ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 339 เพราะโดดเดี่ยวมานาน จึงมองว่าอสูรตนนั้นทรงเสน่ห์
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 339 เพราะโดดเดี่ยวมานาน จึงมองว่าอสูรตนนั้นทรงเสน่ห์
บทที่ 339 เพราะโดดเดี่ยวมานาน จึงมองว่าอสูรตนนั้นทรงเสน่ห์
บทที่ 339 เพราะโดดเดี่ยวมานาน จึงมองว่าอสูรตนนั้นทรงเสน่ห์
เมื่อบุปผางามบานออก ใจกลางของมันปรากฏอสูรจิตสำนึกร่างสูงตระหง่าน รูปร่างน่าสยดสยอง
ศีรษะเสมือนอสูรกายผู้เกรี้ยวกราด เขาโค้งงอขนาดใหญ่คู่หนึ่ง ร่างกายถูกห่อหุ้มไว้โดยเกราะสีดำขลับ ดูแล้วคล้ายเหล็กนิล บริเวณขอบของชุดเกราะเปล่งประกายสีแดงชาดและมีเปลวไฟลุกโชนบนร่างกายตลอดเวลา
ในมือมีขวานยักษ์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ ทั้งยังมีคราบโลหิตที่เกาะแน่นจนกลายเป็นสนิมอยู่บนใบมีด
ขณะที่มันถือกำเนิดขึ้นมา จิตสำนึกทั้งหมดพลันสั่นไหว ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ มั่นใจว่าอสูรทรงเสน่ห์ตัวก่อนหน้าซึ่งกำลังพยายามที่จะชุบชีวิตตนเองขึ้นมาก็รับรู้ได้ถึงการสั่นสะเทือนนี้เช่นกัน
ภายในโลกยามนี้ สงครามได้ยุติลง บนผืนทรายสีเหลืองเหล่านั้นไม่มีใครทราบได้ว่ามีทหารกี่คนถูกฝังเอาไว้ วิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ใต้สนามรบกำลังร้องโหยหวน พวกเขาเร่ร่อนอยู่ทั่วทุกพื้นที่ และนี่คืออาหารอันโอชะสำหรับเหล่าอาจารย์อสูร!
รวดเร็ว รวดเร็วยิ่ง!
ทันทีที่อสูรตนนั้นเหยียบพื้นดิน มันแทบจะรอไม่ไหวที่จะพุ่งทะยานออกจากเขตแดนจิตสำนึก ร่างใหญ่โตพุ่งเข้าหาโลกพร้อมกับขวานยักษ์ในมือ
ไป๋ชิวหรานมองการเคลื่อนไหวที่ป่าเถื่อนของอสูรตนนี้ เมื่อคิดได้เพียงชั่วครู่ เขาก็เหยียดมือทะลวงเข้าไปภายในโลกทันที
ฝ่ามือยักษ์ของเขากระแทกเข้ากับเขตแดนจิตสำนึกของโลกตรงหน้า ก่อนจะคว้าเอาวิญญาณทั้งหมดในสนามรบออกมา
จากนั้นจึงปิดกั้นเส้นทางระหว่างโลกกับเขตแดนจิตสำนึก เพื่อกักขังอสูรร้ายทั้งสี่ตัวไว้ในเขตแดนจิตสำนึก
อาจารย์อสูรที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน มันโกรธแค้นแต่ไม่อาจต่อต้านไป๋ชิวหรานได้ ท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งของมันกับไป๋ชิวหรานยังคงห่างชั้นกันมาก ไป๋ชิวหรานมีพลังปราณแก่นแท้เพียงสี่ในสิบส่วนและเป็นผู้ฝึกตนขั้นรากฐานเสมือน ส่วนอสูรร้ายตนนั้นเกิดจากความปรารถนาอันต่ำตมที่สุดของมนุษย์ ซึ่งอยู่ในขั้นการกลั่นลมปราณและอยู่ในขั้นการหลอมรวมร่างกายเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวหรานดึงฝ่ามือกลับมาแล้วผนึกวิญญาณทั้งหมดไว้ในสถานที่แห่งนั้น ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลีจิ่นเหยาก็เอ่ยปากขึ้น
“ท่านบรรพชนกระบี่ ท่านมีความคิดเช่นไรหรือ?”
“อ่า”
ไป๋ชิวหรานมองดูอสูรร้ายที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่
“ข้าอยากทราบว่าหากอาจารย์อสูรสองตนต่อสู้กันจะส่งผลกระทบอย่างไร”
แม้ไป๋ชิวหรานจะตัดโอกาสในการพัฒนาคลื่นลูกแรกไปแล้ว แต่ด้วยสภาพปัจจุบันของเขตแดนจิตสำนึก อสูรที่เกิดใหม่ย่อมมีความได้เปรียบมากกว่า
ประการแรก มันเพิ่งถือกำเนิดขึ้น อีกทั้งยังเป็นช่วงการเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทว่าคู่ต่อสู้ของมันยังคงหลับใหลอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อนับวันเวลาที่จะฟื้นคืนชีพ และประการที่สอง โลกใบนี้อยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไร้ความบันเทิง หรือความรื่นเริงใด ๆ ให้เสพสม
แม้ใครบางคนจะรวมโลกใบนั้นให้กลายเป็นหนึ่งเดียวเพื่อยุติปัญหา แต่ทั้งหมดก็ล้วนส่งผลดีต่อมันเช่นเดิม
โดยปกติแล้วหากราชวงศ์ใหม่ต้องการที่จะดำรงตำแหน่งอย่างยาวนาน จึงต้องเริ่มต้นจากการสร้างความชัดเจนของแนวคิด และยังต้องกวาดล้างบ้านเมืองให้สะอาดเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งสงครามยุติ โลกทั้งหมดพังทลายลง แม้ทหารหรือพลเรือนจะโลภมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีสถานที่ใดให้พวกเขากลืนกินได้
ซึ่งหมายความว่าไร้ซึ่งสงคราม… แต่อีกด้านหนึ่ง อสูรทรงเสน่ห์ก็ไม่ได้รับความปรารถนาแห่งความเสพสุขด้วยเช่นกัน
ในทางกลับกัน หากราชวงศ์นี้ที่เพิ่งเริ่มต้นกระทำความเสื่อมเสีย นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับมันด้วย
เนื่องจากโดยปกติแล้ว ราชวงศ์มักจะปกครองได้ไม่นานนัก สิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้นมากที่สุดคือความตาย และสุดท้ายสถานการณ์ก็จะเข้าสู่ช่วงสงครามอีกครั้ง
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร อสูรที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ก็เหนือชั้นยิ่งกว่า และมีความมั่นคงกว่าอสูรที่กำเนิดขึ้นก่อนหน้านี้
หากไม่มีสิ่งใดผิดคาด สุดท้ายอาจารย์อสูรที่ถือกำเนิดใหม่ย่อมมีชัยเหนือกว่า
และทั้งหมดคือสิ่งที่ไป๋ชิวหรานต้องการรับชม มันคงดีหากอาจารย์อสูรทั้งสองร่วมมือกันในตอนท้าย แต่หากต่อสู้กันเอง ไป๋ชิวหรานก็ไม่อยากรับชมตอนจบมากนัก…
สิ่งที่เขาต้องการเห็นคืออสูรตนหนึ่งสามารถร่วมมือกับอสูรอีกตนได้หรือไม่… ไม่ใช่อยากรับชมการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นระหว่างพวกมันทั้งสอง!
หลังจากกระทำทุกสิ่งเสร็จสิ้นแล้ว ไป๋ชิวหรานเร่งกระแสของเวลาอีกครั้ง ในไม่ช้าช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายก็จบลง อสูรทรงเสน่ห์คืนชีพขึ้นหลังจากผ่านพ้นความวุ่นวาย ประเทศกลับมาหลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครั้งเพื่อยุติสงครามทั้งหมด
จักรพรรดิองค์ใหม่ถูกสถาปนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และนั่งลงบนบัลลังก์ที่กลายเป็นซากปรักหักพังภายในเมืองหลวงเดิม
แต่ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย กระแสน้ำลึกที่ซุกซ่อนไว้ยังคงอยู่ มันนอนแน่อยู่ภายใต้พื้นผิวที่สงบนิ่ง
อสูรที่ถือกำเนิดขึ้นจากความทุกข์ยาก ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ตั้งชื่อให้ว่า ‘อาจารย์อสูรโลหิตแห่งความเกรี้ยวกราด’ แม้ในโลกที่วุ่นวายนี้ มันยังไม่ได้กลืนกินดวงวิญญาณแม้แต่ดวงเดียว ทว่าก่อนหน้ามันก็ดูดซับความขุ่นเคืองไว้มากมายนัก
ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่กันที่จิตสำนึกอสูรตนนี้สามารถสื่อสารกับความปรารถนาของมนุษย์ได้ ราวกับว่าทุกสิ่งถูกกระทำโดยสัญชาตญาณตั้งแต่กำเนิด มันบุกเข้าไปในโลกที่วุ่นวายและฉกฉวยเอาความฝันของคนที่ไม่สามารถมีชีวิตรอด เช่นนี้ความแข็งแกร่งจึงเพิ่มพูนไม่รู้จบ จากนั้นมันก็ยังถ่ายทอดพลังของตนเองและเสริมกำลังให้เหล่าสมุนที่อยู่ด้านหลังได้อีกด้วย!
แม้สำนักที่มันก่อตั้งขึ้นจะถูกจักรพรรดิองค์ปัจจุบันกำจัดในช่วงสงคราม แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีเศษซากความปรารถนาหลงเหลืออยู่ มันซุกซ่อนอยู่ในแม่น้ำหรือทะเลสาบอย่างเงียบ ๆ และกำลังจัดเตรียมกองทัพเพื่อรองรับสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา
เวลานี้ อาจารย์อสูรโลหิตแห่งความเกรี้ยวกราดเริ่มขยายอาณาเขตของตนเองในเขตแดนจิตสำนึก ในที่สุดมันก็ได้พบกับอสูรทรงเสน่ห์แห่งความเสพสุขก่อนหน้า
ทันทีที่ทราบว่าเขตแดนจิตสำนึกแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ของมัน มันจึงปรากฏตัวขึ้นเพื่อออกค้นหาว่าภายในเขตแดนจิตสำนึกนี้ยังมีผู้อื่นอีกหรือไม่ และสุดท้ายมันจึงรับรู้การมีอยู่ของอีกฝ่าย
ละครที่ไป๋ชิวหรานรอคอยมากที่สุดดำเนินมาถึงแล้ว เขารอคอยที่อสูรทั้งสองจะได้เผชิญหน้ากัน อสูรที่เกิดจากความรุ่งเรืองและอสูรที่เกิดขึ้นจากความเกลียดชัง
เห็นได้ชัดว่าอสูรทั้งสองไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ มันทั้งสองมีความคิดที่แตกแยก ดังนั้น เมื่อทั้งสองได้พบหน้ากัน จึงไม่มีแม้แต่การสื่อสารใด ๆ ทั้งสิ้น ทว่ากลับพุ่งเข้าหากันเพื่อสร้างสงครามในทันที
แต่ผลลัพธ์นั้นชัดเจนยิ่ง อสูรร่างใหญ่ที่ถือกำเนิดจากช่วงเวลาที่ยากลำบากกว่าสิบปีได้พบกับผู้ป่วยปางตายที่เพิ่งฟื้นคืนชีพ นอกจากนี้ อสูรรับใช้ของมันยังด้อยกว่าอาจารย์อสูรโลหิตแห่งความเกลียดชัง
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว อาจารย์อสูรแห่งความเสพสุขและอสูรรับใช้ของมันถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากอสูรผู้เป็นน้องชาย!
ทว่าฉากต่อไปกลับทำให้ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ถึงกับเบิกตากว้าง
เพราะหลังจากที่ฉีกร่างของศัตรูจนกลายเป็นเศษเนื้อแล้ว อาจารย์อสูรโลหิตแห่งความเกลียดชังก็ทรุดตัวลงกับพื้น ก่อนจะคว้าศพของอีกฝ่ายและเริ่มกินอย่างตะกละ…
อสูรรับใช้ที่อยู่ด้านข้างต้องการเศษเนื้อเหล่านี้เช่นกัน แต่พวกมันกลับถูกตบจนกระเด็นออกไป
อาจารย์อสูรแห่งความเกลียดชังตัวนี้กลืนกินทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าซากศพของศัตรูก็หมดสิ้น จากนั้นมันก็ได้นั่งรอราวกับเฝ้ารอคอยบางสิ่ง
ขณะนั้นเอง มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นกับร่างกายของอาจารย์อสูรโลหิตแห่งความเกลียดชัง
“ท่านบรรพชน… นั่นคือภาพลวงตาหรือไม่?”
หลีจิ่นเหยาเอ่ยขึ้น
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าอาจารย์อสูรโลหิตแห่งความเกลียดชังตนนี้ช่างหล่อเหลานัก?”
“ข้าก็รู้สึกเช่นกัน”
ถังรั่วเวยกล่าวเสริม
“รู้สึกว่ามันมีบางสิ่งที่ดึงดูดอย่างทรงเสน่ห์และไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้”
“นั่นไม่ใช่ภาพลวงตา ข้ายังรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ขึ้นด้วยเช่นกัน”
เซียนหงเฉินกล่าว
“คงจะอยู่โดดเดี่ยวมาเนิ่นนานกระมัง จึงได้รู้สึกโหยหาเมื่อเห็นอสูรรูปงาม!”
ไป๋ชิวหรานดุกล่าวพวกเขา จากนั้นจึงหันกลับไปมองอสูรตรงหน้าก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“เอาล่ะ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ภาพหลอนของพวกเจ้า อสูรโลหิตแห่งความเกรี้ยวกราดดูเหมือนว่าจะเปลี่ยน ‘วิถี’ ที่เป็นความเสพสุขมาเป็นของตนเอง และดูเหมือนว่าอสูรแห่งความเสพสุขจะไม่มีวันฟื้นคืนขึ้นมาได้อีกแล้ว!”