ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 37 จั่วเหยียนเฟยแห่งกองทัพเทพยุทธ์
บทที่ 37 จั่วเหยียนเฟยแห่งกองทัพเทพยุทธ์
ณ เมืองหลวงแห่งรัฐติ่งกั๋ว ประตูเมืองไป๋หยวน
ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยเดินทางมาถึงรัฐติ่งกั๋ว เมืองที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนชางโจวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เมืองนี้กว้างใหญ่กว่ารัฐซ่างเสวียนของข้าเสียอีก” ถังรั่วเวยถอนหายใจพลางกวาดสายตามองอาคารที่ก่อสร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรมของติ่งกั๋วที่เรียงรายอยู่รอบด้าน
“แน่นอน กู่โจวแบ่งย่อยออกเป็นสิบรัฐ ทว่าชางโจวแบ่งออกเพียงสามรัฐเท่านั้น หากกล่าวถึงความแข็งแกร่งแล้วย่อมเหนือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย” ไป๋ชิวหรานกล่าวขณะเดินไปข้างหน้า “อ้อ ถึงอย่างไรก็เถอะ รั่วเวย ต่อจากนี้ไปประสบการณ์การฝึกตนของเจ้านับว่าเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะไม่ช่วยเหลือเจ้าอีก เรื่องทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า”
“ท่านอาจารย์ เช่นนั้นมุ่งหน้าไปยังพระราชวังดีหรือไม่?” หญิงสาวเวยเอ่ยถาม
“ไม่รู้สิ” ไป๋ชิวหรานตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ย่อมได้” เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีเย็นชาเช่นนั้น ถังรั่วเวยจึงกล่าวกับตนเอง “พวกเราเข้าไปที่พระราชวังกันเถอะ”
ในฐานะที่เคยเป็นองค์หญิง พระราชวังจึงเปรียบเป็นสถานที่คุ้นเคยสำหรับถังรั่วเวย ดังนั้นต่อให้เดินทางมาไกลถึงต่างแดน นางก็สามารถเสาะหาตำแหน่งพระราชวังของรัฐแห่งนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น หลังจากมองซ้ายขวา ถังรั่วเวยก็เดินรุดไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ส่วนไป๋ชิวหรานเพียงเดินติดตามไปโดยไม่พูดจา ราวเป็นวิญญาณที่อยู่ด้านหลัง
ทันทีที่มาถึงหน้าพระราชวังหลวง หญิงสาวถามไถ่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเพียงสองสามคนเท่านั้นก็รับรู้สถานที่ยื่นคำร้องเพื่อตามล่าตัวฆาตกรที่ลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทได้อย่างราบรื่น
เนื่องจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันได้พระราชทานรางวัลให้เป็นการส่วนพระองค์ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนจากสามสำนักเก้าสาขาจะไม่แห่แหนกันมาเข้าร่วมในครั้งนี้ บริเวณหน้าประตูยื่นคำร้องมีผู้ตรวจการคอยตรวจสอบอย่างเข้มงวด พวกเขาต้องผ่านการทดสอบเสียก่อนจึงจะสามารถเข้ารับการคัดเลือกในขั้นต่อไปได้
สำหรับถังรั่วเวยที่เพิ่งจะบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานได้ไม่นานมานี้ นี่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย นางเพียงปล่อยกระบี่บินคุนหลิงของตนออกไป แล้วควบคุมให้มันบินวนฉวัดเฉวียนไปโดยรอบ ผู้ตรวจการสองคนนั้นก็ตื่นตะลึงและต้อนรับนางเข้าไปด้านในอย่างนอบน้อม
ด้านหลังประตูเป็นลานเฉลียง กลางลานนั้นนอกจากถังรั่วเวยและไป๋ชิวหรานแล้วยังมีคนอีกหลายคน
หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจดู คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุเพียงขั้นกลั่นลมปราณ ทว่านอกจากนางแล้วยังมีผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นสร้างรากฐานอีกหลายคนทีเดียว อย่างเช่นพี่สาวตรงนั้นที่สวมใส่ชุดเกราะอย่างองอาจ มัดผมดำขลับผมยาวสลวยให้รวบตึงเป็นหางม้า รวมถึงชายหญิงสองคนที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน ผู้ฝึกตนมีความสามารถเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ ดังนั้นใบหน้าของผู้ฝึกตนเหล่านี้จึงไม่ย่ำแย่ไปกว่ากันเลย
ขณะที่ถังรั่วเวยก้าวเข้ามา ผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็สังเกตเห็นนาง ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ หันมามองแล้วก็ถอนสายตากลับไปไม่คิดสนใจนางอีก แต่พี่สาวที่มีท่าทีองอาจห้าวหาญผู้หนึ่งนั้นกลับเดินตรงเข้ามาหานาง
“สวัสดี” พี่สาวผู้รวบผมเป็นหางม้ายื่นมือออกไปตรงหน้าถังรั่วเวย “แม่นางผู้นี้มาจากสำนักกระบี่ชิงหมิงใช่หรือไม่?”
ถังรั่วเวยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปมองไป๋ชิวหรานโดยสัญชาตญาณ ทว่าไป๋ชิวหรานกลับเงยหน้าขึ้นมองเสาสีแดงที่อยู่ด้านข้าง ซ้ำปากยังผิวปากแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นสายตาที่ส่งมาจากลูกศิษย์ของตนเอง
ถังรั่วเวยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเพิ่มความระมัดระวังในใจ ก่อนยื่นมือไปจับมือของพี่สาวนางนี้ไว้ตามมารยาท
“ใช่ ข้าถังรั่วเวย ศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิง ไม่ทราบว่าพี่สาวท่านนี้…”
“ทหารชั้นหนึ่งแห่งกองทัพเทพยุทธ์ จั่วเหยียนเฟย” พี่สาวผู้องอาจชูตราสัญลักษณ์ขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มตอบ
“ที่แท้ก็เป็นคนจากกองทัพเทพยุทธ์นี่เอง” ถังรั่วเวยมองตราสัญลักษณ์แล้วพบว่าเป็นของจริงจึงยิ้มตอบก่อนเอ่ยต่อว่า “ได้ยินชื่อเสียงอันลือเลื่องมานานแล้ว”
กองทัพเทพยุทธ์ฟังแล้วคล้ายเป็นชื่อของกองกำลังสักแห่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือหนึ่งในห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรม เช่นเดียวกันกับสำนักกระบี่ชิงหมิง
ห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรมต่างมีข้อโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป สำนักกระบี่ชิงหมิงซึ่งนำโดยเจวี๋ยอวิ๋นจื่อแทบไม่มีความสามารถในการโจมตีในระดับเดียวกัน ผู้ฝึกตนที่เก่งกาจหน่อยก็สามารถเอาชนะเขาได้แล้ว ส่วนอีกสี่สำนักที่เหลือ สำนักเถียนเชิงนั้นแข็งแกร่งที่สุด สำนักหยวนฝ่ามีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด หอหยกแห่งเซียนตูร่ำรวยที่สุด และกองทัพเทพยุทธ์เป็นสำนักที่มีจำนวนศิษย์มากที่สุด
สำนักนี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยแม่ทัพเผ่ามนุษย์ที่รอดชีวิตจากสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารเมื่อนานมาแล้ว ส่วนชื่อของสำนักถูกตั้งขึ้นในช่วงหลังของสงคราม ขณะนั้นสำนักถูกศัตรูรบกวนจนต้องจัดรูปแบบต่อสู้ให้เป็นเหมือนกองทัพทหาร
การแบ่งลำดับขั้นภายในและการบริหารจัดการสำนักนี้ล้วนใช้ระเบียบตามแบบฉบับของกองทัพเต็มรูปแบบ วิชาหลักที่ศิษย์ของสำนักจำเป็นต้องศึกษาคือกฎหมายทหารและจัดรูปกระบวนแนวรบ ทว่าวิชายุทธ์และกระบวนท่าฝึกฝนต่าง ๆ ก็ได้ร่ำเรียนเช่นเดียวกันกับสำนักผู้ฝึกตนอื่น พวกเขาล้วนมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา กล้าหาญ และขยันขันแข็ง
ภายในกองทัพเทพยุทธ์ นอกจากธงเพื่อแบ่งแยกกองพันต่าง ๆ แล้วแทบไม่มียุทธภัณฑ์เวทเลย พวกมันถูกแทนที่ด้วยอาวุธชั้นเซียนที่ทรงพลังกว่าอาวุธในโลกมนุษย์หลายเท่า ศิษย์จากกองทัพเทพยุทธ์ต่างฝึกฝนตามวิถีของแม่ทัพในโลกมนุษย์ ทั้งใช้มีด หอก ขวาน และอาวุธที่เอื้ออำนวยต่อการต่อสู้ในระยะประชิด
วิธีการต่อสู้เช่นนี้ ทำให้มนุษย์ที่ลงหลักปักฐานอยู่ใกล้กันกับที่ตั้งค่ายกองทัพเทพยุทธ์ต่างเรียกขานพวกเขาว่า ขุนพลเทพ
“โชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสได้พบกัน ข้าเองก็ชื่นชมสำนักกระบี่ชิงหมิงมานานพอสมควรแล้ว” จั่วเหยียนเฟยยกยิ้มก่อนหันไปมองไป๋ชิวหรานที่ยืนอยู่ด้านหลังของถังรั่วเวย “คนผู้นั้นคือศิษย์น้องของเจ้าหรอกหรือ?”
“เอ่อ เขา…”
ขณะที่ถังรั่วเวยยังลังเล ไป๋ชิวหรานก็หันหน้ากลับมาตอบกลับพร้อมเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและไร้พิษภัย
“ใช่แล้วพี่สาว ครั้งนี้ข้าตามศิษย์พี่หญิงออกมาฝึกฝน พรสวรรค์ของข้าโง่เขลานัก ท่านอาจารย์จึงชี้แนะว่าข้าควรติดตามศิษย์พี่หญิงออกจากสำนักเท่านั้นจึงจะสามารถแสดงฝีมือได้”
ข้าต้องพึ่งพาท่านต่างหากเล่า! ท่านจะกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร?!
ถังรั่วเวยหน้าถอดสีทันที นึกประหลาดใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้เชี่ยวชาญในการโกหกหน้าตายถึงเพียงนี้
แต่เมื่อลองคิดให้รอบคอบแล้ว ตอนที่นางได้พบกับไป๋ชิวหรานเป็นครั้งแรก นางยังตัดสินว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ผู้มีนิสัยจริงจังเคร่งขรึม ทว่าเมื่อถังรั่วเวยได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับเขา กลับพบว่าคนผู้นี้ยิ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันดีก็ยิ่งเปิดปากกว้างขึ้นเรื่อย ๆ คำพูดคำจาเต็มไปด้วยเรื่องล้อเล่นเสียเป็นส่วนใหญ่
“อืม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” จั่วเหยียนเฟยยังคงยิ้มกว้าง “พี่สาวชื่อจั่วเหยียนเฟย เจ้าเล่าชื่อแซ่ใด?”
“ข้าแซ่ไป๋ พี่จั่วเหยียนเรียกข้าว่าเสี่ยวไป๋ก็พอแล้ว” ไป๋ชิวหรานกล่าวกลั้วหัวเราะ
ตอนนี้ถังรั่วเวยยืนอยู่ด้านหลังจั่วเหยียนเฟย มองฉากตรงหน้าพลางเผยสีหน้าซับซ้อน นึกอยากเอ่ยบางสิ่งแต่ก็ยับยั้งเอาไว้
“หืม?” ครั้นสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของถังรั่วเวย จั่วเหยียนเฟยก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวกับถังรั่วเวยว่า “ดูเหมือนว่าศิษย์น้องไป๋ผู้นี้คงสำคัญต่อแม่นางถังมากทีเดียว…”
“เรียกข้าว่ารั่วเวยก็พอแล้ว” คนองค์หญิงถอนหายใจยาวก่อนกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาพอประมาณ “พี่จั่วเหยียนเฟย ท่านเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว แท้จริงแล้วไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดเลยสักนิด…”
ไป๋ชิวหรานช่วยอธิบายแทนนาง “พี่สาวจั่ว ศิษย์พี่หญิงของข้าเพิ่งเข้ารับการฝึกฝนเคล็ดวิชาพิเศษ บางครั้งการไหลเวียนของพลังลมปราณภายในร่างอาจส่งผลต่อสติปัญญาเป็นครั้งคราวจน… เกิดความเอื่อยเฉื่อยเล็กน้อย รอให้นางฝึกฝนจนสำเร็จเสียก่อนคงดีขึ้น”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” จั่วเหยียนเฟยพยักหน้าคล้ายจะเข้าใจแต่ยังสับสนอยู่บ้าง “สมแล้วที่เป็นเคล็ดวิชาของสำนักกระบี่ชิงหมิง ข้าไม่เข้าใจความซับซ้อนนี้เอาเสียเลย”
ขณะนั้นเองคนของราชวงศ์ติ่งกั๋วก็มาถึง ชายชราคนหนึ่งสวมอาภรณ์ขุนนางสีดำปักลวดลายนกกระเรียนขาว เขาเดินเข้ามาหน้าลานเฉลียงพร้อมด้วยทหารองครักษ์สองนายที่พกอาวุธกระบี่ไว้ข้างกาย
“ข้าคือเสนาบดีกรมอาญาแห่งรัฐติ่งกั๋ว ขอคารวะความเสียสละของท่านเซียนและจอมยุทธ์ทุกท่าน” เขาประสานมือคารวะทุกคนที่มารวมตัวกันในที่นี้
“ข้าเชื่อว่าจุดประสงค์ของพวกท่านในการมาที่นี่ชัดเจนแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่ขออธิบายซ้ำให้มากความ ทางเราไม่ได้จำกัดวิธีการแต่อย่างใด ไม่ว่าพวกท่านจะรวมกลุ่มกันหรือเดินทางเพียงคนเดียวก็ย่อมได้ ขึ้นอยู่กับการจัดสรรวางแผนของพวกท่านเอง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพระราชทานรางวัลเพิ่มเติม ขอเพียงทุกท่านสามารถจับตัวฆาตกรที่ลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทได้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหรือตายก็ตาม นอกจากเนื้อหาในลำดับรางวัลก่อนหน้านี้แล้ว ท่านยังจะได้รับหญ้าเซียนระดับสาม สมบัติล้ำค่าที่เก็บรักษาไว้ในท้องพระคลังหลวงมาอย่างช้านาน ในส่วนของการระบุตัวตนของฆาตกรนั้น ท่านมหาราชครูแห่งรัฐจะเป็นผู้ตัดสิน อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ เงื่อนไขเป็นเช่นนี้”