ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 347 เคล็ดวิชาแยกจิต
บทที่ 347 เคล็ดวิชาแยกจิต
บทที่ 347 เคล็ดวิชาแยกจิต
เคล็ดวิชาแยกจิตนั้นยากยิ่ง มันซับซ้อนและยากยิ่งกว่าการแยกวิญญาณหลายสิบเท่า
ไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนยิ่งรู้สึกสับสน แม้จะมีต้นแบบทักษะการแยกวิญญาณอยู่ในมือ แต่ทั้งสองกลับรู้สึกว่าไม่อาจหาจุดเริ่มต้นของมันได้
ความคิดเป็นสิ่งลึกลับ มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ยิ่งเมื่อใช้ความคิดเพื่อครอบครองร่างอื่น เวลานั้นผู้ใช้งานจะต้องสัมผัสความคิดของตนเองได้อย่างแท้จริงและต้องมั่นคง
ขณะไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนพยายามที่จะวิเคราะห์มัน ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ… ในช่วงหลายแสนปีที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นสิ่งที่อัจฉริยะอย่างแท้จริง
เหล่าเซียนสร้างร่างกายจากการควบแน่นพลังจิตวิญญาณ เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้แล้ว มันจึงเพียงพอที่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
โชคดีที่หลังจากลองผิดลองถูกมานานหลายปี จื้อเซียนและไป๋ชิวหรานต่างคิดค้นหาวิธีซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากสรุปและพยายามปรับแต่งมัน ไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนพยายามจัดระเบียบขั้นตอน ลดความซับซ้อนและทำให้มันง่ายต่อการฝึกฝน ทว่ามันก็ยังยากเย็นที่จะเรียนรู้ทักษะเคล็ดวิชาแยกจิตอยู่ดี บุคคลที่จะเรียนรู้ทักษะนี้ได้ควรถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะ
ทว่าในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในเคล็ดวิชาแยกจิต!
เขาตั้งใจจะเก็บสำเนาของแบบฝึกฝนนี้เอาไว้ในหอตำรายมโลก และในขณะเดียวกันก็คิดที่จะส่งมันไปยังแดนเซียนกลางเช่นกัน
นอกจากนี้ เขาไม่ต้องกังวลว่าผู้ที่เรียนรู้ทักษะนี้จะทำลายหรือคุกคามการแบ่งแยกจิตใจของอากุ้ย เพราะทักษะนี้ถูกเขาดัดแปลงหมดสิ้นแล้วโดยอาศัยทักษะเคล็ดวิชาแยกจิตและจิตวิญญาณ มันถูกเปลี่ยนแปลงจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
แม้จะสามารถแบ่งแยกจิตใจได้ แต่เหล่าเซียนธรรมดาที่สามารถเรียนรู้ทักษะนี้ไม่อาจแบ่งแยกความคิดได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่การใช้เวทนี้จะสามารถกระทำโดยง่าย
พลังเวทของเขาถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้ผู้คนสามารถควบคุมร่างกายตนเอง รวมไปถึงร่างกายของอสูรได้ในเวลาเดียวกัน
นอกจากนั้น พลังเวทเกี่ยวกับจิตวิญญาณและความคิดนั้นยากยิ่งกว่าเวทแห่งห้วงเวลาอยู่มาก แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะสามารถเรียนรู้ได้
หากไม่ทราบมาก่อน ไป๋ชิวหรานคงไม่รู้ว่าพลังนี้เกี่ยวข้องกับเวททั้งสองนั้นเช่นกัน หากไม่มีผู้ใดคิดเรื่องนี้ขึ้นมาจริง ๆ ชายหนุ่มกับจื้อเซียนทำได้เพียงโน้มน้าวให้ผู้ฝึกตนคนนั้นเรียกขานเขาว่า ‘ขั้นเทพ’ เท่านั้น…
…
หลังจากออกสำรวจและพยายามสรรสร้างความสมบูรณ์แบบอยู่นานหลายปี นับตั้งแต่วันนั้นไป๋ชิวหรานได้หลบหนีมานานกว่าสิบปีแล้ว
และเรื่องนี้ไม่ใช่นัยยะสำคัญใดสำหรับผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนจู๋เฟิงใช้เวลากว่าหลายร้อยปีเพื่อฝ่าฟันช่วงสภาวะตีบตัน เขาอยู่ในความสันโดษอย่างยาวนานจนเป็นเรื่องปกติ
หลังจากทราบข่าวว่าไป๋ชิวหรานออกจากการฝึกฝนแล้ว เจียงหลานจึงมุ่งตรงไปที่พระราชวังจักรพรรดิภูตผีในฐานะจักรพรรดินีพร้อมกับหลีจิ่นเหยาและถังรั่วเวย
ไป๋ชิวหรานออกมาแล้ว และตอนนี้อยู่ในลานของวังจักรพรรดิภูตผี หนึ่งในสามผู้ทรงเกียรติของยมโลกส่งร่างจำแลงมาเพื่อรับชมการฝึกฝนของไป๋ชิวหราน
เมื่อเจียงหลานและคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่ ชายหนุ่มก็กำลังทดลองกับหุ่นเชิดอยู่ ลักษณะโดยรวมของหุ่นนั้นดูหยาบกร้าน มันไม่มีแม้แต่ใบหน้าที่ได้รับการแกะสลัก แต่ถูกพัฒนาข้อต่อทั้งหมดอย่างพิถีพิถัน ณ เวลานี้มันเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วไร้อุปสรรคใด และมีความยืดหยุ่นเช่นมนุษย์ทั่วไป
สิ่งนี้อาจคล้ายหุ่นเชิดในสนามรบที่เรียบง่ายไร้ซึ่งความสามารถ แต่ในเวลานี้กำลังต่อสู้กับไป๋ชิวหรานที่เป็นบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ทั้งสองใช้เพียงกระบี่ธรรมดา ชายหนุ่มไม่คิดใช้พลังของตนเองเพื่อปราบปรามหุ่นเชิดขั้นหลอมรวมร่างกาย ทว่าไป๋ชิวหรานยังเป็นผู้ฝึกตนที่ใช้กระบี่และมีชีวิตยาวนานกว่าสามพันปี โดยพื้นฐานแล้วเขาจะค่อย ๆ ปรับปรุงหรือสร้างทักษะใหม่ขึ้นเสมอ
เขาเป็นปรมาจารย์กระบี่ ซึ่งตอนนี้กำลังต่อสู้กับหุ่นเชิดไปมา วิชากระบี่อันวิจิตรงดงามในมือของคนผู้หนึ่งและหุ่นเชิดตอบโต้กันโดยไม่ทราบว่าจุดจบจะอยู่ที่ใด ผู้คนจำนวนมากที่รับชมต่างตื่นตาตื่นใจกับการแสดงนี้
นอกจากนี้ เมื่อหุ่นเชิดออกกระบวนท่า มันทำให้ผู้คนรู้สึกคุ้นเคย ดูเหมือนว่าไป๋ชิวหรานที่กำลังต่อสู้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองร่าง และถูกควบคุมโดยคนคนเดียว
“ข้าแพ้แล้ว”
หลีจิ่นเหยาเฝ้ามองครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว
“วิชากระบี่ของหุ่นเชิดตนนี้ทรงพลังเกินไป”
หลังจากเกิดการปะทะเสียงดังขึ้น กระบี่เหล็กในมือของคนคนหนึ่งไม่อาจต้านทานกระบี่คู่ในมืออีกฝ่ายได้ จึงเกิดเสียงแหลมกรีดร้องดังขึ้นกระทั่งทั้งสองผละออกจากกัน ปลายกระบี่ก็ได้ทิ่มลงพื้นด้านข้างปลายเท้า
เกิดเสียงปรบมือดังสนั่น
หุ่นเชิดด้านข้างของเขาปรบมือก่อนจะกล่าวว่า
“เป็นไปตามที่องค์เหนือหัวต้องการ สำเร็จแล้ว”
“นับว่าสำเร็จอย่างแท้จริง”
ไป๋ชิวหรานโยนกระบี่ในมือทิ้งไป และหุ่นเชิดที่อยู่ตรงข้ามก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกับเขา
ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับหุ่นเชิดด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงหันมองสตรีสามคนที่อยู่ตรงหน้า
“โอ้ หลานเอ๋อ แม่นางจิ่นเหยา รั่วเวย พวกเจ้าอยู่ที่นี่รึ”
“อืม”
เจียงหลานพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหุ่นเชิดแล้วถามว่า
“ชิวหราน นี่มันอะไรกัน? ท่านริเริ่มสร้างหุ่นเชิดงั้นหรือ?”
แม้เจียงหลานจะไม่ชื่นชอบที่จะดำรงตำแหน่งจักรพรรดิเซียน แต่ก็ยังเป็นเซียน นางเคยได้ยินว่าเซียนที่เคยเป็นแขกของวิหารฝูซางกล่าวว่า ในโลกภายใต้อำนาจของแดนเซียน มีใครบางคนชื่นชอบการสร้างหุ่นเชิดจากไม้หรือวัตถุแปลก ๆ อีกทั้งพวกมันเหล่านั้นจะมีความรู้สึกไม่ต่างจากภรรยาหรือบุตรสาว
บางคนเรียกขานคนประเภทนี้ว่า ‘เพ้อฝัน’ เพราะพวกเขาจะหวงแหนในสิ่งที่ตนสร้างขึ้น หากมีผู้ใดคิดทำร้ายหุ่นเชิด ผู้สร้างจะขุ่นเคืองยิ่ง
บางคนถึงกับหย่าร้างกับภรรยาเพราะภรรยาคิดจะฉกฉวยหุ่นเชิดไปจากตนเอง!
เจียงหลานไม่เคยคิดถึงคนประเภทนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขาล้วนมีงานอดิเรก และหากผู้ใดทำสิ่งของของพวกเขาพัง ก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะโกรธเคือง เช่นนี้เจียงหลานจึงเชื่อว่าคงจะมีประเด็นบางอย่างในความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่ทำให้ทั้งสองหย่าร้างกันได้
อย่างไรก็ตาม เจียงหลานยังได้ยินมาว่าบุรุษมากมายที่ชื่นชอบตุ๊กตาหุ่นเชิดเลิกสนใจในเรือนร่างของสตรี ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้นางรู้สึกกังวลใจ…
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น อย่างไรแล้วไป๋ชิวหรานต้องไม่มีสัมพันธ์กับสตรีอื่นจนกว่านางกับซูเซียงเสวี่ยจะให้กำเนิดบุตรได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของนาง ไป๋ชิวหรานกลับส่ายศีรษะก่อนจะเดินไปที่หุ่นเชิดตนนั้นพร้อมโอบคอของมัน และหุ่นเชิดตัวนั้นก็โอบคอของเขาด้วยเช่นกัน
“นี่ไม่ใช่หุ่นเชิด”
ชายหนุ่มตอบกลับ
“เป็นข้าเอง หรือเรียกว่าเป็นข้าอีกคนหนึ่ง”
มันร้ายแรงมากหรือไรกัน? นางถึงกับแยกไม่ออกระหว่างข้ากับหุ่นเชิด?
เจียงหลานมองไป๋ชิวหรานด้วยสายตาเป็นกังวล
นางรู้เพียงว่าไป๋ชิวหรานกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการอสูร แต่เขาไม่ได้บอกกล่าวกับนางและซูเซียงเสวี่ยว่ากำลังทดสอบสิ่งใดอยู่
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไป๋ชิวหรานจึงหลบหนีสตรีทั้งสองในหลายปีผ่านมา เมื่อทั้งสามได้พบกันอีกครา จึงมีเพียงการพูดคุยและกระทำกิจให้กำเนิดบุตรเท่านั้น
ทว่าหลีจิ่นเหยาที่ได้เข้าร่วมการทดลองคราวนี้รับรู้ถึงแผนการของไป๋ชิวหราน นางเข้าใจทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำของเขา จึงกล่าวถามขึ้นว่า
“ท่านบรรพชนกระบี่ นี่คือการยึดครองจิตอสูรหรือไม่? โอ้ ไม่สิ หากเรียกว่าเป็นการแยกจิตน่าจะเหมาะสมกว่าหรือไม่?”
“เป็นเช่นนั้น”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“แม่นางจิ่นเหยา เจ้าฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก”
…