ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 337 อาจารย์อสูรถือกำเนิด
บทที่ 337 อาจารย์อสูรถือกำเนิด
บทที่ 337 อาจารย์อสูรถือกำเนิด
ในรอยร้าวที่เพิ่งเกิดขึ้น สิ่งที่ถูกเปิดเผยออกนั้นหาใช่ควันสีชมพูอีกต่อไป แต่เป็นลำแสงสีทองพิสุทธิ์เปล่งประกายระยิบระยับน่าตื่นตา!
แม้พลังเซียนของไป๋ลี่จะเป็นสีทองเช่นกัน แต่ลักษณะของมันกลับแตกต่าง ลำแสงสีทองของจักรพรรดิเซียนองค์แรกทำให้ผู้คนทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์และเต็มไปด้วยความสง่างาม แต่ลำแสงสีทองที่ถือกำเนิดใหม่นี้กลับดูหรูหราฟุ่มเฟือยยิ่งนัก
ลำแสงสีทองเปล่งประกายในทุกทิศทาง อีกทั้งขณะนี้อสูรระดับต่ำก็เคลื่อนที่เข้าหาลำแสงนั้น ร่างกายของพวกมันเริ่มปรับเปลี่ยนและกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว…
คราวนี้พวกมันไม่ใช่บุรุษที่หล่อเหลาหรือสตรีที่งดงาม แต่กลับกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์ที่มีรูปร่างน่าเกลียด!
อสูรในร่างมนุษย์เหล่านี้มีใบหน้าละโมบ หื่นกระหาย ใบหูแหลมยาวดูชั่วร้าย ร่างกายส่วนบนผอมแห้งจนมองเห็นซี่โครงได้ชัดเจน ทว่าช่วงท้องของมันกลับเป่งออกราวกับมีลมอยู่ด้านใน
อสูรเหล่านี้มีถุงผ้าสีทองอยู่บนหลัง ภายในถุงผ้าเต็มไปด้วยเครื่องประดับเงินทองมากมาย หลังจากเปลี่ยนร่างเสร็จสิ้นแล้ว แววตาของพวกมันเริ่มจับจ้องถุงผ้าสีทองที่อยู่บนหลังของอสูรตัวอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
ทันใดนั้นแววตาก็เปล่งประกายด้วยความโลภ พวกมันเริ่มกรีดร้องและต่อสู้เพื่อฉกชิงสมบัติของอีกฝ่าย
อสูรเหล่านี้ดูเหมือนจะอ่อนแอไม่อาจต่อสู้ แต่เมื่อพวกมันเริ่มต่อสู้ ความแข็งแกร่งกลับยิ่งกว่ากองกำลังต่อสู้ที่มีพลังมากที่สุดในโลก มันแข็งแกร่งยิ่งกว่านักรบที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณเสียอีก และในโลกนี้อาจมีนักรบที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณสูงสุดเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับพวกมันได้!
เสียงลมกรีดร้องหวีดหวิวทุกครั้งที่พวกมันขยับท่วงท่าเพื่อต่อสู้ ในไม่ช้าจุดนองเลือดก็มาถึง… พื้นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยตอไม้และเศษซากร่างกายที่ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ครั้นสังหารอีกฝ่ายจนเสร็จสิ้นก็ไม่คิดชายตามองซากศพอีกต่อไป พวกมันเพียงหยิบถุงผ้าสีทองเหล่านั้นขึ้นมาและเริ่มย้ายสมบัติเข้าสู่ถุงผ้าของตนเอง…
น่าอัศจรรย์ที่ถุงผ้าอันเต็มไปด้วยเงินทองมากมายดูคล้ายจะยังไม่ถูกเติมเต็ม แม้ว่ามันจะเทสมบัติของอสูรตนอื่น ๆ ลงไปในถุงผ้าของตนเองแล้ว ทว่าถุงผ้าเหล่านั้นก็ยังคงสภาพเดิม
อย่างไรก็ตาม อสูรที่เข้าปล้นชิงสมบัติของอสูรตนอื่นก็ได้วิวัฒนาการตนเองอีกครั้ง รวมทั้งยังปลุกความสามารถบางอย่างขึ้นมาด้ววย เช่น สามารถยิงลำแสงสีทองเพื่อโจมตีวัตถุในอากาศได้ แปลงกายเป็นสิ่งอื่น ๆ ได้ และรูปร่างของมันยังมีขนาดใหญ่ขึ้น
ส่วนซากศพอสูรที่ตายเกลื่อนบนพื้นก็กลับกลายเป็นจิตสำนึกศักดิ์สิทธิ์ และสุดท้ายมันก็ถูกไข่ยักษ์สีชมพูดูดซับไปจนหมดสิ้น
ในไม่ช้า อสูรที่ถือถุงผ้าสีทองได้ต่อสู้กันเองจนเหลือเพียงอสูรตัวสุดท้าย และอสูรตนนี้วิวัฒนาการตนเองจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
ร่างกายของมันไม่ผอมแห้งหรือดูพิกลพิการอีกต่อไป ทว่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม ใบหน้าทวีความน่าเกลียด ความสูงเกือบสองจั้ง มีเขางอกออกจากศีรษะห้าอัน มีดวงตาที่สามปรากฏบนใบหน้า มีแขนงอกเพิ่มเป็นแปดท่อน ทั้งยังมีลวดลายสีทองปรากฏบนกล้ามเนื้อแขน หน้าอก และท้อง
อย่างไรก็ตาม ความโลภในดวงตากลับไม่แปรเปลี่ยน ทว่ามันยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ฝ่ามือข้างหนึ่งของมันกระชับถุงผ้าสีทองไว้แน่น มันคือถุงผ้าสีทองที่เหล่าอสูรทั้งหมดเคยครอบครอง และนี่คือสิ่งของที่มันสามารถแย่งชิงมาได้!
ไข่ยักษ์สีชมพูไม่คิดทำอะไรกับมัน และจิตสำนึกของอสูรที่วิวัฒนาการไปถึงขั้นสุดยอดนี้ก็ได้เดินเข้ามาหยุดที่ด้านซ้ายของไข่ยักษ์ ก่อนจะคุกเข่าลงราวกับต้องการปกป้อง
ในช่วงเวลานี้ ไป๋ชิวหรานกับเซียนหงเฉินเริ่มบันทึกสถานการณ์ทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับไข่ยักษ์สีชมพูหรือกลุ่มอสูรผู้บ้าคลั่ง เมื่อเห็นสถานการณ์ประหลาดตรงหน้า หลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวยละทิ้งความอับอายและเริ่มหยิบเครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยบันทึกการเปลี่ยนแปลงพลังงานของไข่ยักษ์สีชมพูนี้เช่นกัน
ไม่นานหลังจากนั้น ‘งานเลี้ยง’ บนโลกก็เข้าสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง หลังจากสนุกสนานกันมาพอสมควรแล้ว ทั้งบรรดาขุนนาง จักรพรรดิ และนางสนมต่างรู้สึกว่ากระเพาะของพวกเขาว่างเปล่า จักรพรรดิจึงยกมือขึ้นเพื่อเรียกขันทีให้บอกครัววังเริ่มนำอาหารมาวางบนโต๊ะ
ในไม่ช้า อาหารโอชะอันตระการตาจึงถูกจัดวางขึ้นโต๊ะโดยพ่อครัวของจักรพรรดิ และขันทีก็นำอาหารทั้งหมดวางลงบนโต๊ะยาวเหยียดของพระราชวังอย่างคล่องแคล่ว
ท้ายโต๊ะมีหอยเป๋าฮื้อพร้อมปลิงทะเล อุ้งเท้าหมี และองคชาตเสือ ด้านหัวโต๊ะมีโสมป่า ส่วนอีกฝั่งเป็นเห็ด และอีกด้านคือสุราชั้นเลิศ
แต่ละจานเป็นอาหารรสเลิศที่คนทั่วไปไม่อาจเพลิดเพลินกับมันได้ แต่ในตอนนี้ทั้งหมดถูกจัดวางไว้บนโต๊ะยาว และทุกคนสามารถเลือกหยิบได้ตามใจชอบ
จักรพรรดิกับบรรดาข้าราชบริพารทั้งหมดเริ่มกินและดื่มอย่างสำราญ เหล่าสตรีงดงามที่ติดตามก็มีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารด้วยเช่นกัน
ทางด้านขอบเขตจิตสำนึกในเวลานี้ รอยร้าวที่สามก็เริ่มปรากฏขึ้นด้านบนของไข่ยักษ์สีชมพู ไอน้ำสีขาวไหลออกจากรอยแตกนั้นราวกับซาลาเปานึ่งที่เพิ่งออกจากเตา มันคือไอน้ำเช่นเดียวกับยามเราเปิดฝาหม้อที่กำลังเดือดพล่าน
ไอน้ำนี้ลอยโชยออกไป อสูรระดับต่ำตัวอื่น ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ยกเว้นอสูรที่เคยวิวัฒนาการไปแล้วก่อนหน้า คราวนี้พวกมันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่ง ในปากมีเขี้ยวขนาดใหญ่และร่างกายอวบอิ่มเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทรงพลัง
ปากของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ขยายใหญ่ตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงกลางอก มันใหญ่โตมโหฬารยิ่ง ผิวหนังถูกเคลือบด้วยบางสิ่งที่คล้ายกับเนื้อย่างส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ
ทันทีที่พวกมันปรากฏกายขึ้น อสูรเหล่านี้ก็เริ่มฆ่าแกงกันเองและกัดกินผู้พ่ายแพ้ ท้องของพวกมันราวกับหลุมลึกที่ไม่ว่าจะกินเท่าใดก็ไม่เพียงพอ…
เช่นเดียวกับอสูรเงินและทองก่อนหน้านี้ อสูรเนื้อย่างเหล่านี้กลืนกินกันและกันอย่างรวดเร็ว อสูรตัวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่นั้นสูงใหญ่เกือบสามจั้ง ร่างกายปกคลุมด้วยเกราะกระดูกหนาม และบริเวณหน้าท้องนูนป่องออกมาเล็กน้อย
มันเดินไปหยุดอยู่ด้านขวาของไข่ยักษ์สีชมพู จากนั้นคุกเข่าลงอย่างคิดปกป้องไข่ยักษ์ร่วมกับอสูรเงินและทองก่อนหน้านี้
รอยแตกบนไข่ยักษ์เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แสงสีชมพูด้านในพวยพุ่งขจายออกมา และการสั่นไหวของมันก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้น!
เขตแดนของจิตสำนึกกับโลกล้วนส่งผลต่อกันและกัน เมื่อสิ่งมีชีวิตในไข่ยักษ์ยิ่งกระตือรือร้นที่จะออกมา ‘งานเลี้ยง’ ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ โลกก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
กระทั่งในที่สุด จักรพรรดิก็ยังคงไม่พึงพอใจกับอาหารโอชะที่เคยได้รับประทาน เขาเรียกขันทีเข้ามาแล้วสั่งบางอย่าง
ขันทีออกไปตามคำสั่ง จากนั้นพ่อครัวก็เดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องครัวทั้งหมด ตามด้วยรถขนนักโทษในเรือนจำ ภายในกรงมีสาวพรหมจารีเปลือยเปล่า และทั้งหมดถูกชำระล้างเสร็จสิ้นแล้ว…
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานก็ถึงกับตื่นตระหนกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นงานเลี้ยงที่ถูกจัดโดยจักรพรรดิเซียนตะวันออกไท่อีเมื่อครั้งที่เขากับเจียงหลานแต่งงานกันในยุคทวยเทพ
ตอนนั้นมันคือสถานการณ์เดียวกัน เพียงแค่ไม่ใช่สาวพรหมจารีที่อยู่ในกรง แต่กลับเป็นมังกรและนกเฟิงหวงระดับสูง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…”
ถังรั่วเวยคร่ำครวญพร้อมยกมือปิดบังใบหน้า
“ไอ้พวกเดรัจฉาน”
แม้แต่แม่นางน้อยยังจับจ้องฉากตรงหน้า นางกระชับกระบี่ในมือไว้แน่น ขณะกลิ่นอายอสูรปรากฏขึ้นด้านหลัง กงล้อเริ่มควบแน่นเปล่งประกาย พลังงานล้นเหลือจนแทบจะทะลักออกจากร่างกายของนาง
เซียนหงเฉินขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันมองไป๋ชิวหรานด้วยความสับสน
“ท่านอาจารย์”
“แม้ว่าข้าจะได้สัมผัสกับความรู้และการต่อสู้มามากมาย แต่คราวนี้อดไม่ได้ที่จะเศร้าสลด จิตใจของมนุษย์นั้นน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าอสูรร้ายและปีศาจ พวกเขาชั่วร้ายเกินกว่าจะจินตนาการ”
ชายหนุ่มทอดถอนใจเสียงต่ำ
“แม้ข้าจะไม่ต้องการทำลายกระบวนการถือกำเนิดของอาจารย์ปีศาจ แต่ว่า… พวกมันจะต้องได้รับการลงโทษจากสวรรค์”
เขายกมือขึ้นอย่างคิดที่จะจัดการกับผู้คนที่อยู่ใน ‘งานเลี้ยง’ ให้สิ้น
ทว่าขณะนี้ไข่ยักษ์สีชมพูภายในเขตแดนจิตสำนึกกลับมีบางสิ่งเปล่งประกายออกจากรอยแยก
การปรากฏขึ้นของกลิ่นอายนี้ ส่งผลให้เขตแดนจิตสำนึกทั้งหมดสั่นไหวและมีรอยร้าวมากขึ้น กระทั่งเปลือกไข่แตกออก อสูรที่ถูกหล่อเลี้ยงไว้ภายในก็ปรากฏกายออกมา…