ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 348 โอกาสที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นเหล็กที่หน้าอก
- Home
- ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี
- บทที่ 348 โอกาสที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นเหล็กที่หน้าอก
บทที่ 348 โอกาสที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นเหล็กที่หน้าอก
บทที่ 348 โอกาสที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นเหล็กที่หน้าอก
“นี่คือเคล็ดวิชาแบ่งแยกพลังเหนือธรรมชาติที่ข้าเพิ่งสร้างขึ้นโดยใช้ทักษะของอากุ้ยเพื่อแยกวิญญาณและความคิดออกจากกัน”
ไป๋ชิวหรานจับศีรษะของหุ่นเชิดพร้อมอธิบายให้เจียงหลานและคนอื่น ๆ ฟัง
“แม้ทักษะการแยกความคิดของอากุ้ยสามารถทำให้จิตสำนึกสามารถควบคุมร่างกายหลายร่างได้ในเวลาเดียวกัน แต่ต้องไม่มีวิญญาณอื่นแทรกเข้าสู่ร่างกาย และอาจารย์อสูรคือการผสานระหว่างจิตวิญญาณกับความคิด มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกควบแน่นโดยพลังจิตวิญญาณ เช่นนั้นทักษะการแยกจิตใจของนางจึงใช้ไม่ได้ผลกับอสูร แม้ว่าจะยึดครองร่างกายของอสูรได้ก็ตาม แต่สิ่งนี้ทำให้จิตใจของผู้ใช้ออกจากร่างแล้วเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นดวงวิญญาณและดวงจิตที่สมบูรณ์ สิ่งนี้ที่จะสามารถใช้กับอสูรได้ ข้าจึงนำสองวิธีนี้หลอมรวมกันเพื่อจัดการกับอสูร หลังจากเข้าสู่การฝึกฝนกว่าสิบปี ข้าจึงสามารถสร้างเคล็ดวิชาแยกจิตนี้ขึ้นได้”
ชายหนุ่มเหม่อมองไปด้านหน้า และหุ่นเชิดที่อยู่อีกด้านก็เดินตรงเข้ามายืนเคียงข้างเขา
“หลังจากเรียนรู้ที่จะแยกจิตใจและใช้ร่วมกับจิตวิญญาณ เราจะสามารถควบคุมจิตสำนึกอสูรที่เกิดจากจิตสำนึกของเราได้ เช่นนี้จึงมีสองร่างกาย นั่นคือร่างหนึ่งเป็นกายภาพ อีกร่างเป็นจิตสำนึกอสูรที่เดินอยู่ในเขตแดนจิตสำนึกของเหล่าอสูรพวกนั้น และ… ไม่ควรประเมินความสามารถในการต่อสู้ของเหล่าอสูรต่ำต้อย พวกมันไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าพวกเรา อสูรระดับสูงสุดที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ ความแข็งแกร่งของมันไม่ด้อยไปกว่าศิษย์ที่ไม่คู่ควรของข้าเลย”
หลังจากหยุดพูดชั่วคราว ไป๋ชิวหรานก็เหลือบมองถังรั่วเวยก่อนจะกล่าวเสริม
“โอ้ ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า ข้ากำลังกล่าวถึงศิษย์น้องที่สองและสามของเจ้า ส่วนเจ้ายังไม่กล้าแกร่งถึงระดับนั้น…”
“ข้าทราบแล้ว!”
ถังรั่วเวยโพล่งตอบด้วยความขุ่นเคือง
“แต่หากสามารถเรียนรู้สิ่งนี้ บางทีในระยะเวลาสั้น ๆ ความแข็งแกร่งของเจ้าอาจจะอยู่เหนือศิษย์พี่และศิษย์น้องก็ได้”
ไป๋ชิวหรานกล่าวโน้มน้าว
“ท้ายที่สุดแล้ว อาจารย์อสูรต้องการเพียงความปรารถนาเท่านั้นจึงจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ หากเจ้ามีความปรารถนาเพียงพอ มันจะไร้ซึ่งสภาวะตีบตันในการพัฒนาของอาจารย์อสูร รั่วเวย เจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอสูรเพราะมีสายเลือดใกล้ชิดด้วย เข้าใจหรือไม่?”
ด้านความถนัดและพรสวรรค์ของถังรั่วเวยทรงพลังมากเมื่อเทียบกับผู้อื่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่หากเทียบกับหลีจิ่นเหยา ซูเซียงเสวี่ย และเจียงหลานแล้ว นางยังด้อยกว่ามาก
เนื่องจากสตรีสองคนหลังมีชีวิตมาเนิ่นนานแล้ว ทั้งสองเผชิญหน้ากับการต่อสู้นับร้อยพันครั้ง ความรู้และความเข้าใจของพวกเขาดีกว่าถังรั่วเวย อีกทั้งความคิดยังเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้พวกนางได้รับมันตั้งแต่กำเนิด เป็นประสบการณ์ที่เงินทองไม่อาจเทียบเทียมได้
เมื่อกล่าวถึงความถนัดและพรสวรรค์ของถังรั่วเวย ด้วยความแข็งแกร่งของนางนั้น แม้ว่าสตรีทั้งสามจะถูกมัดเอาไว้ ก็ยังไม่อาจเอาชนะพวกนางได้
ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของไป๋ชิวหราน ถังรั่วเวยก็ตอบสนองในทันที แววตาของนางเผยความเฉลียวฉลาดและเต็มไปด้วยความหวัง!
“ท่านอาจารย์”
นางโค้งคำนับต่อไป๋ชิวหรานก่อนจะกล่าวสุ้มเสียงหวาน
“ศิษย์ต้องการเรียนรู้ทักษะนี้”
“ที่ใดมีเจตจำนง ทุกสิ่งย่อมเป็นจริงได้”
ไป๋ชิวหรานยกนิ้วให้
“ในเมื่อกล่าวว่าต้องการเรียนรู้ เช่นนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้าเอง และจะสอนให้เมื่อเรากลับไป”
หลังจากฟังคำอธิบายของชายหนุ่มแล้ว เจียงหลานก็เข้าใจทุกสิ่ง นางกะพริบตาถี่พร้อมถามไป๋ชิวหรานว่า
“ชิวหราน ท่านพยายามต่อสู้กับอสูรด้วยอสูรงั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ
“หากอสูรพัฒนาเป็นอาจารย์อสูรได้ เราก็เป็นอาจารย์อสูรได้เช่นกัน”
“ข้าก็อยากฝึกฝนทักษะนี้ด้วย”
เจียงหลานกล่าวจริงจัง
“ข้าอยากจะช่วยท่านเช่นกัน”
“ย่อมไม่มีปัญหา เจ้าสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งที่ต้องการได้”
ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยขณะมองดูหุ่นเชิด
เมื่อเคล็ดวิชาการแยกจิตสำเร็จ หุ่นเชิดนี้ก็ไร้ประโยชน์ เขายกมือขึ้นและทุบมันก่อนจะทำลายวิญญาณในหุ่นเชิดทิ้งเสีย
วิญญาณนี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นเพียงวิญญาณว่างเปล่าสำหรับการทดลอง ไม่มีจิตสำนึกภายใน นี่คือสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนจากวิถีสวรรค์โดยใช้พลังเวท ‘แลกเปลี่ยนกับสวรรค์’
วิถีสวรรค์มอบทักษะการสร้างจิตวิญญาณให้กับเขา และสิ่งที่เขาต้องการคือพลังเวทเคล็ดวิชาแยกจิต
ขณะที่หุ่นเชิดถูกทำลาย การรับรู้ของไป๋ชิวหรานที่เกี่ยวข้องกับหุ่นตัวนั้นก็สลายไปพร้อมกัน
ดูเหมือนว่าการกำจัดร่างจำแลงจะไม่ส่งผลใดต่อจิตวิญญาณ ร่างกาย หรือความคิดของร่างกายหลัก…
ไป๋ชิวหรานลอบจดจำคำถามนี้ไว้ จากนั้นกล่าวกับเจียงหลานและคนอื่น ๆ ว่า
“เรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว หลานเอ๋อ เรากลับกันก่อนเถิด อากุ้ย นี่คือเคล็ดวิชาการแยกจิตทั้งสองวิธี เจ้าสามารถนำวิธีแรกไปไว้ที่หอตำรายมโลก แล้วคัดลอกให้คนในปรโลกได้ฝึกฝน ส่วนอีกอันหนึ่ง ให้ส่งคนไปที่แดนเซียนกลางและมอบมันให้กับจักรพรรดิเซียนองค์แรกหรือจักรพรรดิเซียนกลางด้วยตนเอง”
“เข้าใจแล้ว”
อากุ้ยรับทักษะทั้งสองไปพร้อมกล่าวตอบรับ
…
ความจริงแล้ว สิ่งที่ไป๋ชิวหรานคิดมีมากกว่านั้น…
เมื่อสร้างเคล็ดวิชาแยกจิต เขาจะพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่างนอกเหนือจากวิธีกำจัดอาจารย์อสูร
อย่างเช่นการพัฒนาขั้นต่อไปของแดนเซียน การพัฒนาการต่อสู้ของผู้ฝึกตน และคำถามว่าควรทำอย่างไรให้เขตแดนจิตสำนึกกับอาจารย์อสูรไร้ซึ่งอันตราย แล้วสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้
ไป๋ชิวหรานเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกใบนี้สามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้คนได้ ตราบเท่าที่พวกเขามีใจจะยอมรับ…
ในระหว่างการพัก เขาใช้ช่วงเวลานี้เพื่อพิจารณาปัญหา ขณะเดียวกันก็เฝ้าสังเกตโลกเดิมที่ถูกกัดเซาะด้วยเขตแดนจิตสำนึก หลังจากสังเกตอสูรโลหิตแห่งความเกรี้ยวกราดในเขตแดนจิตสำนึก ไป๋ชิวหรานก็ได้แรงบันดาลใจบางอย่าง
ในโลกนั้น อาจยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยตรง แต่มันยังมีอาจารย์อสูรโลหิตอยู่ มันยังคงสร้างสำนักในแบบของมันเอง และสร้างชาวบ้านขึ้นมาด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างเช่น ภาพหลอน
ในสำนักต่าง ๆ การบูชาเทพเจ้าถูกแทรกซึมเข้าไปในความคิดและเริ่มเจริญเติบโต แน่นอนว่าอสูรโลหิตตนนี้ได้รับประโยชน์จากเหล่าผู้ที่เชื่อมั่นและบูชาในตัวมันด้วย
แม้ว่าคนที่เชื่อเรื่องนี้จะกลายเป็นผู้งมงาย แต่พวกเขาไม่ได้โง่เขลา และสำนักนี้ก็ไม่ใช่แบบที่ว่า ‘อย่างไรก็ตาม มันไม่ต้องเสียสิ่งใด เพียงแค่ลองดูก่อน’ แม้แต่พระเจ้าที่แท้จริงยังละทิ้งความเชื่อได้ตามต้องการโดยไม่คิดสูญเสียสิ่งใด
สำนักอสูรโลหิตเป็นสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนตลอดชีวิต หากเข้าสู่ประตูของสำนักอสูรโลหิตแล้ว คนผู้นั้นจะกลายเป็นอสูรของสำนักทันที แม้ว่าจะตายไป หากไม่ได้รับผลประโยชน์ ผู้ใดเล่าจะเชื่อถือ?
และประโยชน์เหล่านั้น ไป๋ชิวหรานเห็นด้วยตาของตนเองแล้ว อสูรโลหิตกับเหล่าอสูรที่ถือกำเนิดจากสงคราม พวกมันล้วนมีความคิดเกี่ยวกับสงคราม ความเกลียดชัง การนองเลือด และอื่น ๆ มากมาย นอกจากนี้ยังกลืนกินอสูรแห่งความเสพสุขไปด้วย มันจึงมีความรู้สึกถึงความสุขและมีความตระหนักรู้ถึงความต้องการ
ผู้ที่เชื่อมั่นในสำนักนี้จะได้รับประโยชน์บางอย่างตราบเท่าที่ความเชื่อของพวกเขามั่นคงและศรัทธาอย่างเหนียวแน่น
ตัวอย่างเช่นผู้ที่เชื่อมั่นในการทำสงคราม พวกเขาจะมีกำปั้นที่ใหญ่กว่าคนอื่น ร่างกายแข็งแกร่งและมีความคล่องตัวสูง ส่วนผู้ที่หมกมุ่นในกามอารมณ์ระหว่างชายหญิงจะมีรูปร่างที่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
แน่นอนว่าสำหรับความคิดของไป๋ชิวหราน การปรับปรุงเล็กน้อยเหล่านี้เป็นเพียงผลลัพธ์ของความเกลียดชังและความมักมาก เพื่อที่จะก้าวต่อไปได้… บรรดาผู้ศรัทธาเหล่านี้จะต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อบูชาต่ออสูรโลหิตและอสูรเสพสุข
อย่างเช่น การสร้างสงครามดึงดูดผู้คนให้เข้าสำนักมากขึ้น หรือการนองเลือด และงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยความโลภและหื่นกระหาย!
หากผู้ที่ศรัทธาสร้างความพึงพอใจให้กับอสูรโลหิตสำเร็จ แน่นอนว่าอสูรโลหิตย่อมตอบแทนผลประโยชน์ให้ เช่น ทำให้พวกเขายิ่งแข็งแกร่งขึ้น มีหน้าตาหล่อเหลาหรืองดงาม นอกจากนี้ยังมีการมอบผลประโยชน์ระดับสูงให้ด้วย
หากสิ่งที่ผู้ศรัทธามอบให้เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับอสูรโลหิต มันจะสร้างการเชื่อมโยงแปลกประหลาดสำหรับคนผู้นั้น และใช้พลังบางอย่างเพื่อบิดเบือนวิญญาณของเขาให้กลายเป็นอสูรระดับสอง หลังจากเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลง ร่างกายของผู้ศรัทธาจะถูกเปลี่ยนแปลงร่างอสูร หรือสามารถฝึกฝนพลังอันทรงพลังของผนึกสูงสุดในโลกใบนั้นทันที
อีกทั้งหากร่างนั้นถูกฆ่าจนตายตก พวกเขาจะไม่ตายจริง ๆ แต่วิญญาณนั้นจะหวนคืนสู่เขตแดนจิตสำนึก ทั้งอสูรโลหิตและเหล่าบริวารถือกำเนิดขึ้นจากสถานที่แห่งนั้น ไม่ว่าจะตายตกสักกี่ครั้ง พวกเขาก็จะสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่และฟื้นคืนชีพในที่สุด…
ด้วยวิธีนี้ ไป๋ชิวหรานและจื้อเซียนจึงเรียกขานพวกมันว่า ‘อสูรทะยาน’