ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 335 จักรพรรดิเซียนองค์แรกหลบหนีภรรยา
บทที่ 335 จักรพรรดิเซียนองค์แรกหลบหนีภรรยา
บทที่ 335 จักรพรรดิเซียนองค์แรกหลบหนีภรรยา
ณ อวิ๋นโจว บนท้องนภาอันแสนทะมึนมืดครึ้ม ปรากฏสายลมกระโชกแรง เกล็ดหิมะปลิวว่อนลอยตามแรงลม เมืองขนาดใหญ่แห่งนี้ถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟตระการตา
วันนี้มีการจัดงานสำหรับโลกฝึกฝนตนอย่างยิ่งใหญ่ และนี่คือจุดเริ่มต้นสำหรับเก้าทวีปสิบแผ่นดินที่จะได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่มีขั้นการฝึกฝนสูงส่งหรือแม้แต่มนุษย์ที่ไร้พลัง ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนสายนี้ด้วยใบหน้าชื่นมื่น
เสียงฆ้องและกลองดังขึ้นจากที่ไกล ๆ เมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น หลีจิ่นเหยาจึงเผยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวว่า
“ดูเหมือนว่างานจะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด”
หลังจากกล่าวจบ นางก็ยื่นมือออกไปคว้าไป๋ชิวหรานกับถังรั่วเวย ก่อนจะวิ่งตรงไปด้านหน้า
“ศิษย์พี่เซียงเสวี่ย รีบตามมาเร็วเข้า”
“โอ้ ศิษย์พี่หลี ช้าลงหน่อยเถิด!”
ขณะมองหลีจิ่นเหยาที่กำลังกระโดดโลดเต้นและดึงทั้งสองไปด้านหน้า ซูเซียงเสวี่ยก็เอื้อมมือดึงขนสัตว์สีขาวที่ไหล่ทั้งสองข้าง เพื่อให้มันกระชับลำคอเรียวเอาไว้ก่อนจะถอนหายใจยาว
“เหตุใดจึงมีนิสัยเช่นนี้กัน”
นางเดินติดตามไปอย่างมีมารยาท ทว่าผู้คนรอบข้างกลับไม่กล้าที่จะเหลือบมองนางอย่างโจ่งแจ้ง
หลังจากเกิดความวุ่นวายจากเผ่าผู้ฝักใฝ่ฝ่ายมารในเก้าทวีปสิบแผ่นดิน จำนวนผู้ฝึกตนก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และผู้ที่รอดชีวิตส่วนใหญ่นั้นจดจำซูเซียงเสวี่ยได้อย่างแม่นยำ
แม้ว่าจะเป็นประมุขแห่งสำนักเหอฮวน แต่นางไม่ชื่นชอบที่จะถูกจับตามอง ในโลกแห่งการฝึกฝนตน นางคือบุคคลที่เป็นประมุขสูงสุดของผู้ฝึกตนทั้งหมด
เมื่อแยกออกจากถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว ทั้งสี่คนก็ได้มาถึงใจกลางเมืองอวิ๋นโจว พิธีกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ และด้วยทักษะที่โดดเด่นในด้านเวทคาถา เจวี่ยอวิ๋นจื่อได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของกลุ่มห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม เขาได้ยืนพูดบนเวทีเป็นคนแรก
กลุ่มของไป๋ชิวหรานยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน พวกเขาเฝ้ามองและรับฟังเจวี่ยอวิ๋นจื่ออย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าเขาจะสืบทอดความปากเสียจากสำนักกระบี่ชิงหมิง แต่ในเวลานี้คำพูดและเนื้อความของเจวี่ยอวิ๋นจื่อค่อนข้างจริงจังไม่น้อย… หากกล้ากล่าวคำหยาบคายในโอกาสเช่นนี้ ผู้นำสำนักทั้งหมดจะต้องร่วมกันลงมือสังหารเขาอย่างแน่นอน ทั้งผู้อาวุโสเช่นไป๋ชิวหราน จู๋เฟิง และผู้อาวุโสชิงหมิงย่อมไม่คิดช่วยเหลือเป็นแน่!
เจวี่ยอวิ๋นจื่อประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่ามีการจัดตั้งพันธมิตรผู้ฝึกตนอย่างเป็นทางการแล้ว ฝูงชนด้านล่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีและเสียงเหล่านี้กึกก้องไปทั่วเมืองอวิ๋นโจว
ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังโห่ร้อง ไป๋ชิวหรานมองเห็นเซียนหงเฉินปะปนอยู่ด้วย และด้านข้างของเขาก็มีร่างที่คุ้นเคย…
ขณะนั้นเขาจับไหล่ของซูเซียงเสวี่ยไว้มั่นก่อนจะดันเข้าไปในฝูงชน และหยุดยืนด้านหลังเซียนหงเฉิน ชายผู้นั้น… ชายหนุ่มเหยียดมือออกไปตบไหล่ชายตรงหน้าอย่างเบามือ
“ท่านอาจารย์?”
เมื่อคนผู้นั้นกลับมา ซึ่งเขาก็คือจักรพรรดิเซียนองค์แรก ‘ไป๋ลี่’
“เด็กน้อย เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
ไป๋ชิวหรานเอียงศีรษะพร้อมกับมองเขาอย่างใคร่รู้
“เรื่องราวในแดนเซียนจบสิ้นแล้วหรือ? เช่นนั้นข้าจะได้จับกุมวิญญาณเจ้าเสียที!”
“อ๊ะ อย่าเพิ่ง อย่า เดี๋ยวก่อน…”
ไป๋ลี่รีบสารภาพทันที
“ศิษย์เพียงแค่หลบมาพักผ่อนเท่านั้น”
“หลบ?”
ไป๋ชิวหรานเผยสีหน้าประหลาดใจ
“ผู้ใดในแดนเซียนที่ทำให้เจ้าคิดหลบหนีมาได้? เก่งกาจมาจากที่ใด?”
ไป๋ลี่เกาใบหน้าดังแกรก ๆ และยังไม่ตอบกลับ เขาดูเขินอายเล็กน้อย เช่นนั้นไป๋ชิวหรานจึงหันมองเซียนหงเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างแทน
เซียนหงเฉินมองไป๋ลี่นิ่งงัน จากนั้นจึงเหลือบมองไป๋ชิวหราน… สุดท้ายเขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อแววตาดุร้ายของไป๋ลี่และกล่าวตอบอย่างซื่อตรง
“ท่านอาจารย์ จักรพรรดิเซียนองค์แรกกำลังหลบหนีภรรยาและนางสนม”
ไป๋ชิวหรานมองไป๋ลี่ด้วยแววตาคาดคั้น
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องหลบหนีภรรยา?”
“อาจารย์ต้องการใช้ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่สังสารวัฏหกวิถีในการมีทายาทสืบสายเลือดทิ้งเอาไว้”
เซียนหงเฉินเพิกเฉยต่อท่าทีกดดันของไป๋ลี่และตอบออกไปแทน
“เจ้าคนทรยศ!”
ไป๋ลี่มองเซียนหงเฉินอย่างขุ่นเคือง ขณะที่เซียนหงเฉินชี้ไปที่ไป๋ชิวหราน ก่อนจะแบมือออกอย่างจนปัญญา นี่คือการบอกว่าเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าควรทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋ชิวหราน
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิวหรานเผยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ เขาพยักหน้าให้กับศิษย์ของตนก่อนจะกล่าว
“ลี่… เพราะอาจารย์ก็เข้าใจความเจ็บปวดของเจ้า ทศวรรษนี้ทั้งเซียงเสวี่ยและหลานเอ๋อก็ต้องการบุตรเช่นกัน”
“ทะ… ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจข้า”
ไป๋ลี่ก้มหน้างุดเผยท่าทีกังวล ก่อนจะกล่าวพึมพำกับชายหนุ่ม
“เหล่าสนมไม่ยอมให้ข้าได้พักผ่อนเลยแม้เพียงแค่หนึ่งหรือสองวัน”
“ข้าก็สงสารเจ้า แต่ว่า…”
ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อ
“แล้วผู้ใดสั่งสอนให้เจ้ามีนางสนมถึงเจ็ดสิบคนในวังทั้งสามกัน?”
“มันสายเกินไปแล้ว หากจะบอกว่าไม่อาจต้านทานได้ไหว”
ไป๋ลี่เกาศีรษะอย่างจนปัญญา
“จากนั้น ข้าได้ยินจากเจิ้นเทียนว่าโลกมีการสร้างการเมืองใหม่แบบหลอมรวมเป็นหนึ่งขึ้นหลังจากผ่านมาหลายหมื่นปี ดังนั้นข้าจึงใช้ข้ออ้างนี้เพื่อจะลงมารับชมโลกเบื้องล่างสักหน่อย อย่างไรแล้วที่นี่ก็คือบ้านเกิดของข้า”
เขาเบือนหน้ามองเจวี่ยอวิ๋นจื่อและคนอื่น ๆ บนเวทีด้วยแววตาฉายความสับสนเล็กน้อย
“เมื่อวันที่ข้าได้สวมมงกุฎบนพื้นดิน มันก็เป็นฉากเช่นนี้”
ไป๋ชิวหรานรับชมพิธีไปพร้อมกับพวกเขา จากนั้นจึงเรียกไป๋ลี่ เซียนหงเฉิน หลีจิ่นเหยา ซูเซียงเสวี่ย และถังรั่วเวย เพื่อเตรียมรับประทานอาหารเย็นภายในเมืองอวิ๋นโจว
เพราะนี่คือเมืองหลวงจึงมีอาหารรสเลิศ และร้านอาหารมากมายให้เลือกสรร
พวกเขาสุ่มเลือกร้านอาหารริมคลองในเมืองหลวง ก่อนจะนั่งที่ชั้นบนสุดริมหน้าต่าง
“ยอดเยี่ยม”
ขณะที่จานถูกนำมาจัดวางทีละจาน ไป๋ชิวหรานก็กล่าวถามไป๋ลี่
“ข้าเพิ่งสร้างพลังเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับห้วงเวลา เจ้าอยากจะเรียนรู้หรือไม่?”
“ห้วงเวลา?”
ไป๋ลี่ตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความยินดี
“แน่นอน ท่านอาจารย์โปรดสั่งสอนข้า”
พลังเหนือธรรมชาติของห้วงเวลานั้นเทียบเท่ากับการบุกทะลวงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของพลังธรรมชาติก่อนหน้านี้ ขอบเขตของห้วงเวลาล้วนแต่เป็นพื้นที่ต้องห้ามของแดนเซียนเสมอมา
แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้ แต่ก็มีเซียนมากมายในแดนเซียนทั้งห้าทิศที่พยายาม อีกทั้งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้ทักษะนี้ได้
ยิ่งกว่านั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะเรียนรู้พลังเหนือธรรมชาติเรื่องห้วงเวลา ดังนั้นไป๋ลี่จึงมีข้ออ้างที่จะได้อยู่บนโลกในช่วงเวลาหนึ่งโดยไม่ต้องกลับสู่แดนเซียนในทันที… เพียงเท่านี้เขาก็มีเหตุผลที่หนักแน่นมากพอแล้ว
เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในแดนเซียน เขาจึงต้องเรียนรู้พลังเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับห้วงเวลาจากอาจารย์ และไม่ได้คิดที่จะละเลยภรรยาตนเองเสียหน่อย!
ในขณะที่ไป๋ลี่กำลังฝันหวาน กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เช่นนั้นกินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปพร้อมกับข้า”
เป็นไป๋ชิวหรานนั่นเองที่กล่าวกับเขา…
…
ไป๋ลี่อาศัยอยู่ในสำนักเหอฮวนประมาณหนึ่งเดือน และไป๋ชิวหรานได้สั่งสอนพลังเหนือธรรมชาติเรื่องห้วงเวลาที่สรุปได้ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา
แน่นอนว่ามันยากเย็นมากสำหรับพลังดังกล่าว ทว่าในเวลาหนึ่งเดือน ด้วยพรสวรรค์ของไป๋ลี่ มันก็เพียงพอแล้วที่เขาจะสามารถจับพื้นฐานของเรื่องนี้ได้
จักรพรรดิเซียนองค์แรกต้องการใช้เวลากับอาจารย์ของเขาอีกสักสองหรือสามปี หลังจากสัมผัสได้ถึงขั้นพื้นฐานของพลังนี้ เขารู้สึกว่านี่คือสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง ทว่าตอนนี้ต้องกลับสู่แดนเซียนเสียแล้ว เพราะจักรพรรดินีและเหล่านางสนมไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไป
เล่อเจิ้นเทียนส่งเซียนลงมาเพื่อบอกกล่าว โดยบอกว่าจักรพรรดินีและนางสนมทั้งหมดกล่าวว่า หากท่านอาจารย์ไม่กลับสู่แดนเซียน พวกเขาจะก่อตั้งกลุ่มเพื่อประท้วงการกระทำนี้
ไป๋ลี่ไม่ต้องการให้จักรพรรดินีและนางสนมสร้างความวุ่นวายให้กับสำนักเหอฮวน มิเช่นนั้นเหตุการณ์ย่อมรุนแรงขึ้นแน่นอน สุดท้ายแล้วเขาทำได้เพียงขอให้ไป๋ชิวหรานบันทึกการฝึกฝนนี้ลงในคัมภีร์เพื่อนำมันกลับสู่แดนเซียน จากนั้นจึงจะเริ่มฝึกฝนมันด้วยตนเองอย่างช้า ๆ
ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยความช่วยเหลือของจื้อเซียน ไป๋ชิวหรานได้สร้างพลังเหนือธรรมชาติขึ้นมาสามอย่างจากห้วงเวลาศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เพียงสอนสั่งไป๋ชิวหรานเรื่องการหยุดและเร่งเวลาเท่านั้น
เพราะพลังที่สามคือการย้อนเวลา ซึ่งมันยังอยู่ในสถานะทดลองเท่านั้น ไม่อาจใช้งานได้จริง
จากการคาดเดาของไป๋ชิวหราน เมื่อการกระทำนี้สมบูรณ์แบบแล้ว ก็สมควรที่จะเปิดอุโมงค์อวกาศและเดินทางสู่แม่น้ำแห่งกาลเวลาได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ทักษะนี้ควรจะสมบูรณ์แบบเสียก่อน เช่นนั้นเขาจึงยังไม่สั่งสอนมันให้กับไป๋ลี่
ช่วงที่อยู่ในสำนักเหอฮวน ไป๋ชิวหรานขอให้ไป๋ลี่ตรวจสอบสถานการณ์ของโลกที่ถูกบุกรุกจากเขตแดนจิตสำนึก โลกใบนี้ยังไม่มีอสูรเกิดขึ้น หลังจากตรวจสอบมันแล้ว ไป๋ลี่คาดเดาว่าสถานที่แห่งนั้นยังคงไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดหรือแข็งแกร่งเพียงพอที่จะให้กำเนิดอาจารย์อสูรได้
ทว่าหลังจากไป๋ลี่จากไปไม่นานนัก เซียนหงเฉินก็มาพบเขาที่ประตู
“ท่านอาจารย์”
และประโยคแรกที่เขากล่าวขึ้นคือ…
“ภายในเขตแดนจิตสำนึกของโลกใบนั้น… อสูรแห่งจิตสำนึกได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”
…