ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 35 ซูเซียงเสวี่ย
บทที่ 35 ซูเซียงเสวี่ย
“โฮ่” ไป๋ชิวหรานเดินตรงเข้าไปในสวนพร้อมปิดประตูบดบังสายตาจากศิษย์หญิงที่มาส่ง จากนั้นจึงทักทายหญิงงามที่กำลังมองมาด้วยความตกใจ “ไม่เจอกันนานเลยนะซูเซียงเสวี่ย เจ้าอยู่ที่นี่อย่างที่คาดไว้จริง ๆ”
“ใช่ ไม่พบกันนานเลยนะ” ใบหน้าของซูเซียงเสวี่ยก้มลงโดยพลัน เสน่ห์และอารมณ์ยั่วยวนของนางถูกดึงกลับมาทั้งหมด “พวกเราไม่ได้พบกันตั้งแต่ที่ท่านสังหารอาจารย์ข้าแล้วสินะ”
“พูดอะไรเช่นนั้น คนไม่รู้จักจะคิดว่าเจ้าเคารพอาจารย์มาก” ไป๋ชิวหรานเดินไปด้านข้าง จากนั้นก็นั่งลงและดื่มน้ำชาที่นางเพิ่งเทลงไป “ในตอนนั้นที่ข้าพาห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรมเข้าบุก เจ้าเป็นคนบอกสถานที่ที่นางหลบซ่อนเองไม่ใช่หรือ?”
“อืม เดิมทีข้ากับนางมีทัศนติแตกต่างกันและไม่เคยคิดจะสังหารนาง แต่นางก็ทำเกินไปจริง ๆ เพราะนางต้องการให้ข้าเป็นเครื่องมือในการรวมพลังหยาง ดังนั้นข้าจึงต้องยอมทำ” เมื่อเห็นว่าน้ำชาของไป๋ชิวหรานว่างเปล่า ซูเซียงเสวี่ยจึงรินน้ำชาให้เขาอีกถ้วยพร้อมเอ่ยถาม “ท่านมาทำสิ่งใดที่นี่กัน?”
“ข้ามาเพื่อคุยกับเจ้า” ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
แม้จะพูดอย่างสบาย ๆ แต่ซูเซียงเสวี่ยก็รู้สึกตื่นตัว “ไป๋ชิวหราน ท่านมาทำอะไรที่นี่? ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าตลอดหลายปีมานี้ ศิษย์ในสำนักเหอฮวนไม่ได้สังหารใคร ดังนั้นอย่าเข้ามายุ่งกับพวกเราเลย”
“เหตุใดเจ้าต้องตื่นเต้นร้อนรนด้วย? ข้าไม่กัดหรอกน่า” ไป๋ชิวหรานวางถ้วยน้ำชาลงพลางถอนหายใจ
“นั่นคือสิ่งที่ท่านพูดก่อนจะสังหารอาจารย์ข้า” ซูเซียงเสวี่ยยังคงไม่อาจประมาทได้ “ท่านคิดจะทำสิ่งใดก็ทำกับข้าคนเดียว อย่าไปสังหารศิษย์ในสำนัก!”
“ข้าบอกว่าเจ้าจะตื่นเต้นร้อนรนทำไม ไม่ใช่ว่าพวกเราเคยร่วมมือกันมาแล้วงั้นหรือในตอนที่จัดการอาจารย์ของเจ้า มาตอนนี้เจ้ากลับระแวงข้าเหมือนคนนอก ข้ารู้สึกเศร้าใจจริง ๆ” ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้มาเพื่อกำจัดสิ่งลามกเหล่านั้นหรอก”
เมื่อซูเซียงเสวี่ยได้ยินเรื่องนี้ นางจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายและเอ่ยถามในเวลาเดียวกัน “แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่?”
“ข้าเพิ่งรับศิษย์และต้องการพานางมาหาประสบการณ์” ไป๋ชิวหรานกล่าว
“อะไรนะ? ท่านมีลูกศิษย์ด้วยหรือ?” ซูเซียงเสวี่ยกล่าวด้วยไม่เชื่อหู “ชายหรือหญิง?”
“เอ่อ…น่าจะเรียกว่าผู้หญิงกระมั้ง?” ไป๋ชิวหรานแสดงท่าทีลังเล
“หึ” ซูเซียงเสวี่ยเผยใบหน้าไม่มีความสุข “น่าประหลาดใจจริงนะไป๋ชิวหราน ข้าไม่คาดคิดเลยว่าท่านจะเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?” ไป๋ชิวหรานทำท่าทีครุ่นคิด มันยังมีบางสิ่งในแดนล่างที่ไม่ถือว่าเป็นหญ้าอ่อนสำหรับเขาอยู่หรือ?
แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดนางจึงแสดงท่าทีไม่มีความสุข ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามสิ่งอื่น “เช่นนั้นมีสิ่งใดน่าสนใจจากหน่วยข่าวกรองของเจ้าเกี่ยวกับโลกแห่งผู้ฝึกตนบ้าง”
“สำนักเหอฮวนเต็มไปด้วยวิชาลึกลับและทักษะมากมาย แต่กลับมาหาหน่วยข่าวกรองงั้นหรือ?” ซูเซียงเสวี่ยยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพร้อมกล่าว “ท่านไป๋ชิวหรานเป็นถึงบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง ท่านจะบอกว่าหน่วยข่าวกรองของสำนักกระบี่ชิงหมิงไม่มีหรืออย่างไร?”
“โอ้ คำพูดของเจ้าสำนักเหอฮวนก็รุนแรงเกินไป” ไป๋ชิวหรานไม่ได้สนใจกับคำพูดของนาง เขาสะบัดมือและกล่าวต่อ “หน่วยข่าวกรองของสำนักกระบี่ชิงหมิงไม่ดีเท่าสำนักเหอฮวนของเจ้า คิดว่าเหล่าบุรุษมากมายหวั่นไหวและพูดออกมาตอนไหนมากที่สุดยกเว้นตอนที่พวกเขาเมา มันคือบุรุษที่กำลังผ่อนคลายบนเตียงที่มักจะพูดทุกอย่างยามกำลังมีความสุข” ซูเซียงเสวี่ยจ้องมองไป๋ชิวหรานเป็นเวลานานก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นใบหน้าอันไร้เดียงสาของอีกฝ่าย
“ข้านึกสงสัยตัวเองนักว่าเหตุใดถึงต้องโกรธท่าน ข้าช่างโง่เขลาเสียจริง”
“อ๊ะ อะไร?” ไป๋ชิวหรานสับสน “เหตุใดเจ้าต้องโกรธข้าด้วย? เจ้าเป็นบ้างั้นหรือ?”
ในเวลานี้ซูเซียงเสวี่ยรู้สึกว่าทักษะการข่มปราณของตัวเองอาจจะเหนือกว่าคนอื่นไปแล้ว
“มาเข้าเรื่องกันเถอะ” เจ้าสำนักเหอฮวนคนปัจจุบันสูดหายใจลึก จากนั้นจึงจัดการรินน้ำชาให้ตัวเองและบุรุษอีกฝั่ง “มีหลายอย่างน่าสนใจเกิดขึ้นในดินแดนชางโจวเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ไม่มีเรื่องใดที่เหมาะสมกับมือใหม่อย่างศิษย์ของท่าน… อืม ไม่สิ มีอยู่เรื่องหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องของพวกราชวงศ์ ท่านต้องการจะฟังหรือไม่?”
“โอ้ เรื่องของพวกราชวงศ์อีกแล้วหรือ? พวกเขาช่างมีเรื่องมากมายจริง ๆ นะ” ไป๋ชิวหรานหยุดครุ่นคิดนิดหนึ่ง “ตกลง มาพูดถึงเรื่องนี้กัน เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
“เมื่อเร็ว ๆ นี้รัฐติ่งกั๋วมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าอ้ายเต๋าลู่ปรากฏขึ้น” ซูเซียงเสวี่ยกล่าว
“อ้ายเต๋าลู่?” ไป๋ชิวหรานถาม “มันคืออะไร?”
“ดูเหมือนจะเป็นภาษานอก อันที่จริงมันเป็นกลุ่มที่พวกหญิงสาวแสดงการเต้นรำร้องเพลง ซึ่งมันดึงดูดผู้ชายในติ่งกั๋วอย่างมาก”
“โอ้” ไป๋ชิวหรานพยักหน้ารับรู้ “เป็นโสเภณีแต่ไม่ได้ขายตัวสินะ”
“ก็เกือบใช่ แต่พวกนางอยู่กันเป็นกลุ่ม” ซูเซียงเสวี่ยจิบน้ำชาและกล่าวต่อ “จากนั้นองค์ชายแห่งติ่งกั๋วเหมือนจะชอบสิ่งนี้ เขาออกไปดูการแสดงของคนกลุ่มนี้ และถูกสังหารอยู่ในเมืองที่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนจักรพรรดิติ่งกั๋วก็โกรธจัด จนเสนอเงินรางวัลมหาศาลให้กับผู้ที่จับฆาตกรสังหารองค์ชายมาได้”
“โอ้ เช่นนั้นก็น่าสนุกใช่หรือไม่?” คนผมขาวตลอดศีรษะถาม “พวกนางเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์หรือผู้ฝึกตน?”
“รัฐติ่งกั๋วนั้นชื่นชอบผู้ที่แข็งแกร่ง จักรพรรดิติ่งกั๋วก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของติ่งกั๋ว ความแข็งแกร่งของเขาพอ ๆ กับขั้นกลั่นลมปราณ ท่านคิดว่าองค์ชายแห่งติ่งกั๋วจะถูกล่อออกมาเงียบ ๆ และสังหารโดยผู้ฝึกวิทยายุทธ์ธรรมดางั้นหรือ?” คนเจ้าสำนักถามกลับ
“เกิดอะไรขึ้นกับขั้นกลั่นลมปราณ” ไป๋ชิวหรานเกาคอพร้อมกล่าว “ข้าก็อยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ”
“อย่าพูดถึงมันเลย ท่านไม่ได้อยู่ในขั้นกลั่นลมปราณเหมือนคนอื่น ๆ” ซูเซียงเสวี่ยกล่าวพร้อมจับเส้นผมของนาง “ข้าคาดไว้ว่ายมโลกจะมาเอาวิญญาณท่านไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนระบบทางนั้นจะมีปัญหา มิเช่นนั้นท่านจะมีชีวิตรอดมาถึงปัจจุบันได้อย่างไรโดยที่พลังชีวิตไม่ลดลงเลย”
“สรุปคือมีเรื่องประหลาดอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ใช่หรือไม่?” ไป๋ชิวหรานลุกขึ้น “ขอบคุณสำหรับข้อมูล ข้าจะพาลูกศิษย์ไปเล่น…เอ่อ พาไปดูเสียหน่อย”
“ท่านไม่คิดจะนั่งต่ออีกหน่อยหรือ?” สตรีโฉมสคราญเอ่ยขึ้น
“ไม่ล่ะ ๆ” ไป๋ชิวหรานโบกมือหยอย ๆ “ยามที่ข้าอยู่ในสำนักเหอฮวน มันยิ่งทำให้ข้านึกถึงแม่มดเฒ่าอาจารย์เจ้าตลอดเวลา นึกแล้วข้าก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ ข้าขอตัวล่ะ ลาก่อน”
“ลืมมันเสียเถอะ หากท่านต้องการจะไปก็ไปเสีย” ซูเซียงเสวี่ยนั่งถอนหายใจตรงจุดเดิม และไม่คิดจะลุกขึ้นบอกลา “อย่าลืมปิดประตูให้ข้าหลังจากออกไปด้วย”
“เข้าใจแล้ว” ไป๋ชิวหรานตอบและปิดประตูลานบ้านพร้อมเดินจากไป
ซูเซียงเสวี่ยนั่งอยู่ที่เดิมชั่วครู่ก่อนจะปรบมือ
“เจ้าสำนัก” เงาสีดำลอยมาจากด้านนอก จากนั้นได้กลายร่างเป็นสตรีงดงามในชุดสีดำ นางคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าซูเซียงเสวี่ย “มีคำสั่งอะไรหรือไม่?”
“ไปตรวจสอบมา” ซูเซียงเสวี่ยขยับนิ้วเรียวของนาง “ศิษย์ของเขามีที่มาที่ไปอย่างไร”