ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 379 ถ้าเช่นนั้นข้ายินดี!
บทที่ 379 ถ้าเช่นนั้นข้ายินดี!
บทที่ 379 ถ้าเช่นนั้นข้ายินดี!
ชายชราแบกฟืน ข้าว น้ำมัน และเกลือเดินออกจากหมู่บ้านชิงสุ่ย เขาเดินไปตามถนนลูกรังในชนบท
บ้านของเขาอยู่ไกลจากหมู่บ้านชิงสุ่ยพอสมควร ซึ่งต้องเดินทางไกลกว่าสามสิบลี้เพื่อไปถึงที่นั่น เขาคือครอบครัวเดียวที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนั้น บางครั้งสัตว์ป่าในภูเขาใกล้เคียงจะบุกเข้ามาก่อกวนบ้างเป็นครั้งคราว
โชคดีที่แม้เทพกระบี่จะไร้ซึ่งเส้นเอ็นที่ข้อมือ แต่ก็ยังไม่ไร้ความสามารถเสมอไป เช่นนั้นจึงจัดการกับเหล่าสัตว์ป่าในหมู่บ้านได้ แต่การจะกลับไปแข่งขันในงานประชุมสมาคมกระบี่นั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน
หลังจากเดินมาครึ่งทาง จู่ ๆ ก็มีเด็กชายอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีถือกระบี่ไม้ไผ่อยู่ในมือ และกำลังฝึกวิชากระบี่อยู่กลางถนน
เก่งกาจตั้งแต่อายุยังน้อย…
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ในใจ เขาเหลือบมองเด็กชายอย่างสบาย ๆ แต่จู่ ๆ เขาก็พลันขยับร่างกายไม่ได้!
“นั่น… มันคือ?”
เดิมทีเขาคิดว่าเด็กชายตัวน้อยผู้นี้จะฝึกฝนวิชากระบี่ทั่วไปที่แสนจะธรรมดา และคงจะเป็นวิชาที่นิยมใช้ในสนามรบเท่านั้น แต่ไม่ได้คาดหวังว่าฝีมือในการใช้กระบี่ไม้ไผ่ในมือของเด็กผู้นี้จะลึกซึ้งและซับซ้อนจนน่าเวียนหัว!
สิ่งที่ชายชราคลั่งไคล้หลงใหลที่สุดคือวิชากระบี่ที่ยอดเยี่ยม หากมีสตรีงดงามสวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นเต้นรำต่อหน้าเขา แล้วให้นักกระบี่ที่เก่งกาจแสดงกระบวนท่ากระบี่ต่อหน้าพร้อมกัน แน่นอนว่าชายชราย่อมเลือกรับชมวิชากระบี่…
ท้ายที่สุดแล้ว สตรีนั้นมีสิ่งใดน่าอภิรมย์เท่ากับการฝึกกระบี่งั้นหรือ?
ในเส้นทางของวิชากระบี่ ชายชราคิดว่าตนไปสู่จุดสูงสุดของโลกแล้ว แม้แต่เทพเจ้าแห่งแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ของเจียงหู และในอาณาจักรต้าเซีย ชายชราผู้นี้ก็คิดว่าหากเป็นวิชากระบี่แล้ว เขาย่อมไม่พ่ายแพ้ผู้ใด
เขาอายุน้อยกว่า ทั้งยังคอยฝึกฝนอย่างเข้มงวด ความจริงแล้วหลังจากผ่านพ้นการต่อสู้ เขาก็พบว่าทักษะกระบี่ของตนเองยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเหล่าอาวุโสเหล่านั้นเสียอีก!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ไม่อาจหยั่งรู้ถึงทักษะกระบี่ในมือของเด็กหนุ่มตรงหน้าได้
ชายชราอดไม่ได้ที่จะวางตะกร้าไม้ไผ่บนหลังลง ก่อนจะยืนมองเด็กหนุ่มที่ฝึกฝนกระบี่ เขาทั้งตื่นเต้นระคนตกตะลึง ขณะนั้นเด็กหนุ่มก็หยุดท่วงท่า เก็บกระบี่ไม้และต้องการจากไป ชายชราจึงตื่นขึ้นจากภวังค์
“เจ้าหนู ได้โปรดอยู่ต่อ!”
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจะจากไป ชายชราก็รีบยั้งไว้
เด็กหนุ่มหันศีรษะกลับมา ชายชราได้เห็นใบหน้าของเขา นี่คือเด็กที่อายุน้อยที่สุดจากหนึ่งในสามของพวกเด็กในหมู่บ้าน
“เอ่อ… ท่าน”
ไป๋ลี่เก็บกระบี่ไม้ไผ่ก่อนจะกล่าวถามอย่างประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสมีสิ่งใดแนะนำข้าหรือไม่?”
“ข้าไม่สามารถแนะนำได้”
ชายชราผู้นี้เป็นคนสัตย์ซื่อ เขามองซ้ายแลขวา และหันมามองแขนข้างหนึ่งของตัวเองก่อนจะถอนหายใจอย่างขุ่นเคือง จากนั้นจึงตัดกิ่งไม้จากต้นไม้ริมถนนแล้วถามว่า
“เจ้าหนู ช่วยประลองกระบี่กับชายชราผู้นี้ได้หรือไม่?”
“ประลองกระบี่?”
ไป๋ลี่มองไปยังแขนขวาที่ไร้มือของชายชราด้วยท่าทีนิ่งเงียบ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด จากนั้นเหม่อมองเส้นผมอันขาวโพลน ใบหน้าซีดขาว ทั้งยังมีฟืน ข้าว น้ำมัน และเกลือบนหลัง ก่อนจะกล่าวออกมาว่า
“ผู้อาวุโส ข้าไม่สามารถทำร้ายคนพิการได้ ท่านชราแล้วยังแบกของหนัก ข้าจะต่อสู้กับท่านได้อย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้นหากทุบตีท่านจนบาดเจ็บ จากนั้นข้าต้องให้ท่านมาอยู่ที่บ้าน หุงหาอาหารให้ในอนาคต หากเป็นเช่นนั้น บิดามารดาคงทุบตีข้าจนตาย อย่างไรก็ไม่อาจประลองได้ ข้าไม่สามารถ”
“โอ้ ข้าไม่ได้ต้องการลงมือรุนแรง ข้าเพียงอยากเห็นฝีมือเจ้า”
ชายชรารีบโบกมือพร้อมกล่าวว่า
“ไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเรามาทำสัญญากันดีหรือไม่?”
เขาวางตะกร้าลง ก่อนจะหยิบตำราและพู่กันออกจากตะกร้า ก่อนจะใช้มือซ้ายเขียนอักขระอย่างบิดเบี้ยว
ไป๋ลี่ได้รับตำราจากชายชรา เขามองดูมันอย่างลังเลก่อนจะกล่าวว่า
“ผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกท่าน แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ถนัดซ้าย ดังนั้นมือซ้ายของท่านจึงไม่ใช่พลังที่แท้จริง หากเอากระบี่ในมือซ้ายมาประลองกับข้า… มันจะเป็นการหมิ่นเกียรติกันเกินไป”
“ไม่เป็นไร เจ้าเข้ามาได้เลย”
ชายชรายิ้มอย่างมั่นใจ
แน่นอนว่าเขาเห็นว่าวิชากระบี่ของไป๋ลี่มีความซับซ้อนมาก มันเหนือกว่าวิชากระบี่ที่เขาเชี่ยวชาญ เด็กคนนี้ย่อมเป็นอัจฉริยะที่ไร้เทียมทานแน่นอน ทั้งยังมีอายุอานามเพียงสิบสองปีเท่านั้น หากจะออกจากครรภ์มารดาแล้วเริ่มฝึกฝนทันที ชายชราก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่อาจเทียบเทียมกับชายชราที่หมกมุ่นกับการฝึกฝนวิชากระบี่มาตลอดชีวิตอย่างเขาได้…
ไม่ว่าวิชากระบี่จะวิจิตรงดงามเพียงใด อย่างไรก็ต้องมีพื้นฐานที่สอดคล้องรองรับ ไม่เช่นนั้นก็เป็นเพียงท่วงท่าที่เสแสร้ง ว่างเปล่า ไร้ซึ่งพลัง และไม่คู่ควร ขณะที่กำลังคิด ชายชราก็โคจรพลังปราณแก่นแท้ในร่างกายเพื่อส่งพลังปราณเข้าสู่กิ่งไม้ในมืออย่างมั่นใจ
“เอาล่ะ หากต้องการเช่นนั้น ข้าก็ยินดี”
ไป๋ลี่พยักหน้า เขาลงลายมือชื่อบนกระดาษขาว และกดลายนิ้วมือไว้ด้านข้างของชายชรา จากนั้นก็เก็บกระดาษลงไป ยกกระบี่ไม้ไผ่ขึ้น ทันใดนั้นก็ปลดปล่อยปราณจิตวิญญาณทรงพลังออกมา ซึ่งทั้งหมดนี้เหนือกว่าชายชราตรงหน้าหลายเท่า!
“เข้ามาเถิดผู้อาวุโส มาขยับออกแรงสักหน่อย”
ชายชราเห็นภาพตรงหน้าถึงกับร่างกายแข็งทื่อจนกล่าวอันใดไม่ออก
…
สองชั่วยามผ่านไป ไป๋ลี่กระชับกระบี่ในมือพร้อมสีหน้าหดหู่
ชายชราแขนเดียวมองดูกิ่งไม้ที่หักอยู่บนพื้นอย่างไร้คำพูด แต่ใบหน้าของเขาโศกเศร้ายิ่งกว่า
“โอ้ ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น เรายังไม่ได้ประลองใด ๆ เลย”
เขาส่ายศีรษะพร้อมหันมองชายชราที่บาดเจ็บ แล้วกล่าวว่า
“หากท่านยังมีมืออยู่ ท่านก็ยังสามารถต่อสู้ด้วยกระบี่ในมือที่ถนัดได้ แต่ตอนนี้ท่านเป็นเช่นนี้ จึงสามารถประลองกับเด็กน้อยเช่นข้าได้ แต่มันไม่มีประโยชน์เลยหากจะคิดเรื่องแพ้ชนะในเวลานี้ ผู้อาวุโส เว้นแต่ว่าจะสามารถหาคนรักษามือของท่านได้ เช่นนั้นจะสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้”
ไป๋ลี่เหลือบมองชายชราอีกครั้งแล้วกล่าวว่า
“น่าเสียดาย… อืม ลืมไปเถอะ ได้เวลารับประทานอาหารเย็นแล้ว”
หลังกล่าวจบ เขาออกจากที่นี่โดยไม่หันกลับมามอง ก่อนจะวิ่งเข้าหมู่บ้านชิงสุ่ยไป
ชายชราไม่ได้รั้งเขาไว้เช่นกัน ครั้นไป๋ลี่จากไป ชายชราก็ยกมือขึ้นในความเงียบงัน เขาขุดรูเล็ก ๆ บนพื้นและฝังกิ่งไม้หักไว้ในรูนั้น
หลังจากถมดินและปรับระดับหน้าดินเสร็จสิ้น เขาก็ยกตะกร้าขึ้นหลังพร้อมกับเดินตรงกลับบ้าน ความรู้สึกของเขาตอนนี้ทั้งอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวนัก
หลังจากเดินมาได้สักพัก เมื่อเห็นกำแพงดินธรรมดาของบ้านตนเอง เขาก็เห็นบุรุษผมขาวอยู่ใกล้ ๆ ที่นั่นด้วย อีกฝ่ายฝึกฝนกระบี่อยู่ในทุ่งข้างถนน
เมื่อเทียบกับไป๋ลี่แล้ว กระบี่ที่ชายผมขาวฝึกฝนนั้นคล่องแคล่วกว่านัก ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าแนวตั้งหรือแนวนอน ปราณกระบี่ตัดขาดวัชพืชรอบตัวในรัศมีหนึ่งจั้ง ทำให้ทั้งหมดกลายเป็นที่โล่งเตียนในพริบตา
ชายชราอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมอง และพบว่าวิชากระบี่ที่ชายผมขาวผู้นี้ใช้เหมือนกับเด็กคนก่อนหน้า แต่ฝีมือของชายหนุ่มกลับละเอียดอ่อนและทรงพลังยิ่งกว่า ปราณกระบี่ที่ถูกเขาควบคุมเปรียบกับแขนและขา ทั้งหมดดูง่ายดาย ภายในรัศมีหนึ่งจั้งห่างจากเขา ไม่มีผู้ใดสามารถบุกรุกเข้าไปใกล้ได้แน่นอน
ชายชราก้มศีรษะลงมองแขนที่ถูกตัดเส้นเอ็น และถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง เขาละสายตาจากชายฝึกฝนกระบี่ตรงหน้า ก่อนจะแบกตะกร้าบนหลังแล้วเดินตรงไปที่บ้าน
ทันใดนั้น เสียงกระบี่ก็เงียบสงัดลง ชายชราเกิดความประหลาดใจเมื่อเสียงโอนอ่อนดังขึ้นจากด้านข้าง เสียงนั้นถามเขาว่า
“ผู้อาวุโสหยุดมอง แต่เหตุใดไม่คิดสนใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าทักษะกระบี่ของไป๋ผู้นี้ไม่เพียงพอที่จะเข้าตาท่านผู้อาวุโส?”
ชายชราหันศีรษะไปและพบว่าชายผมขาวผู้ฝึกฝนกระบี่เมื่อครู่เป็นผู้เอ่ยขึ้น เขาถือกระบี่ไว้ข้างกายก่อนจะจ้องมองชายชราด้วยแววตาฉงน
“ไม่ เจ้ายังหนุ่มยังแน่น แต่ฝีมือกระบี่กลับอยู่ในขั้นที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ วิชากระบี่ของเจ้ายอดเยี่ยม เฉียบแหลม และดูเหมือนว่านักกระบี่ในเจียงหู และชื่อเสียงโด่งดังของเทพกระบี่ที่แท้จริงควรมอบให้เจ้าแล้ว”
ชายชรากล่าวกับเขา
“ข้าไม่ได้หยุดดูเพราะวิชากระบี่ไม่เข้าตา แต่เป็นเพราะมันลึกซึ้งเกินไป และในตอนนี้ข้าไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะได้สัมผัสมันอีกต่อไปแล้ว…”
หลังกล่าวเช่นนั้น ชายชราก็ถกแขนเสื้อก่อนจะหันหลังแล้วเดินต่อไป
“เป็นเพราะท่านสูญเสียแขนที่ถนัดไปใช่หรือไม่?”
ชายผมขาวที่อยู่ด้านหลังถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“ผู้อาวุโส หากกล่าวว่าข้ารู้จักใครคนหนึ่งที่สามารถรักษาแขนของท่านได้ ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่?”