ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 389 เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน... ก็แค่ผายลม
บทที่ 389 เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน… ก็แค่ผายลม
บทที่ 389 เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน… ก็แค่ผายลม
“ท่านอาจารย์ มีข่าวใหม่”
หลังจากไป๋ชิวหรานและไป๋ลี่ทราบข่าว สำนักอสูรโลหิตที่ตั้งอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ก็ได้รับข่าวสารจากราชสำนักด้วยเช่นกัน
เขาเปิดซองจดหมายแล้วอ่านข้อความด้านในอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเผยรอยยิ้ม
“สหายเอ๋ย” เขามองไปที่เหล่าผู้นำระดับสูงรอบ ๆ ยามเอื้อนเอ่ย “จักรพรรดิต้าเซียกำลังจะเข้ายึดครองสมาพันธ์แลกเปลี่ยนกระบี่ และมันจะถูกจัดขึ้นในปีหน้า”
“ในที่สุดราชสำนักก็คิดที่จะพูดคุยกับเจียงหูแล้วงั้นหรือ?” ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดให้ความเห็น “กลุ่มนักรบพวกนั้นย่อมไม่ยอมพ่ายแพ้ง่าย ๆ เมื่อพวกมันเผชิญหน้ากัน โลกใบนี้จะถูกแบ่งแยกอีกครั้ง อาณาจักรต้าเซียจะพบกับความวุ่นวาย แล้วเทพเจ้าที่แท้จริงของพวกเราย่อมมีความสุข”
“นั่นคือประเด็นแรก สิ่งที่ข้าต้องการจะกล่าวคราวนี้คือเรื่องของสมาพันธ์แลกเปลี่ยนกระบี่ พวกเรามีบางสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน”
เจ้าสำนักกล่าวต่อ
“บางทีพวกเจ้าอาจไม่ทราบว่าเมื่อครั้งที่ข้าสวดภาวนาเมื่อไม่กี่วันก่อน เทพเจ้าของเรากล่าวว่ามีพระเจ้าจอมปลอมจากโลกภายนอกนามว่าเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานถือกำเนิดขึ้น และมันผู้นั้นเกลียดชังอสูรโลหิตแห่งความตายของพวกเรา และเทพเจ้าของข้ากล่าวเอาไว้อีกว่า ผู้ใดที่ได้พบเจอกับผู้ศรัทธาสายตรงของเทพเจ้าจอมปลอมตนนั้น จงสังหารมันอย่างไร้ความปรานี!”
“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน?”
เจ้าสำนักเอ่ยต่อไป
“มันคือเทพเจ้าจอมปลอมแบบใดกัน? หน่วยข่าวกรองของข้าบอกว่าราชวงศ์และราชสำนักของอาณาจักรต้าเซียกำลังมุ่งมั่นส่งเสริมความศรัทธาของพวกเขาให้แพร่หลายในหมู่ประชาชน”
“เป็นเช่นนั้น แต่ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการศรัทธาคราวนี้มิใช่ผู้เลื่อมใสในสวรรค์ ทว่าเป็นทวยเทพตนอื่น ๆ ภายใต้อำนาจของมัน”
เจ้าสำนักพยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้าศึกษาคำสอนของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานมาแล้ว สิ่งสำคัญที่พวกเขาให้หมกมุ่นคือการยกระดับการฝึกฝนและเปลี่ยนแปลงชีวิต สำหรับคนทั่วไปแล้ว ประโยชน์ของการศรัทธาเขานั้นด้อยกว่าเทพเจ้าองค์อื่นภายใต้คำสั่งเขาเสียอีก เช่นนั้นในสมาพันธ์กระบี่คราวนี้ ผู้ที่ศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานจะต้องเข้าไปเผยแพร่เพื่อเทพเจ้าของพวกเขาแน่นอน พวกเราก็จะไปด้วยเช่นกัน เพื่อขัดขวางการกระทำนั้น จงทำลายเทพเจ้าจอมปลอมให้สิ้นซากเสีย”
“ข้าว่านี่คือการกระทำที่เกินกว่าเหตุ”
มีบางคนกล่าวขึ้นมาท่ามกลางหมู่ผู้คลั่งไคล้ระดับสูง
“สำหรับพวกเรา วิธีที่สร้างผลกำไรมากที่สุดคือรอให้พวกเขาแข่งขันกันเองจนล้มลง จากนั้นเราค่อยกอบโกยกำไรภายหลัง”
“ที่เจ้ากล่าวมาก็ถูกต้อง” เจ้าสำนักพยักหน้าให้เขา “แต่อสูรโลหิตแห่งความตายกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ที่เข้าร่วมครั้งนี้จะได้รับการ ‘เลื่อนขั้น’ และหลังความตายจะสามารถเข้าสู่อาณาจักรแห่งทวยเทพ… พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เหล่าศิษย์ระดับสูงทั้งหมดสบตากันอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ต้องไปสิ เหตุใดจึงไม่ไป?”
พวกเขาเข้าร่วมสำนักแห่งนี้ และต่อสู้มาตลอดชีวิตเพื่อสิ่งใด? ก็เพื่อให้ได้รับความเมตตาที่เที่ยงแท้จากเทพเจ้า เพราะต้องการเลื่อนขั้นหลังความตาย พวกเขาต้องการขจัดความทุกข์ยากและเข้าสู่อาณาจักรแห่งทวยเทพ ทั้งหมดก็เพื่อมีชีวิตสนุกสนานไปตราบชั่วนิรันดร์มิใช่หรือ?
แม้ว่าแผนการนี้จะเสี่ยงตายนัก แต่ตราบใดที่มีโอกาสได้เลื่อนขั้น ลูกศิษย์ทั้งหมดจึงไม่คิดลังเล และไม่มีผู้ใดหวาดกลัวผลที่ตามมา
“อืม ดูเหมือนว่าความศรัทธาของพวกเจ้าจะมั่นคงไม่น้อย”
เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของฝูงชน เจ้าสำนักจึงกล่าวอย่างพึงพอใจ
“และขอให้สหายทุกท่านอย่าได้กังวลใจ เพื่อให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วง เทพเจ้าของพวกเราจึงออกคำสั่งให้พวกเจ้าทั้งหมดไปตระเตรียมเครื่องหอมบูชาโลหิตให้ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อเปิดประตูอาณาจักรแห่งทวยเทพให้กับเทพเจ้าของพวกเรา เพราะมีบางสิ่งที่จะมอบให้กับเรา เมื่อเราถือสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้ว เหล่าผู้ศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเศษฝุ่น”
หลังจากเจ้าสำนักที่เป็นตัวแทนของอสูรโลหิตแห่งความตายกล่าวจบ บรรดาลูกศิษย์จึงเริ่มดำเนินการในทันที
นับตั้งแต่ก่อสร้างสำนักอสูรโลหิตแห่งความสุขขึ้นมา การสังเวยโลหิตที่ใหญ่ที่สุดครั้งสุดท้ายคือเมื่อครั้งที่อสูรโลหิตแห่งความตายได้ต่อสู้กับกองทัพจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรต้าเซีย
การสังเวยโลหิตต้องใช้พลเรือนหลายหมื่นคน นำไปสู่ความจริงที่ว่าเวลานั้น ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็ก ๆ หรือภายในเมืองจำนวนหนึ่งถูกปล้นสะดมไปหมดสิ้น ด้วยการสังเวยอันมหาศาลเช่นนี้ อสูรโลหิตแห่งความตายจึงประสบความสำเร็จในการออกจากเขตแดนแห่งจิตสำนึกได้สำเร็จ จากนั้นจึงเป็นผู้นำการต่อสู้ด้วยตนเอง
อสูรยักษ์ทุกตนล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังต่อสู้เกินขีดจำกัด หากอยู่ในเขตแดนแห่งจิตสำนึก แม้แต่เทพเจ้าแห่งแผ่นดินระดับสูงสุดห้าคนก็ยังไม่อาจเอาชนะอสูรยักษ์ได้
และแม้พวกมันจะถูกปราบปรามในโลกมนุษย์ อสูรยักษ์เหล่านี้ยังมีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นการกลั่นลมปราณระดับเก้า เมื่อพวกมันเข้าสู่สนามรบแล้ว มันไม่ต่างอะไรจากเครื่องจักรสงครามที่พร้อมกวาดล้างทุกสิ่ง
แต่ในท้ายที่สุด การก่อกบฎภายในของสำนักอสูรโลหิตแห่งความสุข และอสูรยักษ์ที่ไม่ยอมเชื่อฟัง เครื่องจักรสงครามเหล่านี้จึงพ่ายแพ้ให้กับจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรต้าเซียในขณะนั้น สุดท้ายสำนักอสูรโลหิตแห่งความสุข ที่เคยอยู่ในจุดสูงสุดถึงกับถูกทำลายจนหมดสิ้น และผู้คนที่ศรัทธาทั้งหมดต่างกระจัดกระจายกันออกไปในดินแดนตะวันตกแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ในดินแดนตะวันตก สำนักอสูรโลหิตแห่งความสุข สามารถจับชาวบ้านหลายหมื่นคนได้ง่ายดายกว่าตอนที่พวกเขายังคงอำนาจอยู่
แท้จริงแล้ว ก่อนหน้านั้นดินแดนแห่งนี้เคยเกิดความวุ่นวายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรใหญ่ที่รู้จักกันในนามแคว้นต้าฉินช่วงปีแรก ๆ บนผืนแผ่นดินนี้ เปรียบได้กับอาณาจักรกลาง ทว่ามันไม่เคยได้กลับไปรวมตัวกับแผ่นดินใหญ่อีกเลย
เจ้าชายหลายคนถูกจับแยกออกจากกัน และจักรพรรดิก็แยกตัวออกไปอยู่ในอาณาจักรของตนเอง ทั้งหมดทำสงครามกันอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเจ้าชายภายใต้จักรพรรดิยังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเรื่องดินแดน เหล่าขุนนางก็ยังก่อกบฎด้วยการดึงพลทหารบางส่วนมาเพื่อต่อสู้กันเอง
บางครั้งพวกเขาก็ทำเพื่อยึดดินแดน บางครั้งก็ทำเพื่อเงิน บางคราก็เพื่อเกียรติยศ บางคราก็เพื่อสตรี แต่ก็มีไม่น้อยที่สร้างสงครามเพราะเพียงขุ่นเคืองกัน
สำหรับสำนักอสูรโลหิตแห่งความสุข แน่นอนว่าย่อมโหยหาเหตุการณ์เหล่านี้
ช่างง่ายดายนักที่เหล่าลูกศิษย์จะลักพาตัวใครบางคนกลับมา เมื่อมีผู้คนตายตกทุกวัน การโยนความผิดให้กับผู้อื่นจึงนำพาให้เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น ก่อนจะกลายเป็นพลังแห่งความเกลียดชังที่เหล่าอาจารย์อสูรโลหิตต้องการ
แน่นอนว่าจะต้องถูกจับได้แน่หากลักพาคนกว่าหนึ่งหมื่นคนในคราวเดียว แตกต่างจากอาณาจักรต้าเซียที่มีประชากรจำนวนมาก หากมีคนสักกลุ่มหายไปคงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
สมาพันธ์กระบี่จึงต้องรออีกหนึ่งปี และในระหว่างนั้น… สำนักอสูรโลหิตแห่งความสุข จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ภารกิจของพวกเขาสำเร็จเพื่อผลประโยชน์ที่ฝันใฝ่!
…
หลังจากความบากบั่นนับแรมปี เหล่าลูกศิษย์ของสำนักอสูรโลหิตแห่งความสุข ก็สามารถรวบรวมเครื่องสังเวยได้เพียงพอแล้ว
บางคนเป็นทาสที่พ่ายแพ้ บางคนเป็นนักโทษที่ถูกหยิบออกมาจากสนามรบ บางคนเป็นพลเรือนบริสุทธิ์ หรือแม้แต่อดีตขุนนางที่สูญเสียอำนาจ ไม่ว่าในอดีตสถานะพวกเขาจะสูงส่งเพียงใด แต่ในสายตาของลูกศิษย์ปัจจุบันของสำนักอสูรโลหิตแห่งความสุข ล้วนเป็นเพียงเครื่องสังเวยเท่านั้น
ในไม่ช้า พิธีโหดเหี้ยมก็เริ่มต้นขึ้น ผู้ที่โหดร้ายและเชี่ยวชาญในการสังหารหรือทารุณภายในสำนักเริ่มปรากฏตัว หลังจากสังหารทุกชีวิตอย่างเหี้ยมโหดแล้ว ท้องฟ้าทั้งหมดพลันปรากฏเมฆดำปกคลุมโดยสมบูรณ์
จากนั้น ก็ปรากฏรอยแยกราวพระจันทร์เสี้ยวอยู่กลางท้องฟ้า ลำแสงสีเลือดไร้ที่สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกมา มันส่องสว่างลงมาถึงแท่นบูชายัญที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
แต่สำหรับเหล่าลูกศิษย์ผู้ศรัทธา นี่คือลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพวกเขา และทั้งหมดพากันคุกเข่าลงก่อนจะแสดงความเคารพบูชาอย่างนอบน้อม
จากนั้น เมื่อความศรัทธาถูกส่งออกไป คลื่นลำแสงก็ยิ่งมากขึ้น มันยิ่งแดงฉานขึ้นจนกลายเป็นสีขาวสว่างในดวงตา มีของสิ่งหนึ่งตกลงมายังแท่นบูชายัญ
จากนั้นแสงสีเลือดค่อย ๆ จางหายไป เมฆดำสลาย ท้องฟ้ากลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
เหล่าลูกศิษย์ยืนขึ้น และพบว่ามีกระบี่ใหญ่สองมือปรากฏอยู่บนนั้น ใบมีดคมปลาบราวกับฟันปลาในแนวแทยงมุม
สายฟ้าสีเลือดเปล่งประกายอยู่บนใบมีดอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ดูทรงพลังอย่างไม่อาจคาดเดา
“นี่คือกระบี่ที่เทพเจ้าของเราประทานมาให้!”
ผู้นำสำนักเดินขึ้นไปบนแท่นบูชายัญ ยื่นมือออกไปดึงกระบี่ใหญ่ออกจากแท่น เขาสัมผัสพลังไร้ขีดจำกัดภายในทันที และรู้สึกได้ว่าเลือดของชาวต้าเซียกำลังสั่นไหวอยู่ในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง
เขากล่าวออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่เทพโลหิตเล่มนี้ ต่อให้อยู่ตรงหน้าสมาพันธ์กระบี่ก็ยังเผยรอยยิ้มได้ ส่วนเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานอะไรนั่น… ก็แค่ผายลม”