ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 352 ผ่อนคลายจิตใจ
บทที่ 352 ผ่อนคลายจิตใจ
บทที่ 352 ผ่อนคลายจิตใจ
ภายในยมโลก บนแม่น้ำแห่งความตายนอกเมืองเฟิงตู เรือยมทูตนับไม่ถ้วนได้รับการปรับปรุงให้แขวนธงของยมโลก มันแล่นออกตัวในสายลมแห่งความมืดมิด
ไป๋ชิวหรานที่กลายเป็นจักรพรรดิภูตผียืนอยู่บนดาดฟ้าของธงเรือ สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเลือดภายในยมโลก
หลังจากนั้นไม่นานก็มีร่างสีแดงปรากฏขึ้น ร่างนั้นร่อนลงบนดาดฟ้าเรือก่อนจะโค้งคำนับลง
“ขออภัยฝ่าบาท โปรดอภัยที่ข้ามาช้า”
“ไม่เป็นไร มหาเซียนเลี่ยคงมีเรื่องต้องจัดการ”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นพร้อมหันหน้าไปหาเขา
“มหาเซียนเลี่ยพร้อมแล้วหรือยัง?”
มหาเซียนเลี่ยสูดลมหายใจลึกพร้อมพยักหน้า
“พร้อมแล้วขอรับ!”
“ดี”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นพร้อมออกคำสั่ง
“ดึงสมอเรือ ออกเดินทาง… จุดหมายคือแดนเซียนอู่ฟาง!”
เสียงของเขาแผ่กระจายออกเป็นวงกว้างด้วยเวทกระจายเสียง มันดังกึกก้องไปทั่วปรโลก ทันทีที่ยมทูตเปิดห้วงมิติในยมโลก อุโมงค์อวกาศจากสายธารในกระแสความว่างเปล่าก็เปิดออกตรงหน้าแม่น้ำแห่งความตายโดยพลัน
กองทัพเรือขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเชื่องช้าเข้าสู่เส้นทางนี้ และทั้งหมดล่องไปตามกระแสสายธารแห่งความว่างเปล่าจนถึงแดนเซียนอู่ฟาง
หลังจากแล่นเรือมานานกว่าครึ่งเดือน พวกเขาได้เข้าใกล้แดนเซียนอู่ฟางมากขึ้นเรื่อย ๆ แดนเซียนห้าทิศเชื่อมต่อกันและเป็นอิสระจากกันและกัน ปราการงดงามเปล่งประกายสีสันสวยงาม อักขระลึกลับนับไม่ถ้วนล้อมรอบแดนเซียนทั้งห้าเอาไว้ ยิ่งทำให้ตระการตายิ่ง
ไป๋ชิวหรานมองอย่างพิจารณา และพบว่ามีปราการแสงอีกหนึ่งแถบ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติแห่งห้วงเวลา
ความจริงแล้วโครงสร้างของแดนเซียนแห่งนี้ เมื่อมาที่นี่ครั้งแรก เขารู้สึกว่าปราการของแดนเซียนถูกออกแบบอย่างประณีตและซับซ้อน เปลวเพลิงปราการที่ล้อมรอบแดนเซียนทั้งหมดนี้ล้วนใช้งานได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่งดงาม
ทว่าตอนนี้กลับค้นพบว่า ความจริงแล้วการวางแผนและสร้างโครงสร้างอักขระของแดนเซียนทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ศิษย์ฝึกหัดไป๋ลี่ผู้นั้นกระทำขึ้นแบบลวก ๆ
เขาตระหนักถึงบางอย่างจึงขอให้เหล่าเซียนเริ่มก่อค่ายอาคมแบบใหม่โดยตรงที่ปราการเปลวเพลิง เมื่อเวลาผ่านไป แดนเซียนอู่ฟางจึงกลายเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้
หากการก่อตัวเหล่านี้เปลี่ยนไป โลกใบเดียวกันถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีเช่นนี้ แดนเซียนจะกลายเป็นชั้นหม้อไอน้ำขนาดใหญ่ เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนับไม่ถ้วน และสุดท้ายก็จะกลายเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ถูกแต่งเติมอย่างยอดเยี่ยม
เรียกได้ว่าเป็นโครงสร้างที่ใฝ่ฝัน!
โชคดีที่นี่คือรูปแบบที่ถูกเหล่าเซียนสร้างขึ้นและอักขระทั้งหมดล้วนแต่พิเศษ ดังนั้นในสายตาของคนที่ไม่รู้จักว่ามันคือสิ่งใด ทั้งหมดจึงกลายเป็นความงดงามอย่างยากที่จะหาใดเทียบ
ผู้นำเรือของปรโลกรายงานจุดหมายของเขาต่อเหล่าเซียนที่ปกป้องเขตแดนของปราการ หลังจากนั้นเหล่าเซียนจึงเปิดปราการเพื่อให้เรือของปรโลกผ่านเข้าสู่แดนเซียนอู่ฟาง
เมื่อเรือเคลื่อนผ่านประตูแห่งความว่างเปล่าที่อยู่ใกล้กับปราการ เหล่าเซียนที่ประจำการอยู่ตรงนั้นต่างคุกเข่าลงต่อหน้าไป๋ชิวหราน
“จักรพรรดิภูตผี โปรดรับฟังพวกเราด้วย”
ชายหนุ่มหยุดกองเรือทั้งหมด ก่อนจะมองเหล่าเซียนตรงหน้า
“กล่าวถามองค์เหนือหัวจักรพรรดิภูตผี”
เมื่อเหล่าเซียนเห็นว่ากองเรือทั้งหมดหยุดนิ่ง พวกเขาจึงรีบกล่าวพร้อมกัน
“จักรพรรดิเซียนองค์แรกคือผู้นำและพัฒนาเผ่าพันธุ์มนุษย์ ปกป้องสิ่งมีชีวิตนับร้อยล้าน อีกทั้งยังมีความเมตตากรุณายิ่งใหญ่ในใต้หล้า พวกข้าต้องการกล่าวถามองค์จักรพรรดิภูตผีว่าหลังจากที่จักรพรรดิเซียนองค์แรกเข้าสู่โลกหลังความตาย โปรดเมตตาไม่ให้เขาต้องพบเจอความทุกข์ทรมานแสนเข็ญได้หรือไม่?”
เป็นการอ้อนวอนขอความเมตตางั้นหรือ…
ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวตอบอย่างเย็นชา
“ชีวิตหลังความตาย ไร้ซึ่งความเมตตา …ออกเรือได้”
เรือปรโลกดึงสมอขึ้นและออกเดินทางอีกครั้ง เหล่าเซียนที่ประจำการอยู่ ณ ปราการป้องกันไม่ได้กล่าวขอร้องสิ่งใดเพิ่มเติม พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ามองเรือปรโลกแล่นเข้าสู่แดนเซียนด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
หลังจากแล่นไปเพียงครู่หนึ่ง เรือปรโลกก็พบกับสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง บนเส้นทางระหว่างแดนเซียนสู่แดนเซียนกลาง มีเหล่าเซียนมากมายนับไม่ถ้วนมารวมตัว พวกเขายืนกันอย่างเนืองแน่นที่ถนนทั้งสองฝั่ง ทุกสายตาจับจ้องกองเรือยิ่งใหญ่ที่แสนอันตรายจากปรโลก!
ทั้งหมดนี้คงจะเป็นเซียนที่มาจากแดนเซียนชี่ฟาง เพราะสถานที่แห่งนี้มีเพียงเหล่าเซียนเท่านั้นที่ปรากฏตัวได้ และเป็นเพราะผู้ฝึกตนกับมนุษย์ทั่วไปในแดนเซียนไม่อาจวิ่งไปมาในกระแสความว่างเปล่านี้ได้
เมื่อธงเรือของปรโลกแล่นผ่าน เหล่าเซียนยังคงป้องปากตะโกนใส่ไป๋ชิวหรานเช่นเดิม
“องค์เหนือหัวจักรพรรดิภูตผีโปรดรับฟังพวกข้า”
ชายหนุ่มหยุดกองเรือและได้ยินเสียงเหล่าเซียนทั้งหมดตะโกนกึกก้อง
“จักรพรรดิเซียนองค์แรกสร้างแดนเซียน เมตตาต่อใต้หล้า ผลบุญของเขาสามารถเรียกขานได้ว่าเป็นนักบุญอย่างแท้จริง พวกข้าต้องการกล่าวถามองค์เหนือหัวจักรพรรดิภูตผี ภายใต้สังสารวัฏแห่งการเกิดและตาย จักรพรรดิเซียนองค์แรกจะมีโอกาสรอดพ้นจากความเจ็บปวดหรือไม่?”
“ภายใต้อำนาจสังสารวัฏแห่งการเกิดและตาย ไม่มีชีวิตใด ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงกฏแห่งกรรมได้ ทั้งหมดเป็นกฎเหล็กและข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงมัน”
ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบอีกครั้ง
“ออกเรือ แดนเซียนกลางอยู่ด้านหน้านี้แล้ว”
เมื่อได้ยินการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของไป๋ชิวหราน ความปรารถนาในใจของเหล่าเซียนก็ดับวูบลงทันที แต่พวกเขาไม่ได้ขัดขวางกองเรือปรโลก เพียงแค่มองมันแล่นผ่านเข้าสู่แดนเซียนกลางด้วยสายตาว่างเปล่า…
…
ขณะเดียวกัน ไป๋ลี่ที่กำลังจัดการภารกิจในลานเล็ก ๆ ของเขตอวี่ชิงพลันรู้สึกถึงบางสิ่ง เขาวางพู่กันในมือลง
เขาสั่งให้ใครบางคนเรียกหาเล่อเจิ้นเทียน จากนั้นนำตราหยกของตนออกมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
“หมดเวลาของข้าแล้ว”
เขาออกคำสั่งกับเล่อเจิ้นเทียน
“จากนี้ต่อไป แดนเซียนจะมอบความไว้วางใจต่อเจ้า เจิ้นเทียน จัดการมันให้ดีและอย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง”
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
เล่อเจิ้นเทียนคุกเข่าลงพร้อมรับตราหยกนั้นไว้ในมือ
“ลุกขึ้น”
ไป๋ลี่ช่วยพยุงเขาลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะถอดมงกุฎบนศีรษะออกแล้วกลับไปที่รังรักของตนเอง เขาบอกลานางสนมทีละคนและสัญญาว่าจะกลับมาพบกันอีกในพันปีข้างหน้า
รอบกายรายล้อมไปด้วยนางสนมและข้าราชบริพาร ไป๋ลี่กลับมาที่โถงมหาสงบในสวรรค์ชิงเว่ยอีกครั้ง ทันใดนั้นเสียงปรบมือที่เย็นชาก็ดังขึ้น
ไป๋ลี่ตกตะลึงครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะมารับข้าด้วยตนเอง”
ร่างหนึ่งเดินออกจากวัง บนจัตุรัสภายในโถงมหาสงบ ไป๋ชิวหรานในเครื่องแบบจักรพรรดิภูตผีนำยมทูตจำนวนหนึ่งและเหล่าเซียนเข้ามาหา
“หมดเวลาของเจ้าแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพยายามอย่างหนักเพื่อให้น้ำเสียงดูไม่แยแสต่อการกระทำนี้
“ข้าทราบแล้ว”
ไป๋ลี่พยักหน้าพร้อมหลับตาลงด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มส่งสัญญาณ ทำให้มหาเซียนเลี่ยเดินตรงไปด้านหน้าพร้อมกับเชือกรัดวิญญาณ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย
เขาวางตรวนเหล็กบนไหล่ของไป๋ลี่ แล้วค่อย ๆ มัดร่างกายส่วนบนทั้งหมด หลังจากจัดการเสร็จสิ้น มหาเซียนเลี่ยรู้สึกว่าความกังวลทั้งหมดจบลงแล้ว
ตอนนี้เขากลับรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์นี้
“ฝ่าบาท”
เขาสูดลมหายใจลึก
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว”
ไป๋ลี่ยิ้มรับทว่าไม่ตอบคำ ขณะมหาเซียนเลี่ยจับกุมจิตวิญญาณและดึงมันอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นจิตวิญญาณทรงพลังของไป๋ลี่ที่ห้อมล้อมด้วยลำแสงสีทองก็ถูกดึงออกจากร่างกาย เขากระเด็นออกห่างจากร่างกายกว่าจั้งเศษ!
หลังจากสูญเสียจิตวิญญาณ ดวงตาของศพไป๋ลี่เปล่งประกายสีทองเจิดจ้า และเวลานี้ศพของเขากำลังจะอาละวาด ทว่าฝ่ามือของจักรพรรดิภูตผีกลับกดลงบนหน้าผากได้ทันเวลา เช่นนี้จักรพรรดิเซียนองค์แรกจึงไร้ซึ่งหนทางที่จะก่อความวุ่นวาย
“เสร็จสิ้นแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าให้เล่อเจิ้นเทียนและนางสนมของไป๋ลี่ แววตาบ่งบอกเป็นนัยว่าศพของจักรพรรดิเซียนองค์แรกจะถูกจัดการในภายหลัง จากนั้นเขาเอ่ยปากออกคำสั่งกับยมทูต
“ถึงเวลากลับแล้ว”
“กลับ!”
ยมทูตร้องตะโกนเสียงดัง
ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงลมกระโชกแห่งความมืดมิด วิญญาณของจักรพรรดิเซียนองค์แรกถูกตรวนวิญญาณรัดกุมเอาไว้ และเขาค่อย ๆ ก้าวขาเดินตามกลุ่มของยมทูตออกไป
จักรพรรดิเซียนกลางเล่อเจิ้นเทียนกล่าวเสียงดังขณะมองแผ่นหลังนั้นจากไป
“ส่งตัวจักรพรรดิเซียนองค์แรก!”
“ส่งเสด็จจักรพรรดิเซียนองค์แรกที่เคารพ!”
หลังจากออกคำสั่ง ทุกคนที่อยู่ในแดนเซียนกลางก็โค้งคำนับต่อวิญญาณของจักรพรรดิเซียนองค์แรก ไป๋ลี่
“ส่งเสด็จจักรพรรดิเซียนองค์แรกที่เคารพ!”
เสียงอำลาดังก้องจนถึงสวรรค์ชิงเว่ยเขตอวี่ชิง เมื่อก้าวเดินมาถึงด้านล่างของโถงมหาสงบ หวงเฉินเทียนกำลังรออยู่ที่นั่น
หลังออกจากแดนเซียนกลางแล้ว ไป๋ชิวหรานพาไป๋ลี่ขึ้นเรือปรโลกที่เทียบท่าอยู่ในประตูมิติแห่งความว่างเปล่า ทั้งสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยเหล่าเซียนจากแดนเซียนซี่ฟางพากันโค้งคำนับต่อกองเรือ
“ส่งเสด็จจักรพรรดิเซียนองค์แรกที่เคารพ!”
เสียงอำลาดังก้องตลอดเส้นทาง ตั้งแต่แดนเซียนกลางจนถึงเขตแดนของแดนเซียนอู่ฟาง จนกระทั่งถึงปราการป้องกันซึ่งเป็นประตูออกสู่กระแสความว่างเปล่า เหล่าเซียนไม่อาจข้ามผ่านกระแสแห่งความว่างเปล่าด้วยร่างกายของตนเองได้ พวกเขาจึงหยุดยืนนิ่ง แต่ยังมีคนจำนวนมากที่เผยแววตาลังเลในขณะมองกองเรือมุ่งหน้าสู่ปรโลก
จนกระทั่งเงาของกองเรือหายลับไป และเมื่อไร้ซึ่งเงาของแดนเซียนแล้ว จิตวิญญาณของไป๋ลี่ที่ถูกกักขังไว้ด้วยตรวนวิญญาณก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
“สวรรค์ ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปยิ้มให้ไป๋ชิวหรานผู้เป็นอาจารย์
“ท่านอาจารย์ ข้าสบายใจนัก”
…