ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 351 จักรพรรดิภูตผีผู้สง่าผ่าเผยในเวลากลางวัน
บทที่ 351 จักรพรรดิภูตผีผู้สง่าผ่าเผยในเวลากลางวัน…
บทที่ 351 จักรพรรดิภูตผีผู้สง่าผ่าเผยในเวลากลางวัน…
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋ชิวหรานลุกขึ้นจากเตียง ขณะกวาดสายตามองไปรอบห้องก็รู้สึกตะลึงกับภาพตรงหน้า
…เวลานี้มีหลีจิ่นเหยานอนอยู่ข้างกาย ห่อเรือนกายด้วยผ้าห่ม ลมหายใจสม่ำเสมอ และยังคงหลับสนิท
ในที่สุดก็มาถึงจุดนี้…
ชายหนุ่มเหลือบมองนางอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะจับเอวที่ของตนเอง… ความโศกเศร้าประทับขึ้นในจิตใจ
เขาไม่กลัวว่าหลังจากที่เจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยออกจากการฝึกตน แล้วรับทราบเรื่องนี้จะเอ่ยปากหย่าร้างกับตน เพราะความคิดของเจียงหลานที่แต่งงานภายในยุคทวยเทพนั้นค่อนข้างชัดเจน นางอาจจะปรบมือให้เขาด้วยซ้ำ และอาจจะช่วยจัดการกับซูเซียงเสวี่ยที่ขี้หึงมากเกินไปได้
ทว่าไป๋ชิวหรานเสียใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาตระหนักถึงบางอย่างขึ้นมาได้…
เขาไม่ควรประมาทสตรีผู้ฝึกตนจากสำนักฝ่ายมาร
แม้ว่าจะมีบางสิ่งที่ช่วยให้นางเพลิดเพลิน แต่หลีจิ่นเหยายังคงบริสุทธิ์ ไป๋ชิวหรานคิดว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากกับการทำให้นางบรรลุสิ่งต้องการ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าหลีจิ่นเหยาจะมีพลังมากมายเช่นนี้
แม่นางน้อยผู้นี้ บวกกับแม่นางผู้ยิ่งใหญ่อย่างซูเซียงเสวี่ย จากนั้นเพิ่มจักรพรรดินีจากเหล่าทวยเทพเจียงหลาน… ไป๋ชิวหรานอดไม่ได้ที่จะโศกเศร้ากับชะตากรรมอันโหดเหี้ยมที่จะเกิดขึ้นกับน้องชายสุดที่รักของเขาในอนาคต
ลืมมันไปเสีย… ทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว คิดไปก็ไร้ประโยชน์ ในอนาคตต่อจากนี้เพียงแค่ต้องดูแลนางให้ดีก็เพียงพอ
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจเสียงต่ำ เขายื่นมือออกไปเพื่อห่มผ้าให้กับหลีจิ่นเหยา จากนั้นลุกขึ้นเพื่อชำระล้างร่างกาย
หลีจิ่นเหยายังคงอยู่ในห้วงนิทรา และแน่นอนว่าวันนี้ไม่มีใครเตรียมอาหารเช้าให้เขา แต่ไป๋ชิวหรานไม่ได้สนใจเรื่องอาหารเช้ามากนัก มันไม่มีความแตกต่างใดแม้จะกินหรือไม่กินก็ตาม
ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นไปต้อนรับแขก เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็สัมผัสได้ว่ามีชายสองคนรออยู่ที่ลานเล็กนอกประตู
หลังจากทำทุกสิ่งเสร็จสิ้นแล้ว ไป๋ชิวหรานก็เดินออกไปเปิดประตู ที่มุมของลาน เชวียหลิงกับเซียนหงเฉินเปล่งประกายคลื่นพลังเย็นเยือกยืนอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรออยู่ตรงนี้นานแล้ว
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มออกมาแล้ว เซียนหงเฉินจึงกล่าวทักทายก่อนจะโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“คารวะท่านอาจารย์”
“อืม สวัสดีตอนเช้า”
ไป๋ชิวหรานโบกไม้โบกมือ
เซียนหงเฉินยืดตัวขึ้น และจากแววตาเฉียบคมของเขาได้เห็นว่ามีด้ายสีแดงอีกเส้นหนึ่งกำลังพันรอบกายของไป๋ชิวหราน
จักรพรรดิเซียนอาวุโสเคยดำรงตำแหน่งนักปราชญ์ในแดนเซียนกลางเพื่อเป็นสักขีพยานแก่การสมรส จึงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะกล่าวว่า
“โม่เฉินผู้นี้ควรจะเปลี่ยนคำเรียกขานต่อแม่นางหลีในอนาคตหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานจ้องมองเขาเขม็งก่อนจะกล่าวตอบปัด
“เจ้าควรคิดเอง!”
เซียนหงเฉินไม่กล้ากล่าวหยอกล้ออีกต่อไป
แต่เชวียหลิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่คิดเกรงกลัว เขาเหลือบมองไปที่ห้องพร้อมกล่าวหยอกล้อไป๋ชิวหราน
“ทรงพลังยิ่งนัก ฝ่าบาท ท่านดูราวกับไม่ใช่มนุษย์”
ชายหนุ่มได้ยินบางสิ่งในคำพูดนั้น จึงได้แต่ไอแห้ง ๆ สองสามครั้งแล้วถาม
“พวกเจ้ารอข้านานเพียงใดแล้ว?”
“เมื่อวานเรามาที่นี่ตอนเที่ยง แต่แม่นางเหมยเฉียวบอกว่าท่านกับแม่นางหลี… โอ้ ภรรยาที่สามออกไปชมสวน จึงให้พวกเรารอที่นี่สักครู่ และเมื่อท่านทั้งสองกลับมา ข้าเห็นว่าท่านกับแม่นางหลีเมามายหนักจึงไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ…”
…แล้วพวกเจ้าก็ยืนดูจิ่นเหยาพาข้าเข้าห้องงั้นหรือ?
ไป๋ชิวหรานเพียงแค่ลอบสบถในใจก่อนจะถามว่า
“แล้วทำไมเจ้าไม่หยุดยั้งแม่นางจิ่นเหยา และจัดการเรื่องทั้งหมดเสีย”
เซียนหงเฉินและเชวียหลิงมองหน้ากัน เซียนหงเฉินกระแอมไอสองครั้งก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว
“แม่นางหลีเห็นพวกเรา นางทำท่าทางกระชับกระบี่ในมือ…”
“เอาล่ะ ไม่เป็นไร…”
ความจริงแล้ว หลีจิ่นเหยาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิเซียนหงเฉินหรือผู้ทรงเกียรติเชวียหลิงแม้แต่น้อย ทว่าการเคลื่อนไหวของแม่นางหลีคือการแสดงเจตนาต่อเซียนหงเฉินและเชวียหลิง แม้ทั้งสองอยากช่วยเหลือไป๋ชิวหราน แต่ก็ไม่คิดอยากมีปัญหากับหลีจิ่นเหยา
ท้ายที่สุด ไม่ว่าไป๋ชิวหรานจะกล่าวอย่างไร เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งหลีจิ่นเหยาเป็นแม่นางน้อยที่แม้แต่อาจารย์หรือบรรพบุรุษยังไม่อาจต่อต้านได้เมื่อนางเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา
“เช่นนั้นพวกเราทั้งคู่จึงอยู่ตรงนี้นับตั้งแต่ตอนนั้น…”
เชวียหลิงมองท้องฟ้าก่อนจะกล่าวหยอกเย้า
“ตั้งแต่บ่ายวานนี้ ตลอดทั้งคืนจวบจนถึงเวลานี้ จักรพรรดิภูตผี… ฝ่าบาทไม่เพียงแต่เก่งกล้าในการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังบรรเลงเพลงรักในระหว่างวันอย่างเก่งกาจด้วย…”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วเชวียหลิงกล่าวถูกต้อง เพราะหลีจิ่นเหยากับเขากลับมาในช่วงบ่าย ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดเลยสักนิด…
“พอได้แล้ว”
เพื่อกำจัดความอับอายนี้จึงเปลี่ยนเรื่องทันที
“แล้วพวกเจ้ามาพบข้านี้มีสิ่งใด? เป็นไปไม่ได้หรอกมั้งที่จะเดินทางยาวนานเพื่อมาหยอกล้อข้า?”
“พวกเราไม่คิดสนใจเรื่องของท่านอยู่แล้ว”
เชวียหลิงกล่าวเย็นชา
“ข้ามาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง สำหรับงานที่ท่านมอบหมายให้ก่อนหน้านี้… เวลาของจักรพรรดิเซียนองค์แรกกำลังจะหมดลงแล้ว”
อีกฝ่ายเป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ก่อสร้างแดนเซียน อย่างไรแล้วเชวียหลิงยังคงประสานมือเพื่อแสดงความเคารพ
บัดซบ ข้าเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาแท้ ๆ แต่เหตุใดจึงไม่เคยเห็นเจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพเช่นนี้
เมื่อเห็นทัศนคติที่ดีของเขา ไป๋ชิวหรานอดไม่ได้ที่จะลอบบ่นในใจ
แต่ในขณะนี้ เรื่องของไป๋ลี่สำคัญกว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น หลังจากได้ยินคำพูดของเชวียหลิงแล้ว ไป๋ชิวหรานพลันสับสนเล็กน้อย
“ไม่ถูกต้อง ข้าจดจำได้ว่าข้ามอบเวลาให้เขาห้าร้อยปี แล้วตอนนี้?”
เขาแตะหน้าผากของตนเอง
“แม้ว่าเมื่อวานนี้ข้าจะเมามาก แต่คงไม่ได้สับสนเรื่องเวลา นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ทศวรรษเองไม่ใช่หรือ? เชวียหลิง เจ้ากำลังทำให้ข้าสับสนหรือไร?”
“ผู้ใดจะกล้าล้อเล่นกับท่าน?”
เชวียหลิงเหลือบมองเขาด้วยแววตาเย็นชา
“อย่างไรก็ตาม ข้ารายงานตามอายุขัยของจักรพรรดิเซียนองค์แรกที่บันทึกไว้ในสมุดแห่งชีวิตและความตาย เวลานี้อายุขัยของจักรพรรดิเซียนองค์แรกใกล้จะหมดลงแล้ว… เช่นเดียวกับสถานะปัจจุบันของท่าน”
ภรรยาของเขาดูดกลืนเขาจนแห้งเหือดแล้วหรือไร?
ไป๋ชิวหรานขบคิดอย่างสับสนก่อนจะตื่นตระหนก
เดี๋ยว… หรืออาจเป็นไปได้ว่าหากเพศตรงข้ามอยู่ใกล้ อายุขัยจะลดลง?
“ท่านอาจารย์คงจะไม่ทราบ”
โชคดีที่ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เซียนหงเฉินหยุดยั้งความเข้าใจผิดของไป๋ชิวหรานด้วยการกล่าวว่า
“ครั้งสุดท้ายที่ท่านจักรพรรดิเซียนองค์แรกหลบหนี… แค่ก ๆ มาที่โลกเพื่อตรวจสอบ ท่านไม่ได้สั่งสอนพลังเวทห้วงเวลาทั้งสองให้กับเขาหรือ?”
“โอ้ ถูกต้องแล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เซียนหงเฉินกล่าว ไป๋ชิวหรานก็นึกออกในทันที
“หมายความว่าเจ้าเด็กนั่นเร่งเวลาของแดนเซียนงั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น”
“ฉลาดถึงเพียงนั้น?”
ไป๋ชิวหรานตื่นตระหนก
“ข้าคิดเสมอว่าแมงป่องตัวน้อยนี้ไม่อาจกระทำเรื่องเช่นนั้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ แม้สำหรับหลานเอ๋อที่อยู่ในขั้นซากปรักหักพังยังเป็นเรื่องที่ยากเย็น เขาทำได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขาปล่อยให้เหล่าเซียนแห่งแดนเซียนกลางเรียนรู้พลังเหนือธรรมชาติห้วงเวลาด้วย?”
เจ้าเล่ห์นัก… เด็กสามขวบผู้นั้นคือจักรพรรดิเซียนองค์แรก!
เซียนหงเฉินไม่กล้ากล่าวใส่ร้าย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ เขาตอบเพียงว่า
“ไม่ใช่ ปัจจุบันแล้ว พลังเหนือธรรมชาติของห้วงเวลายังเป็นเพียงเขาที่เรียนรู้ได้เท่านั้น แม้แต่ท่านลุงที่สามยังเรียนรู้ได้ยาก อย่างไรก็ตาม อาจารย์เก่งกาจในการปรับเปลี่ยน เขาพบบางสิ่งในการฝึกฝน เช่นนั้นจึงร่วมกันฝึกฝนพลังเหนือธรรมชาติที่สามารถเร่งเวลาได้ จากนั้นจึงเรียกเหล่าเซียนทั้งหมดรวมพลังกันแล้วเร่งเวลาของแดนเซียน”
“เป็นเช่นนั้น เขาฉลาดเกินไปแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
เขายังคงชัดเจนเกี่ยวกับเหตุผลในการเร่งเวลาของไป๋ลี่ อันตรายจากการอยู่ใกล้กับเหล่าอสูรนั้น หากสามารถเร่งเวลาได้ พลังนี้จะช่วยยืดการฝึกฝนของเหล่าเซียนในแดนเซียน เพื่อให้ชนชั้นสูงสามารถถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เพราะมีเพียงการต่อสู้เท่านั้นที่จะสามารถรับมือกับอาจารย์อสูรได้
“นั่นเป็นเหตุผลหลัก แต่ก็ยังมีสาเหตุอื่นร่วม”
เซียนหงเฉินไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่ากลัวกำแพงจะมีหู ประตูจะมีช่อง จากนั้นจึงกล่าวกระซิบกับไป๋ชิวหราน
“เส้นตายของอาจารย์ใกล้เข้ามาทุกที แต่บรรดาภรรยาของเขายังไม่เคลื่อนไหว เขาจึงกังวลมากและยิ่งเรียกร้องอาจารย์มากขึ้น… หลังจากอาจารย์เรียนรู้ที่จะเร่งเวลา เขาอดไม่ได้ที่จะใช้มันในทุกค่ำคืน ครั้งหนึ่งเคยถอนหายใจและบ่นกับข้าหากว่ามีบุตรตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ ตอนนี้คงจะตายตาหลับ… ศิษย์เดาว่านี่คงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดอายุขัยของอาจารย์ถึงหมดลงอย่างรวดเร็ว”
“น่าเศร้านัก”
ไป๋ชิวหรานคร่ำครวญถึงไป๋ลี่ในใจ ก่อนจะนึกถึงหลีจิ่นเหยาที่กำลังหลับอยู่ในห้อง… เขาอดไม่ได้ที่จะโศกเศร้าเล็กน้อย
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการส่งจักรพรรดิเซียนองค์แรกเข้าสู่ยมโลก ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวกับเชวียหลิง
“ข้าทราบเรื่องนี้แล้ว เจ้ากลับไปที่ยมโลกก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง ข้าจะเป็นคนดูแลและจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เอง… ไม่ต้องห่วง”