะไรสักอย่าง แต่เขากลับปฏิเสธ เพราะรู้สึกว่ามันลำบากเกินไปหากจะเขียนเพิ่มอีกหนึ่งคำ”
“ฮุ่ยหยวนอ้าย? ชื่อนี้มันแปลก ๆ เพราะยังมีความหมายว่าลิง”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“โชคดีที่เจ้าไม่ได้ตั้งชื่อนี้ให้กับเขาตั้งแต่แรก… ข้าเห็นพวกเจ้ายิ้มแย้มกัน พูดคุยอะไรกันอยู่หรือ?”
“แรกเริ่ม… ศิษย์น้องกำลังอธิบายให้ข้าและศิษย์พี่หลีฟังถึงรูปแบบและพลังของเขตแดนซากปรักหักพังหวนคืนที่เพิ่งสำเร็จ”
ถังรั่วเวยอุทานออกมา
“โอ้?”
แววตาของไป๋ชิวหรานเป็นประกายเมื่อได้ยิน
“ข้าก็สนใจเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน”
เขาเดินตรงเข้ามาหาหลีจิ่นเหยา แล้วโบกมือให้ไป๋ลี่
“มานี่เถิด บอกข้าทีว่าเจ้าทำสำเร็จอย่างไร?”
ไป๋ลี่เงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะกล่าด้วยรอยยิ้ม
“ไว้พูดคุยกันตอนรับประทานอาหารเถิด”
คนรับใช้ของวิหารกวงลู่รับคำสั่งและนำอาหารนับไม่ถ้วนเข้ามาจัดวางอย่างรวดเร็ว ไป๋ชิวหรานเห็นอาหารตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่า ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งล้ำค่าใช้บำรุงร่างกาย
“ชีวิตของเจ้าช่างสะดวกสบายเสียจริง”
ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับไป๋ลี่
“ทานให้มากเถิด ไม่ต้องกังวลว่าโลหิตจะหลั่งริน”
“ไม่ต้องกังวล”
ไป๋ลี่โบกมือก่อนจะกล่าว
“ศิษย์ไม่ขาดสิ่งเหล่านี้”
ทุกจานถูกวางไว้บนโต๊ะ ทุกคนเริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว ไป๋ลี่ไม่ได้กล่าวถึงกฎของโต๊ะอาหารแต่อย่างใด ขณะที่รับประทานอาหาร เขาอธิบายให้ไป๋ชิวหรานทราบถึงขอบเขตของซากปรักหักพังหวนคืนที่เพิ่งสำเร็จไป
“หลังจากเหล่าทวยเทพพ่ายแพ้ ศิษย์ก็เดินทางไปที่ซากปรักหักพังหวนคืนเพื่อสำรวจความลับของมัน และจากนั้นได้ศึกษาเสร็จสิ้นและเข้าใจเขตแดนซากปรักหักพังอย่างแท้จริง”
ไป๋ลี่ใช้พลังเซียนเพื่อสร้างผังบนอากาศโดยละเอียดของซากปรักหักพังหวนคืน และเขากล่าวอธิบายง่าย ๆ ว่า
“ซากปรักหักพังหวนคืนแท้จริงแล้วเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนของโลกภายนอก สสารทั้งหมดในโลกเกิดขึ้นและตายตก โลกเปลี่ยนพลังงานจากห้วงกระแสความว่างเปล่า และอัดฉีดมันเข้าสู่โลกเซียน เช่นนั้นจึงก่อกำเนิดทุกสิ่งที่รุ่งเรืองในโลกขึ้น และจากนั้นสิ่งเหล่านี้เข้าสู่สังสารวัฏ สสารทุกสิ่งจึงหวนคืนกลับสู่ทะเลไปตามกระแสน้ำในมหาสมุทร และไหลกลับสู่ซากปรักหักพังหวนคืนอีกครั้ง จนกลายเป็นวัฏจักรยิ่งใหญ่”
“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าพร้อมกล่าวคำ
“ซากปรักหักพังหวนคืนคือส้วมของโลก”
“…กล่าวเช่นนั้นก็คงจะถูกต้อง”
ไป๋ลี่เหลือบมองจานที่ถูกกินไปกว่าครึ่งหนึ่งของโต๊ะ ใบหน้าของเขาเผยความซับซ้อนเล็กน้อย
“เช่นนี้การเข้าสู่ซากปรักหักพังหวนคืนของข้าจึงเสร็จสมบูรณ์ ซากปรักหักพังหวนคืนในคฤหาสน์สีม่วงไม่ได้ง่ายดายเพียงเพราะมันคือจุดที่ต่ำที่สุดของโลก อีกทั้งมันยังต้องทำหน้าที่สำคัญคือการแลกเปลี่ยนพลังจากภายในและภายนอกด้วย”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดก่อนจะกล่าวต่อ
“กลายเป็นว่าขั้นตอนสุดท้ายในเขตแดนที่ข้าสร้างขึ้นคือการซ่อมแซมส้วมภายในคฤหาสน์สีม่วงของร่างกายข้า… ช่างหยาบคายนัก เจ้าอยากจะสร้างมันใหม่หรือไม่?”
“มันไม่เลวร้ายเช่นนั้น”
ไป๋ลี่ส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวต่อ
“หลังจากทะลวงผ่านไปยังเขตแดนซากปรักหักพังหวนคืนแล้ว ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งจะพุ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่ตราบใดที่ไม่มีการโจมตีที่เกินกว่ากำลังของร่างกาย มันจะไม่สร้างความเสียหายต่อร่างกายเลย จากการโจมตีทางกายและความเสียหายของจิตวิญญาณ สามารถกู้คืนทุกสิ่งกลับได้จากซากปรักหักพังหวนคืน มันสามารถดูดซับพลังจิตวิญญาณจากโลกภายนอกได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นร่างกายสีทองที่ปราศจากการรั่วไหลของพลังอย่างแท้จริง… อีกทั้งยังมีประโยชน์อีกมากมาย ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของศิษย์เท่านั้น มันน่าจะมีคุณสมบัติอีกมากที่ยิบย่อย”
“ถ้าเช่นนั้นหากซากปรักหักพังหวนคืนแข็งแกร่งมาก แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ฝ่าเข้าไป?”
ไป๋ชิวหรานถาม
“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าสามารถทะลวงเข้าสู่มันได้แล้วหรือไม่?”
“ท่านอาจารย์คงยังไม่ทราบ…”
ไป๋ลี่กล่าวอย่างขมขื่น
“ยังมีข้อเสียหากทะลวงเข้าสู่เขตแดนซากปรักหักพังหวนคืน นั่นคือเมื่อทะลวงผ่านเข้าไปแล้ว ซากปรักหักพังที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายยังไม่อาจควบคุมได้ มันจะเข้าไปทำลายทุกสิ่งในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตมหาสมุทร จักรพรรดิ หรือแม้แต่พลังปราณวิญญาณทั้งหมดจะถูกขับออกจากร่างกาย ในช่วงเวลานี้เซียนที่อยู่ในขอบเขตซากปรักหักพังหวนคืนล้วนอ่อนแอยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงจักรพรรดิเซียนเลย เพียงแค่เซียนธรรมดาก็ยังสามารถสังหารคนผู้นั้นได้…”
เมื่อไป๋ลี่กล่าวออกมาเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานจึงเข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิเซียนองค์แรกที่เสร็จสิ้นการศึกษาเขตแดนซากปรักหักพังหวนคืนแล้ว แต่เขากลับยังไม่คิดเลื่อนขั้นการฝึกตนเป็นซากปรักหักพังหวนคืนเซียน
ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิเซียนจะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย แล้วจึงค่อยบุกทะลวงเข้าไป ไป๋ลี่ที่ต้องต่อสู้กับภายใน และเหล่าอาจารย์อสูรในเวลานั้น เขาย่อมไม่กล้าทำลายขั้นการฝึกฝนของตนเองแน่นอน
ในแดนเซียนปัจจุบัน จักรพรรดิเซียนทั้งสี่ทิศปราบปรามเหล่ามือใหม่ จักรพรรดิเซียนอู่ฟางปกป้องซึ่งกันและกัน จึงไม่มีใครคิดที่จะทะลวงผ่านขั้นต่อไปในสถานการณ์เช่นนี้
ในช่วงการฝ่าฟัน ศัตรูเก่าที่เคยพบพานย่อมมาเคาะประตูอย่างแน่นอน โดยใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของคู่ต่อสู้ในเวลานี้เพื่อสังหารอีกฝ่าย!