ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 349 ความทะเยอทะยานของไป๋ชิวหราน
บทที่ 349 ความทะเยอทะยานของไป๋ชิวหราน
บทที่ 349 ความทะเยอทะยานของไป๋ชิวหราน
วิธีที่อาจารย์อสูรโลหิตแห่งความเกรี้ยวกราดใช้ในการจัดการสำนัก ทำให้ไป๋ชิวหรานเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมา
เพราะจิตสำนึกอสูรตนนี้สามารถจัดการกับสำนักตนด้วยวิธีนี้ และในอนาคต จิตสำนึกอสูรที่ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ สร้างขึ้นจะผ่านการคิดไตร่ตรอง ซึ่งจะสามารถรักษาสัมพันธ์กับมนุษย์ในโลกใบนั้นด้วยลักษณะเช่นนี้ได้หรือไม่?
อสูรโลหิตแห่งความเกรี้ยวกราดก่อตั้งสำนักขึ้นเพื่อสื่อสารกับมนุษย์และเสริมกำลังให้ตนเอง แต่ไป๋ชิวหรานกับคนอื่น ๆ ต้องการให้อสูรมีแนวโน้มที่จะรับใช้มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มากกว่า
ตราบใดที่มีการกำหนดแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต เขาจะค่อย ๆ แผ่กระจายความคิดนี้ออกไป ผลกระทบของความสามารถในการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะ อย่างเช่น อาจารย์อสูร โลกกายภาพจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก ในเวลาเดียวกัน ความเชื่อกับความศรัทธาของสิ่งมีชีวิตจะเสริมสร้างให้อาจารย์อสูรและพวกพ้องของมันแข็งแกร่งขึ้น
ด้วยวิธีนี้ ความสามารถในการสื่อสารของอสูรจะยิ่งแข็งแกร่งและมีความสามารถติดตัวที่ดี จากนั้น มันจะสามารถจัดการพื้นที่เป็นวงกว้างได้ เมื่อได้รับแนวคิดที่ดีกับความศรัทธามากขึ้น พวกมันจะเชื่อมโยงกับความเชื่อดั้งเดิมจนกลายเป็นเทพเจ้า แล้วก่อตัวในยุคสมัยใหม่อย่างสมบูรณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายก็ยังสามารถพัฒนาได้ ร่างจำแลงจะสามารถรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอสูรได้ และสามารถพัฒนาพลังเวทต่าง ๆ ให้เข้าสู่ยุคที่รุ่งเรืองอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงความคิดเบื้องต้นของไป๋ชิวหราน สถานการณ์เฉพาะในตอนนี้ยังต้องดำเนินไปทีละขั้นตอน ในฐานะของผู้เบิกทางและผู้ที่อยู่ปลายสุด ประการแรก คือ ต้องสร้างจิตสำนึกอสูรที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อที่มันจะสามารถแบกรับความต้องการของเขาได้
แม้ว่าจิตสำนึกอสูรที่ก่อตัวจากความโลภจะถูกสร้างขึ้นในเขตแดนจิตสำนึกมาก่อน แต่จิตสำนึกของอสูรตนนั้น หากให้กล่าวตรง ๆ ก็คงต้องบอกว่าอ่อนแอเกินไป และเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะจิตสำนึกอสูรอาวุโสในเขตแดนจิตสำนึกภายในอนาคต
ยิ่งความปรารถนาของบุคคลแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะในด้านในด้านหนึ่ง จิตสำนึกอสูรจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตาม เมื่อพิจารณาจากความปรารถนาของไป๋ชิวหรานแล้ว ความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาคือการสร้างรากฐาน
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่จิตสำนึก จิตวิญญาณ และความคิดของเขาแข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งขอบเขตจิตสำนึกภายในโลกเดียวไม่สามารถอดทนต่อพลังของเขาได้
ในเวลานั้น ชายหนุ่มเพียงพยายามจินตนาการถึงการสร้างรากฐานในเขตแดนจิตสำนึกของโลก เพื่อทดสอบปฏิกิริยาลูกโซ่เท่านั้น แต่มันกลับกระตุ้นโลกใบนั้นแล้วเข้าสู่การล่มสลายของเขตแดนจิตสำนึกแทน จากความคิดของไป๋ชิวหราน… เขาต้องการสร้างแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการถือกำเนิดอสูร เขาเกรงว่าอาจจะต้องเข้าสู่อีกฝั่งของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ เพราะนั่นคือเขตแดนจิตสำนึกขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับโลกจำนวนมหาศาล ซึ่งอาจจะเป็นโลกใบนั้นที่ทำให้เขาสร้างความปรารถนาของตนได้
เพื่อฝึกฝนความคิด การฝึกฝนอาจารย์อสูรนั้นยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงต้องไปยังอีกด้านของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ แต่ว่าเขายังไม่รีบร้อน ตอนนี้เขากำลังสอนเคล็ดวิชาแยกจิตให้กับเจียงหลานและคนอื่น ๆ เมื่อสตรีเหล่านี้เรียนรู้จนเสร็จสิ้น พวกเขาจะเข้าสู่อีกฝั่งของกำแพงแห่งความตระหนักรู้พร้อมกัน แล้วสร้างจิตสำนึกอสูรของตนเองเพื่อเข้ามาดูแลโลกต่าง ๆ ในเวลานั้น
เวลาต่อมา ไป๋ชิวหรานพักผ่อนเฉย ๆ อยู่ช่วงหนึ่ง เขาอยู่บ้านกับเจียงหลานและคนอื่น ๆ เพื่อสอนเคล็ดวิชาแยกจิต
โชคดีที่เคล็ดวิชาแยกจิตนั้นยากเย็นยิ่ง เจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยจึงตัดสินใจที่จะติดตามพวกเขาไปที่ฝั่งตรงข้ามกำแพงแห่งความตระหนักรู้ เพื่อสร้างอาจารย์อสูรของตนเอง ดังนั้น ในเวลากลางคืน ทั้งเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยจึงขังตนเองอยู่ในห้องเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาแยกจิต ด้วยเหตุการณ์ที่ดำเนินไปเช่นนี้ จึงทำให้ทั้งสองไม่ได้มาหาไป๋ชิวหรานเพื่อกระทำกิจกำเนิดบุตร…
ส่วนหลีจิ่นเหยานั้นมีความสามารถสูงสุดและยังเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ หลังจากเห็นฉากที่ไป๋ชิวหรานใช้ความคิดเพื่อยึดครองร่างของอสูร นางก็เข้าหาชายหนุ่มเพื่อขอเรียนรู้พลังเหนือธรรมชาตินี้บ้าง นางจึงทราบพื้นฐานเบื้องต้น อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ
ก่อนที่เจียงหลานหรือคนอื่น ๆ จะจับจุดได้ สตรีผู้นี้เรียนรู้ที่จะแยกจิตและสามารถควบคุมหุ่นเชิดเช่นเดียวกับไป๋ชิวหราน และยังใช้กระบี่คู่เพื่อทดลองต่อสู้
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทั้งเจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยต่างไม่คิดยอมแพ้ ทั้งคู่ทิ้งงานทั้งหมดให้กับศิษย์ของตน จากนั้นจึงขังตนเองอยู่ในบ้านเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาแยกจิต
ในช่วงเวลานี้ ไป๋ชิวหรานไม่มีอะไรทำ ข้างกายเขามีเพียงหลีจิ่นเหยาที่ไม่มีอะไรทำเช่นเดียวกัน…
…
ฤดูใบไม้ผลิล่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง วันเวลาผ่านดำเนินไปจนถึงฤดูหนาวโดยไม่รู้ตัว
เจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยยังคงเก็บตัว ส่วนถังรั่วเวยยังคงตั้งสัตย์ปฏิญาณอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชานี้ได้
การแยกจิตเกี่ยวข้องกับความฝันของนาง เนื่องจากในชีวิตนี้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่อาจกำจัดชะตากรรมของตนเองได้ อย่างน้อยนางต้องการที่จะเป็นอสูรที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่
ดังนั้น ในฤดูหนาวที่แสนจะหนาวเหน็บนี้ จึงมีเพียงหลีจิ่นเหยาและไป๋ชิวหรานเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเดินไปเดินมาเพียงลำพัง
นอกจากปัจจัยอื่น ๆ แล้ว ไป๋ชิวหรานเองก็ชื่นชอบฤดูหนาวไม่น้อย แม้เมื่อก่อนตอนที่เขายังเป็นคนเร่ร่อน ทุกฤดูหนาวล้วนแต่เป็นบททดสอบแห่งชีวิตและความตาย ทว่าไป๋ชิวหรานนั้นไม่ใช่คนหน้าซื่อใจคด
ผ่านมาแล้วหลายปี เวลานั้นเขาอาจจะเกลียดมัน แต่ตอนนี้ไป๋ชิวหรานกลับจดจำความขุ่นเคืองที่ยาวนานและน่าเบื่อเหล่านั้นไม่ได้แล้ว
สำหรับเขา เมื่อเทียบกับฤดูร้อนที่อบอ้าว ฤดูหนาวที่ท้องฟ้าถูกเคลือบไปด้วยหิมะ แต่ในศาลายังมีกองไฟถูกจุดขึ้นเพื่อมอบความอบอุ่น จากนั้น เขาปรุงหม้อไฟที่นั่น มีสุราชั้นเลิศหนึ่งไห แล้วจึงเริ่มจัดการกับสิ่งตรงหน้า ถือเป็นความเพลิดเพลินที่หาได้ยากยิ่ง มองออกไปด้านนอกก็พบกับทิวทัศน์หิมะ ส่วนด้านในก็มีอาหารเลิศรส
เขากับหลีจิ่นเหยานั่งอยู่ด้วยกันในเวลานี้
ในหม้อดินสีดำ น้ำแกงสีขาวข้นกำลังเดือดพล่าน มีเนื้อหมาป่าสีแดงและเนื้อไก่อยู่ภายใน นี่คือน้ำแกงที่ถูกปรุงขึ้นจากฝีมือของหลีจิ่นเหยา
ทั้งสองใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อที่ต้มอยู่ในหม้อ ทั้งไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาได้พวกมันมาจากการออกล่าในป่าเมื่อวานนี้ เนื้อทุกชิ้นถูกแม่นางหลีหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ด้วยมีดชั้นเลิศ
ส่วนสุราทั้งสองจอกนี้ หลีจิ่นเหยาไปพบกับโหยวเหมยเฉียวเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสุราชั้นดีของสำนักเหอฮวนด้วยตนเอง นางจัดการหมักปรุงสุราตลอดทั้งคืน
เรื่องนี้แปลกประหลาดสำหรับไป๋ชิวหรานเล็กน้อย เขาจำได้ว่า หลีจิ่นเหยามีความขัดแย้งกับโหยวเหมยเฉียว แต่ที่แปลกประหลาดกว่านั้นคือหลังจากซูเซียงเสวี่ยเปิดตัวว่าเขาคือสามีของนางอย่างเป็นทางการ ความสัมพันธ์ของสตรีทั้งสองจึงกลายเป็นคลี่คลายโดยไม่รู้ตัว
อสูรน้อยและโหยวเหมยเฉียวเข้ากับคนง่าย ดังนั้นพวกนางจึงกลายเป็นสหายกันอย่างรวดเร็ว หลังจากซูเซียงเสวี่ยขังตนเองไว้ในห้อง ศิษย์ไม่กี่คนของสำนักเหอฮวนก็เข้ามารบกวนพวกเขาภายในลานอาศัย แต่ในทางกลับกัน หลีจิ่นเหยาไปที่สำนักเหอฮวนหลายครั้งเพื่อที่จะช่วยกิจการต่าง ๆ ของโหยวเหมยเฉียวจนเสร็จสิ้น
เขาไม่ทราบว่าทั้งสองพูดคุยกันอย่างไร รู้เพียงว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้พวกนางสนิทกันมาก
หลังจากได้รับประทานเนื้ออันชุ่มฉ่ำ ทั้งสองยิ่งรู้สึกอิ่มเอมมากขึ้น หลีจิ่นเหยายกจอกสุราขึ้นชนกับไป๋ชิวหราน
ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นตอบรับ ทั้งสองแตะแก้วกันเบา ๆ อย่างผ่อนคลาย ราวกับว่าเป็นสหายเก่าไม่ได้เจอกันนับพันปี
“ท่านบรรพชนกระบี่ สุราที่ข้าหมักเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานดื่มจนหมดจอก หลีจิ่นเหยาก็กล่าวถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ไม่เลว”
ไป๋ชิวหรานกล่าวชื่นชม
“แม้จะห่างไกลจากสุราที่เซียงเสวี่ยทำ แต่เจ้าเป็นเพียงมือใหม่ ดังนั้นจึงเป็นเช่นนี้ เมื่อเวลาผ่านไปจะสามารถกระทำได้เช่นเดียวกับนางแน่นอน แม่นางจิ่นเหยา… เจ้าเก่งกาจจริง ๆ”
เมื่อได้ยินคำชมของไป๋ชิวหราน หลีจิ่นเหยาก็เผยใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกมีความสุขมากขึ้น
“จะว่าไปแล้ว…”
หลังจากที่นางรินสุราให้เขาเพิ่ม หลีจิ่นเหยามองดูของเหลวในแก้วพร้อมกล่าวถามด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ท่าบรรพชนกระบี่ หากท่านไม่โคจรพลังปราณแก่นแท้ในร่างกายเพื่อขับไล่มัน ท่านจะรู้สึกเมามายหรือไม่?”