ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 36 องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์
บทที่ 36 องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์
ไป๋ชิวหรานเดินออกจากประตู ‘แดนเริงรมย์’ และพบว่าศิษย์ของตนกำลังนั่งยอง ๆ อยู่หน้าประตูพูดคุยกับศิษย์อีกคนของสำนักเหอฮวน ไหล่ของบุรุษผมขาวก็เกิดสั่นเทาขึ้นเล็กน้อย
เขาเดินเข้าไปตบไหล่ถังรั่วเวยอย่างนึกสงสัย ทันทีที่ถังรั่วเวยเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางกลับชุ่มชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ไป๋ชิวหรานตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนหันไปคาดคั้นศิษย์สำนักเหอฮวนผู้นั้น “เจ้ารังแกนางหรือ?”
“เปล่าหรอก” ถังรั่วเวยตอบทั้งที่ยังสะอึกสะอื้น “เพียงแต่พี่สาวผู้นี้เล่าเรื่องราวในอดีตของนางให้ข้าฟัง… นางถูกผู้ฝึกมารจับตัวไว้ จากนั้นนางก็ถูกขายให้กับสำนักเหอฮวน… ฮือ ๆ น่าสงสารเหลือเกิน”
“อ้อ” ไป๋ชิวหรานตระหนักทันที จากนั้นจึงเอ่ยถามนางกลับด้วยสีหน้าราบเรียบราวท่อนไม้ “แล้วนางได้เล่าอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังหรือไม่?”
“หือ?” ถังรั่วเวยเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสับสน
“เท้าความจากเรื่องนี้ หญิงสาวที่ถูกขายให้กับสำนักเหอฮวนได้พยายามอย่างหนักเพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชาของสำนักเหอฮวน และในไม่ช้าไม่นานนางก็สามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นชนชั้นกลางของสำนักเหอฮวน จากนั้นนางก็พบผู้ฝึกมารผู้นั้นอีกครั้งและเปลี่ยนร่างของเขาให้กลายเป็นวัวแห้งตายคาทุ่งนา”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองศิษย์สำนักเหอฮวนผู้นั้นก่อนกล่าวต่อ “เด็กน้อยเอ๋ย ที่นี่คือสำนักเหอฮวน หนึ่งในสามสำนักใหญ่ของสำนักผู้ฝึกตนฝ่ายมาร อย่าคิดเชียวว่าขณะนี้ที่พวกนางทำกิจการอย่างสุจริตแล้วจะเป็นสหายผู้มีจิตใจดี บรรดาลูกค้าในหอนี้เป็นเพียงอาหารหอมหวานของสำนักเหอฮวนเท่านั้น ลูกศิษย์ของสำนักเหล่านั้นต่างหากที่เป็นลูกค้าตัวจริง หญิงสาวจากสำนักเหอฮวนอยู่เหนือบุรุษทั้งมวลเสียอีก แม้แต่บิดาของเจ้าที่เป็นถึงองค์จักรพรรดิยังต้องสยบอยู่แทบเท้าพวกนาง”
“นั่นหมายความว่า…” ถังรั่วเวยครุ่นคิดตามด้วยห้วงความคิดอันว่างเปล่า แต่แล้วก็หันไปต่อว่าศิษย์สำนักเหอฮวนด้วยความโกรธเคือง “เจ้าโกหกข้า!”
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้าเสียหน่อย นับรวมสิ่งที่ท่านผู้อาวุโสท่านนี้กล่าวเสริม เรื่องเหล่านั้นล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่ข้าเคยพานพบอย่างแท้จริง” ศิษย์สำนักเหอฮวนหัวเราะคิก “โอ๊ย น้องสาวท่านนี้ช่างน่าขบขันเสียจริง หากท่านเบื่อหน่ายในตัวนางแล้ว ช่วยพานางมาที่สำนักเหอฮวนของพวกเราได้หรือไม่?”
“อืม ความคิดของเจ้าไม่เลว” ไป๋ชิวหรานยกยิ้มราวภาคภูมิใจเสียเต็มประดา พร้อมยกนิ้วโป้งชื่นชมศิษย์สำนักเหอฮวนผู้นั้น “อันที่จริงข้าก็โกหกเจ้าเช่นกัน ข้าไม่ใช่คนจากสำนักผู้ฝึกมาร ทว่าข้ามาจากสำนักกระบี่ชิงหมิง และนางผู้นี้คือศิษย์สายตรงของข้า”
“สำนักกระบี่ชิงหมิง?!” ศิษย์สำนักเหอฮวนหัวเราะด้วยความขบขันอีกครั้ง “ท่านผู้อาวุโสชอบล้อข้าเล่นเสียจริง อย่ากล่าวถึงสำนักกระบี่ชิงหมิงเลย ผู้ฝึกตนของสำนักฝ่ายธรรมที่มีตราระดับสูงของสำนักฝ่ายมารในครอบครองมีเพียงคนเดียวคือ…”
ขณะกล่าวยังไม่ทันจบประโยค นางก็คล้ายจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ นางรีบกวาดสายตาสำรวจร่างกายของไป๋ชิวหรานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ประเดี๋ยวก่อน เรือนผมขาว คิ้วขาว สวมเครื่องแต่งกายอันเป็นสัญลักษณ์ของสำนักกระบี่ชิงหมิง…”
“เป็นข้าเอง ไป๋ชิวหราน” กล่าวจบแล้วไป๋ชิวหรานก็ยื่นมือออกไปตรงหน้านางอย่างอ่อนโยน “ยินดีที่ได้พบเจ้า”
เมื่อได้ยินชื่อนั้น ใบหน้าของศิษย์สำนักเหอฮวนพลันแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดจนไร้เลือดฝาด
นางไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือไปจับมือของบุรุษอีกฝ่าย มีแต่จะขยับก้าวถอยหลังไปกระทั่งสะดุดล้มลง ได้แต่นั่งตะลึงงันอยู่ตรงปากประตูแดนเริงรมย์อยู่อย่างนั้น
“หึ ๆ” ไป๋ชิวหรานเปล่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี ก่อนหันไปกล่าวกับถังรั่วเวย “ไปกันเถอะ อย่ามัวอับอายขายหน้าอยู่ที่นี่เลย ข้าเสาะหาสถานที่เพื่อฝึกประสบการณ์ให้เจ้าได้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น”
ถังรั่วเวยเดินตามไป๋ชิวหรานไปทีละก้าว ทั้งสองคนเดินออกจากตรอกอโคจรแห่งนั้นมาแล้ว ถังรั่วเวยหันกลับไปมองทิศที่ตั้งของแดนเริงรมย์อีกครั้งก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์ เหตุใดศิษย์สำนักเหอฮวนนางนั้นจึงได้เกรงกลัวท่านถึงเพียงนี้?”
“อืม ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด” ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ข้าเพิ่งจะสังหารแม่เฒ่าเจ้าสำนักเหอฮวนที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานมานี้”
“นั่นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านหรอกรึ?” ถังรั่วเวยถึงกับจะพูดคำใดไม่ออก
คนสตรีเดินติดตามไป๋ชิวหรานออกจากประตูเมืองไป
“ท่านอาจารย์ พวกเรากำลังจะไปที่ใดหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองนางแวบหนึ่งก่อนคว้าแขนเรียวงามของนางไว้
“ไปเมืองหลวงแห่งรัฐติ่งกั๋ว”
—
ภายในเขตพระราชฐานของรัฐติ่งกั๋ว เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ผู้ทรงอำนาจต่างมารวมตัวกันที่ท้องพระโรง ทว่าในยามนี้กลับไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมา
ชวีเผิง จักรพรรดิแห่งอาณาจักรติ่งกั๋ว ทรงเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในมวลมนุษยชาติภายในรัฐติ่งกั๋วหรือแม้แต่ในดินแดนชางโจว วรกายสูงใหญ่ถึงเจ็ดฉื่อ เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งอันไร้ที่เปรียบ ใบหน้าดุดันเสมือนเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ แม้แต่มนุษย์ที่ไม่ทราบถึงฐานะขององค์จักรพรรดิ เมื่อเห็นเข้าก็ยังตระหนกเสียจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
ทว่าเวลานี้ องค์จักรพรรดิผู้ทรงอำนาจพระองค์นั้นกลับนั่งสิ้นสภาพอยู่บนบัลลังก์มังกร ยกฝ่ามือขึ้นกุมหน้าอกตนเองและร้องไห้คร่ำครวญออกมา
“โธ่…ลูกข้า” จักรพรรดิชวีเผิงยกฝ่ามือขึ้นปิดบังใบหน้า หยดน้ำตาไหลรินออกมาตามซอกนิ้วอย่างไม่หยุดหย่อน
“ข้าทุ่มเทเวลากว่าครึ่งชีวิตเพื่อโจมตีเมืองอื่นเสริมรากฐานให้รัฐของเรายิ่งใหญ่เกรียงไกร เดิมทีก็หมายมั่นจะให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด ใครจะรู้ว่าวันนี้เจ้ากลับทอดทิ้งข้าไปเช่นนี้ คนผมขาวต้องมาส่งคนผมดำเสียได้”
เสียงร่ำไห้ของเขาดังลั่นท้องพระโรงยิ่งกว่าเก่า ขันทีสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบเข้าไปประคองเขาไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าไม่กล้าเปล่งเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา
ท้ายที่สุดขณะที่บรรยากาศโดยรอบตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ผู้กล้าคนหนึ่งก็ก้าวออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ฝ่าบาท” เขาก้าวออกมาจากแถวขุนนางก่อนโค้งคำนับจักรพรรดิชวีเผิง พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อกล่าววาจาโน้มน้าวให้ฝ่ายองค์เหนือหัวตัดอกตัดใจ “กระหม่อมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง…”
“แสดงความเสียใจงั้นรึ?!” ขณะที่จักรพรรดิชวีเผิงกำลังกังวลว่าควรระบายอารมณ์โศกเศร้าของตนอย่างไรดี ผู้กล้าคนนี้กลับหันหน้าเข้าหาปลายกระบี่ของเขาเสียเอง เขาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าก่อนตวาดลั่นด้วยอารมณ์โทสะ
“ช่างกล่าวออกมาได้ง่ายนัก! ผู้ที่ตายใช่ลูกชายของเจ้าเสียเมื่อไรกัน!” ว่าแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประกาศก้องอีกครั้ง “ทหาร จับตัวบุตรชายของเสนาบดีกรมพิธีการผู้นี้มาสังหารเสีย!”
“หา?!” เสนาบดีกรมพิธีการผู้กล้าหาญเดินออกมาต่อหน้าพระพักตร์พลันตื่นตระหนกสุดขีดจนใบหน้าซีดเผือดเสียยิ่งกว่ารำข้าว
ถึงกระนั้นก็ไร้ประโยชน์ ขันทีทั้งสองเดินลงจากตำแหน่งเพื่อสนองตอบต่อราชโองการเสียแล้ว สหายขุนนางร่วมท้องพระโรงที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างมองเขาด้วยความชื่นชมระคนเห็นใจ
ในฐานะเสนาบดีกรมพิธีการ แม้มียศสูงเป็นขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนัก ทว่าเขาไม่บังอาจขัดขืนการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิชวีเผิง หากตอนนี้เขาเผลอหลุดปากเอ่ยคำว่า ‘อย่า’ แม้สักครึ่งคำ เกรงว่าจักรพรรดิชวีเผิงผู้ทรงอำนาจเหนือใต้หล้าคงทุบศีรษะของเขาจนแหลกละเอียดด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียว
“โอ้” ครั้นเห็นเสนาบดีกรมพิธีการรีบถอยกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมในแถวขุนนางทั้งที่ใบหน้าขาวซีด แม้ไม่เห็นชอบด้วยทว่าไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด จักรพรรดิชวีเผิงจึงยกมือขึ้นกุมหน้าอกตนเองอีกครั้งก่อนผ่อนลมหายใจยาว
“ตอนนี้ข้ารู้สึกผ่อนคลายลงบ้างแล้ว จริงสิ เรื่องการจับกุมฆาตกรที่ลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทมีความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“กราบทูลฝ่าบาท” เสนาบดีกรมอาญาที่รับผิดชอบกำกับดูแลเรื่องดังกล่าวก้าวออกมาจากแถว จากนั้นจึงก้มศีรษะลงต่ำเสียจนเกือบอยู่ในระดับเดียวกันกับบั้นเอว “กระหม่อมและคณะไร้ความสามารถ เรื่องการลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาท ยัง…ยังไร้ซึ่งเบาะแสพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพวกแมลงไร้ประโยชน์!” จักรพรรดิชวีเผิงตบพนักวางแขนของบัลลังก์มังกรเสียงดังลั่น กระทั่งขันทีทั้งสองที่ยืนขนาบซ้ายขวาตื่นตกใจเสียจนหดกายให้เล็กลงเพราะความหวาดกลัว
“เงินรางวัลที่ข้าเป็นผู้เสนอเล่า? เหล่าจอมยุทธ์ที่อวดอ้างว่าตนมีทักษะวิทยายุทธ์แกร่งกล้าสูงส่งมีความคืบหน้าบ้างหรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเสนาบดีกรมพิธีการสั่นเครือเล็กน้อย “เหล่าจอมยุทธที่อาสารับจัดการเรื่องดังกล่าว จนป่านนี้แล้วยังไม่หวนกลับมาเลยสักคนเดียว…”
“บัดซบ!” โทสะของจักรพรรดิชวีเผิงพุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสุด “ในเมื่อคนในยุทธภพยังจัดการกับมันไม่ได้ เช่นนั้นก็เพิ่มจำนวนเงินรางวัลของข้าเข้าไปอีก! เชิญผู้ฝึกตนขั้นสูงมาเสีย! ของเซ่นไหว้เล่า? เครื่องสังเวยที่ข้าสั่งให้ตระเตรียมไว้อยู่ที่ไหน?! เรียกพวกเขาให้มาตรวจสอบเรื่องนี้!”
“ทว่าฝ่าบาท หากจะเชิญบรรดาผู้ฝึกตนที่มีขั้นการบำเพ็ญเพียรสูงส่งนั้น คงต้องจ่ายเป็นจำนวนไม่น้อย…”เสนาบดีกรมอาญายังคงลังเล
“รัฐติ่งกั๋วของข้ามิได้ขาดแคลนเงินตราใด ๆ! เพิ่มเงินรางวัลเสีย!” จักรพรรดิชวีเผิงตรัสด้วยความกริ้ว
“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ ข้าจะสับร่างผู้ที่สังหารองค์ชายรัชทายาทออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้นให้จงได้! ไปจัดการเดี๋ยวนี้!”