ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 390 ตามหาคนขี้แพ้
บทที่ 390 ตามหาคนขี้แพ้
บทที่ 390 ตามหาคนขี้แพ้
ต้นเดือนพฤษภาคมของปีถัดมา ณ ตู่โจว
จักรพรรดิต้าเซียถูกสำนักอสูรโลหิตแห่งความสุขลอบโจมตีระหว่างการเดินทางไปยังดินแดนทางใต้ในเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา โชคดีที่มีผู้เชี่ยวชาญเข้าช่วยเหลือ ต่อมาหลังเดือนมิถุนายน จักรพรรดิต้าเซียเชิญบุรุษสูงศักดิ์ขึ้นรับตำแหน่งมหาราชครู และกลายเป็นปรมาจารย์ขั้นเทพเจ้าแห่งแผ่นดินคนที่สี่ของอาณาจักรต้าเซียด้วย
หลังจากที่มหาราชครูผู้นี้ขึ้นสู่อำนาจ จักรพรรดิต้าเซียเริ่มเลื่อมใสศรัทธาต่อเทพเจ้านามว่า ‘เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน’
ความศรัทธาในหมู่ประชาชนจึงเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วเพราะความแข็งแกร่งของเทพเจ้าองค์นี้ ทว่าในอาณาจักรต้าเซียนั้นยังไม่พอ มันยังกระจายออกไปยังอาณาจักรยามากุจิ และอาณาจักรชางลี่ที่อยู่ใกล้เคียงด้วย
เมื่อถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม จักรพรรดิต้าเซียได้เชิญผู้นำสำนักที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในอาณาจักรมาที่เมืองหลวงเพื่อกล่าวหารือ
ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาพูดคุยกันเรื่องใด แต่หากกล่าวโดยย่อก็คือ หลังจากนี้การประชุมกระบี่ที่ถูกจัดขึ้นโดยกลุ่มต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนให้ราชสำนักเป็นผู้ดูแล
บางคนมีแรงจูงใจซ่อนเร้นในเรื่องนี้ แต่สำหรับนักสู้ในโลกแห่งการฝึกตนแล้ว มันไร้ซึ่งความแตกต่าง
อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของการเข้าร่วมสมาพันธ์กระบี่เพื่อชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งของโลกนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าชื่อเสียงและโชคลาภ มีคนเช่นเทพกระบี่หลี่เสียนจิ้งไม่มากที่เพียงแสวงหาวิถีกระบี่ และมีบางคนเข้าร่วมกิจนี้เพียงเพื่อล้างแค้นเรื่องราวในอดีต
หลังสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพสมาพันธ์กระบี่ถูกเปลี่ยนมือ หลังจากได้รับชัยชนะแล้ว ผู้คนในเจียงหูไม่เพียงประลองในสนามต่อไปเท่านั้น แต่จักรพรรดิต้าเซียผู้ยิ่งใหญ่ยังได้รับรางวัลที่สำนักใหญ่ไม่สามารถมอบให้ได้อย่างเช่นความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และโอกาสได้เข้ารับใช้ราชสำนัก
บุคคลที่ชนะในงานสมาพันธ์กระบี่ที่ราชวงศ์จัดขึ้นจะถูกเรียกขานว่าเป็นที่หนึ่งแห่งอาณาจักรต้าเซีย
ในช่วงปลายปี จักรพรรดิต้าเซียจึงออกพระราชกฤษฎีกาให้โลกก่อตั้งสถานที่สำหรับจัดงานสมาพันธ์กระบี่ที่ภูเขาหยวนชิงในตู่โจว ผู้คนนับไม่ถ้วนภายในเจียงหูออกเดินทางไปที่นั่นล่วงหน้าเพื่อจับจองสถานที่ ทำให้เมืองเล็ก ๆ ไร้ชื่อในเวลานี้กลับเจริญรุ่งเรือง และถูกประดับประดาอย่างงดงาม
และในต้นเดือนพฤษภาคม ก่อนที่การจัดงานสมาพันธ์กระบี่จะเริ่มขึ้น ไป๋ชิวหรานพาหลีจิ่นเหยา ถังรั่วเวย ไป๋ลี่ และเทพกระบี่หลีเสียนจิ้งที่ฟื้นคืนชีพเส้นเอ็นคืนมาเข้าสู่เมืองตู่โจว
คนรุ่นก่อนในหมู่บ้านชิงสุ่ยไม่สนใจเรื่องราวของสมาพันธ์กระบี่ พวกเขาอยู่ในช่วงความโกลาหล สถานการณ์บ้านเมืองยังเลวร้าย ทุกคนไม่ปลอดภัย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่คิดสนใจการแข่งขันที่ ‘ไร้สาระ’ เช่นนี้ ในทางกลับกัน วัยที่อายุน้อยลงมาสักหน่อย พวกเขาเหน็ดเหนื่อย และวางมือจากเจียงหูไปนานแล้ว เช่นนั้นจึงไม่ต้องการมีส่วนร่วมใด ๆ กับงานกิจกรรมของหมู่บ้านอีก
ส่วนผู้ที่อายุน้อยลงมาอีกก็ยังเด็กเกินไป ทารกรุ่นแรกยังโตไม่เต็มที่ แม้พวกเขาต้องการจะเข้าร่วม แต่ไป๋ชิวหรานก็ไม่คิดพามาด้วย มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่อาจอธิบายให้บิดามารดาของเด็กเหล่านั้นเข้าใจได้
ในคราวนี้ นอกจากกลุ่มสี่คนที่มาเยือนสมาพันธ์กระบี่แล้ว มีเพียงผู้เข้าแข่งขันคนเดียวก็คือ… เทพกระบี่หลีเสียนจิ้งที่มาเพื่อแก้แค้น
เทพกระบี่ผู้สัตย์ซื่อคนนี้ยังคงเต็มไปด้วยความคับข้องใจต่ออาณาจักรอย่างสุดซึ้ง เพียงแค่เขาไม่อยากกล่าวออกมา แต่เมื่อถึงเวลา… เขาจะใช้กระบี่ระบายความโกรธเกรี้ยวนี้ และเขายังต้องเผยแพร่ศรัทธาให้ผู้อื่นด้วย ซึ่งไป๋ลี่เป็นผู้ฝึกสอนเขาและยังสั่งสอนวิธีล้อเลียนอดีตสหายร่วมชาติด้วย
“เมื่ออยู่ในสนาม อย่าเร่งรีบทุบตีผู้อื่น รู้หรือไม่ว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการเฝ้ารอ? รอให้คนตรงหน้าของท่านระเบิดความคลั่งให้เสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วค่อยเอาชนะเขา… อย่างไรเสียชาวชางลี่มักจะชอบขี้โม้โอ้อวด พวกเขาจะต้องเจ็บใจจนกล่าวคำใดไม่ออกแน่นอน”
ไป๋ลี่บอกกล่าวกับหลีเสียนจิ้งขณะเดินไป
“หลังจากมันพล่ามเสร็จ ท่านก็ทุบตีมันได้ หรือหากจะใช้ศาสตร์แห่งกระบี่ทุกรูปแบบเพื่อเหยียดหยามพวกมันนั้นย่อมดีที่สุด หลังจากที่หมดสภาพก็เตะมันทิ้งไปเสีย แล้วเผยท่วงท่าที่ดุดันของกระบี่ด้วยการชี้หน้า และไม่ต้องกล่าวคำใด ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาที่ท่านต้องใช้แววตาให้ดี!”
“แต่ข้าทำเช่นนั้นไม่เป็น…” หลีเสียนจิ้งเป็นชายชราวัยห้าสิบ เขามีพละกำลังมากขึ้นหลังจากกลับมาดูแลร่างกาย แต่เขาก็ยังคงเป็นคนสัตย์ซื่อและเป็นมิตร มีใบหน้าที่ทำให้ถูกรังแกได้ง่าย “แล้วต้องทำหน้าอย่างไร ข้าก็ไม่อาจทราบ…”
“มองมาที่ข้า” ไป๋ลี่ยืดตัวขึ้นพร้อมเอามือไพล่หลัง เผยสายตาเหยียดหยามให้รับชม “มันก็จะประมาณนี้ หากฝึกฝนบ่อย ๆ ย่อมทำได้แน่”
หลีเสียนจิ้งมองไป๋ชิวหรานอย่างเคอะเขิน
“ท่านไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องนั้นจากเขา อย่างไรแล้วท่านควรจะเป็นตัวของตัวเอง ส่วนตัวเขานั้นเก่งกาจด้านการแสดง ท่านคงไม่อาจเรียนรู้สิ่งใดจากเขาได้”
ไป๋ชิวหรานกล่าวแนะนำ
“ท่านไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องเหยียดหยามผู้อื่น… ตอนนี้ท่านอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณระดับสิบ ภายใต้คำแนะนำของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน ความชำนาญกระบี่ของท่านย่อมดีขึ้นมาก ตอนนี้ไม่ว่าเทพกระบี่ชางลี่จะเป็นผู้ใด มันผู้นั้นย่อมไม่อาจต้านทานท่านได้ เพียงทำตามความรู้สึกของตนเองก็เพียงพอ”
“โอ้” หลีเสียนจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปรมาจารย์สวรรค์”
“ท่านอาจารย์ เหตุใดถึงโหดร้ายนัก” เมื่อเห็นท่าทางของหลีเสียนจิ้ง ไป๋ลี่จึงกล่าวกระซิบกับไป๋ชิวหราน “เดิมทีข้าเพียงสอนให้เขารู้สึกเยาะเย้ยเพื่อให้ชาวชางลี่รู้สำนึกเสียบ้าง”
ความคิดของหลีเสียนจิ้งที่มีต่อเทพกระบี่ชางลี่คนอื่น ๆ ในตอนนี้เกรงว่าคนเหล่านั้นจะไม่ใช่เพียงไก่อ่อน แต่อาจจะเป็นเพียงของหวานสำหรับเขาอย่างแท้จริง
“แล้วต้องแสดงใบหน้าใดต่อคนเหล่านั้น?”
ไป๋ชิวหรานถามกลับ
“พอได้แล้ว” ไป๋ลี่คิดไตร่ตรองก่อนจะตอบว่า “ข้าเพียงหวาดกลัวว่าเขาจะสังหารผู้นั้นตายตกอยู่ในสนามแข่งขัน ซึ่งมันจะไม่ส่งผลดีต่อชื่อเสียงของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ไป๋ชิวหรานกล่าวพร้อมโบกมือ “อย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรยามากุจิ”
“ใช่แล้ว ทุกคนต้องตระหนักได้ว่าเมื่อเข้าสู่สภาวะตกต่ำ พวกเขาจำต้องยอมรับ”
ทั้งกลุ่มสนทนากันมาตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงรอบนอกของประตูเมืองตู่โจว มองไกล ๆ จะเห็นว่าดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังเดินเตร็ดเตร่พลุกพล่าน ส่วนใหญ่แล้วจะมีดาบหรือกระบี่บนแผ่นหลัง ทุกคนล้วนมีร่างกายแข็งแกร่งเปี่ยมพลังปราณแก่นแท้ไหลเวียนไม่มากก็น้อย
บรรดาทหารลาดตระเวนใกล้ประตูเมือง กำแพงเมือง และเหล่าทหารที่อยู่บนถนนสวมชุดที่เป็นทางการมากขึ้น พวกเขามีมีดสั้น หอกยาวไพล่หลัง พร้อมชุดเกราะพร้อมต่อสู้
นี่คงจะเป็นกองกำลังพิเศษที่ถูกส่งมาจากจักรพรรดิต้าเซีย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจัดการและยับยั้งเหล่าผู้ฝึกตนที่โหดเหี้ยมแห่งเจียงตู
ทั้งห้าเดินไปรอบ ๆ เมืองตู่โจว พวกเขาละลายทรัพย์ไปไม่น้อยระหว่างทาง และในที่สุดก็มาถึงที่พักของเมืองตู่โจว ภายในโรงเตี๊ยมแน่นขนัดไปด้วยผู้คน หลังจากจัดข้าวของและกำลังจะออกไปรับประทานอาหาร ก็เกิดความโกลาหลเกิดขึ้นที่ประตูของโรงเตี๊ยม
ผู้ฝึกตนสองคนถือกระบี่ในมือและต่อสู้กันบนถนน ลำแสงกระบี่ฟาดฟันกันในอากาศ ปราณกระบี่ตัดผ่านถนนใกล้เคียงจนเกิดรอยลึก
ผู้คนโดยรอบดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนจากเจียงหู หรือชาวบ้านทั่วไป ทั้งหมดล้วนไม่เผยท่าทีแปลกใจกับเรื่องนี้เลย พวกเขายังคงมองว่านี่เป็นเรื่องราวน่ารับชมภายในอาณาจักรต้าเซีย ทั้งหมดล้อมรอบเป็นวงกลมและส่งเสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนาน
แต่สิ่งที่ทำให้ไป๋ชิวหรานรู้สึกประหลาดใจคือ มีเจ้าหน้าที่สองคนโผล่ออกมาจากด้านหลังของฝูงชน และทั้งหมดไม่ได้หยุดยั้งการทะเลาะวิวาทตรงหน้า ทว่าเพียงแค่รักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับชมได้รับบาดเจ็บ หลังจากชายทั้งสองต่อสู้เสร็จสิ้น ผู้แพ้จึงถูกลากออกไป
หลังจากไป๋ลี่สอบถามผู้คนแถวนั้นจึงทราบได้ว่า นี่คือการตระเตรียมของจักรพรรดิต้าเซียและมหาราชครูประจำอาณาจักรต้าเซียเกี่ยวกับงานประชุมสมาพันธ์กระบี่ที่กำลังจะถูกจัดขึ้น ดังนั้นตามนิสัยของคนเหล่านี้ พวกเขาจะกำจัด ‘คู่แข่ง’ บนเวทีของตนเองล่วงหน้า แม้กฎนี้จะไม่ถูกกล่าวถึง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบดี อย่างไรแล้วหากมีคนลงทะเบียนการแข่งขันมากเกินไป เจ้าภาพจะยิ่งรับมือได้ยาก
“น่าสนใจ เช่นนั้นนี่ก็เป็นโอกาสของเรา”
หลังจากได้ทราบความจริงแล้ว ไป๋ชิวหรานคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น
“เอาล่ะ ไปตามหาคนที่มันข่มเหงรังแกพี่ใหญ่ของเรากันเถอะ”