ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 334 โลกในช่วงการกลั่นลมปราณ
บทที่ 334 โลกในช่วงการกลั่นลมปราณ
บทที่ 334 โลกในช่วงการกลั่นลมปราณ
ไป๋ชิวหรานกับเซียนหงเฉินใช้พลังเหนือธรรมชาติเพื่อตรวจสอบสภาพภายนอกโลกอย่างถี่ถ้วน
โครงสร้างของโลกใบนี้เหมือนกับเก้าทวีปมหาสิบแผ่นดิน รูปร่างทรงกลม มีพื้นดิน มหาสมุทร อากาศ ท้องฟ้าและทั้งหมดเป็นรูปร่างแบบเส้นโค้งมน
เพียงแต่ว่ายังไม่มีวิถีเต๋าเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่มีซากปรักหักพังหวนคืนที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนพลังงานกับโลกภายนอกได้ อีกทั้งไม่ได้กว้างใหญ่เท่ากับเก้าทวีปมหาสิบแผ่นดิน
ขนาดของมันเทียบเท่ากับดาวเคราะห์ที่คล้ายคลึงกับโลกในจักรวาลบางแห่ง อีกทั้งความสูงของท้องฟ้ายังต่ำกว่าท้องฟ้าของเก้าทวีปมหาสิบแผ่นดินอยู่มากโข
พลังงานสูงสุดของโลกคือดวงอาทิตย์ที่ลอยเหนือท้องฟ้า รองลงมาคือจันทราที่อยู่ต่ำลงมาเล็กน้อย ภายใต้โลกใบนี้ยังคงมีพื้นที่มืดมิดให้ดวงดาราได้ส่องสว่างในยามราตรี
แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด อาจเพราะโลกใบนี้อยู่ใกล้กับกำแพงแห่งความตระหนักรู้มากไปหรือไม่ มันจึงพัฒนาไปโดยไม่ถูกรบกวนจากภายนอก มันไม่มีเจตจำนงของตนเอง ตรงกันข้ามกับมนุษย์ที่ก้าวหน้าไปมาก อีกทั้งอารยธรรมยังอยู่ในระดับสูง
ไป๋ชิวหรานกับเซียนหงเฉินตรวจสอบทุกสิ่งแล้ว มนุษย์เหล่านี้ล้วนไม่แตกต่างจากพวกเขา และทั้งหมดยังมีจุดฝู่จื่ออยู่ในร่างกายเช่นกัน พวกเขาสามารถฝึกฝนและฝึกฝนตนได้
แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับการสั่งสอนจากแดนเซียน ดังนั้นทั้งหมดจึงอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นกลั่นลมปราณ สำหรับพวกเขาแล้วนี่คือปรมาจารย์ผู้ควบคุมยุคสมัยใหม่และคือเซียนที่อยู่ยงคงกระพัน
เมื่อเซียนหงเฉินเห็นเช่นนั้น เขาก็ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าวได้ว่าบาปของจักรพรรดิเซียนทั้งสี่นั้นยิ่งใหญ่นัก ทว่าไป๋ชิวหรานกลับรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม เขาชอบโลกที่น่ารักใบนี้ มันปราศจากการเลือกปฏิบัติ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนเท่าเทียมกัน
การบุกรุกเขตแดนจิตสำนึกไม่อาจก่อเกิดได้ในชั่วข้ามคืน หลังจากเฝ้าสังเกตอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งสองค้นพบว่าเขตแดนจิตสำนึกกำลังกัดเซาะมิติของโลกใบนี้และดูดซับสติสัมปชัญญะ ความฝัน และสรรพสัตว์ในภพนี้อย่างเงียบ ๆ โลกภายนอกเริ่มเชื่อมโยงและหลอมรวมเข้าด้วยกัน
หลังจากเชื่อมโยงเสร็จสิ้นก็มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นที่ส่วนลึกของเขตแดนจิตสำนึก อย่างไรก็ตาม มันยอดเยี่ยมมาก เพราะจิตใต้สำนึกของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้สร้างระลอกคลื่นเล็ก ๆ ในห้วงทะเลจิตสำนึกเท่านั้น และมันไม่ได้ถือกำเนิดอาจารย์อสูรขึ้นมาแต่อย่างใด
เซียนหงเฉินคาดเดาว่าอาจเป็นเพราะระดับพลังของโลกใบนี้ต่ำต้อยเกินไปและยังไร้ผู้ฝึกสอน นั่นจึงเป็นเรื่องยากที่จิตสำนึกของผู้ฝึกตนทั่วไปจะสัมผัสได้ถึงเขตแดนจิตสำนึกและเกิดการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ยังขาดสติสัมปชัญญะ ซึ่งในโลกของตัวเอง ‘สติ’ คือโลกที่แท้จริงของพวกเขา!
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดไม่สามารถทำได้… การค้นคว้าและเรียนรู้การมีจิตสำนึกไม่อาจฝึกฝนได้เพียงข้ามคืน
เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงในเขตแดนจิตสำนึก ไป๋ชิวหรานกับเซียนหงเฉินไม่คิดฝึกฝนแก่มนุษย์ในโลกภายนอก และยังห้ามเซียนตนอื่นไม่ให้สั่งสอนมนุษย์เหล่านั้นด้วย
ทั้งสองยังคงเฝ้าสังเกตเขตแดนจิตสำนึกเหล่านี้ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน พวกเขาเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของมันในทุก ๆ วัน
…
ในชั่วพริบตาก็ผ่านพ้นไปแล้วหลายทศวรรษ ในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ไป๋ชิวหรานเพิ่มสัดส่วนของพลังปราณแก่นแท้ในร่างกายได้เพียงสี่ในสิบจากการฝึกฝนในสายธารแห่งความว่างเปล่า ตอนนี้เขามาถึงจุดสูงสุดของ ‘ขั้นรากฐานเสมือน’ แล้ว
เจียงหลานไม่มีสิ่งใดต้องทำ และภายใต้การคุ้มครองของไป๋ชิวหราน นางจึงสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นซากปรักหักพังหวนคืนภายในวิหารฝูซางได้ นางจึงกลายเป็นเซียนคนแรกของโลกและแดนเซียนที่เข้าสู่ซากปรักหักพังหวนคืนได้
หลังจากหลายทศวรรษที่นางพยายามรักษาเสถียรภาพของพลัง การฝึกตนของนางถูกทำลายทิ้งและถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าคราวที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิเซียนเมื่อก่อนมาก
และซูเซียงเสวี่ยกับหลีจิ่นเหยาก็บุกทะลวงเข้าสู่แคว้นโฮ่วถูได้สำเร็จ แม้แต่ถังรั่วเวยยังสามารถผ่านสภาวะตีบตันและมาถึงขั้นผสานร่างได้สำเร็จเช่นกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจลืมได้คือความเร็วของกระดูกหน้าอกถังรั่วเวยก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน มันรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด!
เป็นเพราะกระดูกหน้าอกของนางอยู่ภายใต้วิชาการหลอมร่างกาย แม้หลีจิ่นเหยาจะโจมตีสุดแรง แต่มันก็ไม่สั่นสะเทือน เช่นนี้นางจึงไม่ค่อยพอใจนัก ดังนั้นในเก้าทวีปสิบแผ่นดินกับแดนเซียน จึงมีเพียงไป๋ชิวหราน เจียงหลาน และเซียนหงเฉินเท่านั้นที่สามารถทำลายการป้องกันนี้ของนางได้
ในช่วงเวลาหนึ่ง รัฐซ่างเสวียนได้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนฝ่ายมาร โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนฝ่ายมารจะไม่มีนัยยะสำคัญเหมือนกับเหล่าสำนักเทพโลหิต มีสตรีผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเหลือรัฐซ่างเสวียนให้รอดพ้นจากการถูกล้อมของเหล่าผู้ฝึกตนฝ่ายมาร นางถูกตบด้วยพลังเวทย์รุนแรงที่หน้าอกซ้าย!
ทักษะของผู้ฝึกตนฝ่ายมารค่อนข้างร้ายแรง อีกทั้งฝ่ามือยังสามารถพังทลายกำแพงเมืองให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้โดยตรง มันคิดว่าการปลดปล่อยพลังนี้ออกไปจะสามารถทุบตีหัวใจของถังรั่วเวยได้ในฝ่ามือเดียว ทว่าเมื่อฝ่ามือปะทะกับแผ่นกระดูกที่หน้าอก พลังทั้งหมดจะสะท้อนกลับและสังหารผู้ใช้พลังให้ตายตกคาที่
หลังจากหลีจิ่นเหยาได้ทราบเหตุการณ์ครั้งนี้ นางที่ไม่เกรงกลัวแม้แต่จักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่ในเรื่องของขั้นการฝึกฝนตน แต่หากกระดูกหน้าอกของถังรั่วเวยสามารถขัดเกลาได้ แม้แต่หลีจิ่นเหยาที่เป็นเจ้าสำนักอสูรสวรรค์ก็ยังไม่สามารถโจมตีกำแพงอันแข็งแกร่งนี้ได้
แต่โชคดีที่ถังรั่วเวยมีอาจารย์ที่แข็งแกร่ง และเมื่อไป๋ชิวหรานยังอยู่ใกล้ นางจึงไม่ต้องกลัวว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นในวันข้างหน้า
หลังจากฝึกฝนมาหลายทศวรรษ วิชาการหลอมร่างกายของถังรั่วเวยก็พัฒนาไปอีกขั้นและมาสู่ระดับที่สี่สิบแปด ตอนนี้นางสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้เล็กน้อยแล้ว!
ในช่วงเวลาที่กระดูกหน้าอกยังไม่พัฒนา หน้าอกของนางจะพัฒนาสู่ฐานที่เล็กที่สุด*[1] ซึ่งมันยังไม่เพียงพอที่จะเทียบเทียมกับหลานสาวของนางได้…
การต่อสู้ของราชวงศ์ในรัฐซ่างเสวียนนั้นไร้ซึ่งโลหิตและปราศจากน้ำตา
ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ยังมีคนสองคนที่รู้สึกเสียใจอยู่ก็คือซูเซียงเสวียและเจียงหลานที่ยังไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้
ไม่ว่าจะเป็นไป๋ชิวหราน เจียงหลาน หรือซูเซียงเสวีย ทั้งสามล้วนมีร่างกายที่วิเศษกว่าผู้อื่น และการฝึกฝนของทุกคนนั้นเกินขีดจำกัดของโลกมนุษย์ไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
จักรพรรดิเซียนองค์แรกเคยขอให้แพทย์เซียนตรวจร่างกายของทั้งสาม และพบว่าพวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องการสืบพันธุ์ซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งแพทย์เซียนยังกล่าวอีกว่าตราบใดที่ทั้งสามอดทนต่อเหตุการณ์นี้ มันจะต้องได้รับผลที่งดงามแน่นอน
ทศวรรษต่อมา ในฤดูหนาว หิมะร่วงโรยอยู่ในอากาศและอาคารหลักของสำนักเฮอหวนถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งแน่นขนัด
ไป๋ชิวหรานเปิดประตูเดินออกไปขณะกวาดสายตามองเกล็ดหิมะบนท้องฟ้า ก่อนจะสูดลมเย็นเข้าปอด
“ชิวหราน อากาศเริ่มหนาวแล้วใส่เสื้อคลุมนี้ก่อนเถิด”
เจียงหลานเดินออกมาพร้อมกับเสื้อคลุมหนังสัตว์สีขาว นางต้องการจะใส่เสื้อคลุมที่ไหล่ของไป๋ชิวหราน แต่ว่าแม้จะเขย่งจนสุดปลายเท้าแล้ว มันกลับยังไม่เพียงพอกับความสูงของอีกฝ่าย
ไป๋ชิวหรานโค้งตัวและให้เจียงหลานสวมเสื้อคลุมให้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขามองใบหน้าเจียงหลานที่กำลังยื่นผ้าผืนหนา ๆ ให้กับซูเซียงเสวีย ถังรั่วเวย และหลีจิ่นเหยาทีละคน
วันนี้เป็นวันสำคัญอย่างใหญ่หลวงของโลกฝึกฝนตนทั้งหมด เพราะผู้คนในโลกฝึกฝนตน ไป๋ชิวหราน หลีจิ่นเหยา และซูเซียงเสวียต้องเข้าร่วม แต่สำหรับเจียงหลานนั้นไม่จำเป็นและนางก็ไม่คิดสนใจเรื่องนี้ เช่นนั้นจึงตัดสินใจที่จะอยู่ในบ้าน
หลังจากแต่งตัวเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนก็เดินออกจากบ้านท่ามกลางหิมะและสายลมแรง จากนั้นซูเซียงเสวียก็ได้เรียกรถม้าที่มีสัตว์ประหลาดลากจูงก่อนที่ทั้งสี่คนจะก้าวขึ้นรถไปด้วยกัน
ศีรษะคล้ายกับม้าทว่ามีเกล็ด และขาทั้งสี่ยังมีประกายเพลิงหลอมละลายหิมะ ทั้งหมดมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดในอวิ๋นโจว
อวิ๋นโจวเคยถูกแบ่งออกเป็นสองอาณาจักรโดยการแบ่งครึ่งจากสำนักเฮอหวนและหอหยกแห่งเซียนตู พวกเขาควบคุมอาณาเขตของตนเอง และมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน แต่เพราะความวุ่นวายของเผ่ามารที่บุกรุกเก้าทวีปมหาสิบแผ่นดิน เขตแดนที่รุ่งเรืองที่สุดของโลกเกือบจะถูกกวาดล้าง อีกทั้งราชวงศ์ที่เคยปกครองอวิ๋นโจวยังถูกเผ่ามารสังหารเกือบหมดสิ้น!
หลังจากห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมก่อกบฏ ทั้งนักบวชเต๋ากับสำนักฝ่ายมารต่างร่วมมือกันเพื่อเป็นพันธมิตรที่แท้จริง ซูเซียงเสวียพูดคุยกับกงป้านเจวี๋ยผู้นำหอหยกแห่งเซียนตู ทั้งสองร่วมมือกันเพื่อพัฒนาเขตแดนของตนให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
ตอนนี้อวิ๋นโจวคืออาณาจักรเดียวที่เหลืออยู่ โดยใช้ชื่ออวิ๋นเป็นหลัก และเมืองหลวงยังถูกเรียกว่าเมืองอวิ๋นโจว
ในวันนี้สำนักใหญ่ที่มารวมตัวกันคือห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและผู้ฝึกตนฝ่ายมาร ทั้งหมดกำลังตระเตรียมพิธีการสำคัญในเมืองแห่งนี้เพื่อสร้างศูนย์รวมพันธมิตรผู้ฝึกตนแห่งเก้าทวีปมหาสิบแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว!
…