ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 32 จิตวิญญาณเต๋าและผนึกกระบี่
บทที่ 32 จิตวิญญาณเต๋าและผนึกกระบี่
ต่อจากนั้นไป๋ชิวหรานก็ได้ถ่ายทอดวิชาสำหรับหลบหนีให้ถังรั่วเวยอีกหนึ่งกระบวนท่า
วิชาหลบหนีผ่านพสุธานี้ มันได้รับการปรับปรุงนับครั้งไม่ถ้วนจากไป๋ชิวหราน แต่เดิมวิชานี้สามารถหลบหนีผ่านพื้นแผ่นดินที่มีสภาพอ่อนเท่านั้น แต่หลังจากที่ไป๋ชิวหรานปรับเปลี่ยนใหม่ มันก็สามารถใช้หลบหนีผ่านทุกพื้นผิวดินทุกชนิด
ไม่ว่าจะเป็นหิน ดิน ทราย หรือแร่ทองแร่เหล็ก หรือถ้าเกิดถังรั่วเวยสามารถทนความร้อนและไม่ตายจากทะเลเพลิงภายในนั้น แม้กระทั่งหินหนืดใต้ผืนพิภพ นางก็สามารถผ่านไปได้ตามทฤษฎี
กล่าวได้ว่าสามารถโบยบินได้อย่างอิสระภายใต้พื้นแผ่นดินนั่นเอง
ส่วนวิชาฝ่ามือเองก็ซื่อตรงและเรียบง่ายไม่ต่างจากวิชากระบี่ มันเป็นการใช้ฝ่ามือโจมตีไปยังหน้าอกคู่ต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
สำหรับพลังของมัน เมื่อไป๋ชิวหรานที่ใช้พลังระดับสร้างรากฐานสาธิต เขาสามารถบดขยี้ยอดเขาด้านทิศตะวันตกจนกลายเป็นผุยผงได้เพียงฝ่ามือเดียว
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ถังรั่วเวยที่มีความสำเร็จในวิชาหลอมสร้างกายระดับสูง มันจึงทำให้พลังฝ่ามือของนางแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าวิชากระบี่
เวลานี้ถังรั่วเวยได้เข้าสู่การสร้างรากฐาน ไม่เพียงแค่นางจะมีแก่นแท้แห่งวิญญาณ สัมผัสเทวะของนางยังแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก มันทำให้ไป๋ชิวหรานสามารถเข้าไปถ่ายทอดวิชาความรู้ได้โดยตรง ซึ่งกล่าวได้ว่าสะดวกอย่างมากสำหรับไป๋ชิวหราน หลังจากถ่ายทอดและสาธิตวิชาทั้งสองแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงได้อธิบายขั้นตอนต่อไป
“ขั้นตอนต่อไปที่ข้าจะสอนเจ้าก็คือวิถีบ่มเพาะจิตวิญญาณเต๋าและผนึกกระบี่”
“อะไรคือจิตวิญญาณเต๋าและผนึกกระบี่?” ถังรั่วเวยถามกลับด้วยความสงสัย
“สิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณเต๋านั้นคือการให้ผู้ฝึกตนเลือกเส้นทางที่จะบ่มเพาะ โลกแห่งการฝึกตนนั้นมีเส้นทางในการฝึกฝนมากถึงสามพันเส้นทาง ผู้ฝึกตนจะต้องเลือกศึกษามาหนึ่งอย่าง หรือมากกว่านั้น หลังจากศึกษาเรียนรู้ได้ในระดับหนึ่ง จิตวิญญาณเต๋าจะปรากฏเป็นรูปธรรมเพื่อแสดงถึงระดับของคนผู้นั้นในเส้นทางนี้ ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงได้ถูกหลอมรวมเส้นทางของจิตวิญญาณเต๋าแห่งกระบี่ไว้อยู่แล้ว เมื่อจิตวิญญาณเต๋าสามารถฝึกจนก่อตัวได้และมีรูปลักษณ์ปรากฏบนแท่นบูชาของผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนจะสามารถดับความชั่วร้าย หรือปรากฏกระบวนท่ากระบี่ที่ยอดเยี่ยม แม้กระทั่งวิธีการตีกระบี่บินคุณภาพเยี่ยมออกมาได้ แน่นอนว่าจิตวิญญาณเต๋าอื่นก็อาจจะเป็นสิ่งอื่น แต่พื้นฐานนั้นไม่ค่อยแตกต่างกัน”
ไป๋ชิวหรานขยับนิ้วและกล่าวต่อ “ส่วนผนึกกระบี่นั้น กล่าวตามจริงมันเป็นสิ่งที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด ข้าสามารถพูดได้ว่าในสิบเขตมณฑลนี้ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าได้ในเรื่องของผนึกกระบี่”
หลังจากกล่าวจบ ไป๋ชิวหรานได้เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
ถังรั่วเวยกะพริบตาเอ่ยถาม “เหตุใดถึงภาคภูมิใจ?”
“เพราะคนหนุ่มสาวในปัจจุบันนี้ใจร้อนเกินไป อีกทั้งยังเป็นเรื่องยากที่จะบรรลุวิถีแห่งการผนึก ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปฝึกอาคมที่สามารถร่ายได้ง่ายและรวดเร็วกว่า” ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยความเศร้าเล็กน้อย
“ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดทักษะการผนึกถึงถูกคนรุ่นใหม่ ๆ มองข้าม เหล่าบรรพบุรุษของพวกเราได้พัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้เข้ากับวิถีแห่งเต๋าแล้ว เฮ้อ น่าเศร้านัก”
“โอ้” หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ถังรั่วเวยก็สามารถตีความจากคำกล่าวของไป๋ชิวหรานได้ “กล่าวตามตรงก็คือ ถึงแม้วิชานี้จะฝึกฝนยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะฝึกไม่ได้ แต่พวกเขาแค่หันไปฝึกอาคมที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ดังนั้นท่านจึงกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสิบมณฑลสินะ?”
“หยุด…หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าคนทรยศหน้าอกแบน!” ไป๋ชิวหรานดูตื่นตัวขึ้นมาทันที “พูดแบบนั้นได้อย่างไร?”
ถังรั่วเวยมองกลับอย่างไม่เกรงกลัว
หลังจากศิษย์และอาจารย์ทะเลาะกันอยู่ชั่วครู่ ไป๋ชิวหรานจึงได้เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
“กล่าวโดยย่อคือ ถึงแม้ผนึกกระบี่จะฝึกยาก แต่อาจารย์ก็หวังว่าเจ้าจะสามารถฝึกฝนต่อไปให้สำเร็จ การฝึกฝนที่ยากลำบากนั้นจะทำให้มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง” ไป๋ชิวหรานกล่าว
“รั่วเวย เจ้าต้องเข้าใจความพยายามของอาจารย์ ถึงแม้เจ้าจะเป็นหญิงตัวแบน เลวทราม และไม่ฟังคำสั่งสอน เจ้าก็ยังเป็นลูกศิษย์ที่มีค่าที่สุดของอาจารย์ อาจารย์จะคิดร้ายต่อเจ้าได้อย่างไร?”
“ฮึ่ม!” ถังรั่วเวยอุทานออกมาเบา ๆ และไม่ตอบสิ่งใด
“หากเจ้าไม่พูดอะไรแล้ว เช่นนั้นอาจารย์จะเริ่มเลยก็แล้วกัน” ไป๋ชิวหรานนั่งลงและวางมือไปที่ขา “เช่นนั้นข้าจะสอนวิธีกลั่นจิตวิญญาณเต๋าให้เจ้าก่อน จากนั้นจึงให้เมล็ดพันธุ์ผนึกกับเจ้า”
“เมล็ดพันธุ์อะไรงั้นหรือ?” ถังรั่วเวยถาม
“การปลูกฝังผนึกนั้นต้องใช้คุณลักษณะของพลังอีกคนหนึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ พลังในระดับต่าง ๆ ที่ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ มันจะช่วยกำหนดความสูงที่เจ้าสามารถเข้าถึงผนึกได้เมื่อเริ่มฝึกฝนในอนาคต” ไป๋ชิวหรานอธิบาย
“นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผู้คนคิดว่าการฝึกฝนผนึกกระบี่นั้นยากลำบาก เพราะพวกเขาขาดผู้ชี้แนะพลัง กล่าวคือไม่มีแหล่งที่จะปลูกฝังพลังของผนึกที่สูงพอ เมื่อพวกเขามีพลังไม่มากพอ การบ่มเพาะพลังผนึกจึงไม่รวดเร็วเท่าการฝึกอาคมที่อยู่ในขั้นพลังเดียวกัน ดังนั้นผนึกกระบี่จึงไม่ถูกใจบรรดาผู้ฝึกตนทั่วไป แต่พวกเราไม่มีปัญหานั้น ตอนนี้ขั้นพลังของเจ้ายังต่ำ และข้าก็มีพลังปราณมหาศาลที่จะปลูกฝังให้”
เขายื่นมือออกไป จากนั้นก็เกิดแสงเป็นรูปกระบี่ขึ้นที่ปลายนิ้ว
“ครั้งแรกที่ข้าเริ่มฝึกผนึกกระบี่ ข้าใช้ผนึกกระบี่นี้ที่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในซากปรักหักพังโบราณที่อยู่ในป่าลึกเพื่อตัดส่วนหนึ่งของกระบี่เทวะจากยุคโบราณมา และมันก็ถูกข้าใช้ต่อ เมล็ดพันธุ์ที่จะมอบให้เจ้าวันนี้จึงเป็นเมล็ดของข้า เอาล่ะ รั่วเวย”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ถังรั่วเวยก็เข้าใจและกางฝ่ามือออก
ไป๋ชิวหรานวางสองนิ้วของตนลงบนฝ่ามือของหญิงสาว กระบี่แสงเมื่อครู่จึงย้ายไปอยู่ในมือของถังรั่วเวยทันที
“นี่คือผนึกกระบี่ที่ไป๋ชิวหรานศิษย์สายตรงรุ่นที่สองของสำนักกระบี่ชิงหมิงใช้เวลากว่าสามพันปีในการกลั่นมันมา” เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย “ระดับของมันน่าจะเพียงพอแล้ว”
—
ด้วยเหตุนี้ ถังรั่วเวยที่สำเร็จขั้นสร้างรากฐานจึงได้เริ่มฝึกฝนอย่างหนักภายใต้การชี้แนะของไป๋ชิวหราน
อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนกระบวนท่าทั้งสามนั้นรวดเร็วกว่าการฝึกฝนขั้นพื้นฐาน ส่วนการบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณเต๋าและผนึกกระบี่ยังต้องใช้เวลาอีกมาก ไป๋ชิวหรานจึงไม่รีบเร่งการฝึกส่วนนี้มากนัก
วันเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาถึงหกเดือน ณ ทางเดินบนภูเขาชีซิง ถังรั่วเวยกำลังถูกแม่ลิงตัวเดิมมาขวางทางเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยสามสิบแปด
“เจี๊ยก เจี๊ยก เจี๊ยก!” แม่ลิงตัวนั้นยังพยายามยั่วโมโหถังรั่วเวย มันเอาเปลือกผลไม้วิญญาณสองชิ้นที่ไม่รู้ว่าหามาจากไหนออกมา จากนั้นมันก็ชี้ไปที่หน้าอกของหญิงสาว และนำเปลือกผลไม้วิญญาณวางบนหน้าอกตัวมันเองพร้อมส่งเสียงเยาะเย้ย
แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ครั้งนี้ถังรั่วเวยไม่ได้ตะคอกกลับเหมือนเมื่อก่อน นางแค่ดึงกระบี่ออกมาจากฝักและคิดจะโจมตีใส่มัน
ถังรั่วเวยค่อย ๆ วางสมุนไพรที่ถืออยู่ เรียวปากของนางเริ่มเผยรอยยิ้มขึ้นช้า ๆ
ทันใดนั้นประกายแสงสีดำพลันปรากฏขึ้นและฟันผ่านแม่ลิงตัวนั้นไปโดยที่มันยังไม่ทันรู้ตัว อีกทั้งประกายแสงเมื่อครู่ยังพุ่งเข้าปะทะกับต้นไม้เล็ก ๆ ข้างทางต่อ
ต้นไม้เล็ก ๆ แยกออกเป็นสองส่วน ขณะเดียวกันเปลือกผลไม้วิญญาณที่ลิงตัวนั้นจับอยู่ตรงหน้าอกก็ถูกแบ่งออกเป็นสองซีกและตกลงพื้น
สัญชาตญาณสัตว์ป่าของแม่ลิงเตือนขึ้นว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆ มันกรีดร้องและรีบวิ่งหนีเข้าไปในป่าทันที
ซึ่งการกระทำดังกล่าวช่างเปล่าประโยชน์ยิ่งนัก ถังรั่วเวยเร่งฝีเท้าวิ่งตามเข้าไปในภูเขาตลอดทาง ไล่ต้อนมันไปจนถึงสุดของถ้ำใต้ภูเขา
ตุ้บ!
ฝ่ามือสีขาวอันเรียวงามของนางพาดผ่านไหล่ของแม่ลิงตัวนั้นและกดมันลงผนังหินด้านหลัง นอกจากนั้นรอยฝ่ามือที่นางทิ้งไว้ตรงผนังหินกำลังแตกออกเป็นใยแมงมุมดูน่ากลัว
“เจ้าลิงบัดซบ” หญิงสาวเผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบขณะเดินเข้าไปหาแม่ลิง
“ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ในที่สุดข้าก็จับเจ้าได้!”