ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 391 เจ้าอีกแล้ว
บทที่ 391 เจ้าอีกแล้ว?
บทที่ 391 เจ้าอีกแล้ว?
ณ ป้อมรักษาความปลอดภัยของเมืองตู่โจว จินเฟิ่งหลาย ศิษย์จากสำนักดาบปีกผีเสื้อทองคำกำลังเกาศีรษะอย่างรำคาญใจ ขณะเดินออกจากศาลาว่าการประจำเมือง
เขาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและต้องจ่ายค่าปรับ เพราะตามกฎหมายของอาณาจักรต้าเซียนั้นไม่อนุญาตให้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทบนท้องถนน ห้ามก่อความรุนแรงเพื่อทำลายความสงบของประชาชน ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับเป็นเงินสิบตำลึง
เดิมทีผู้คนภายในเจียงหูจะเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน และตรอกซอกซอย แต่พวกเขาไม่อาจก่อเหตุทะเลาะวิวาทได้ เหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักต่าง ๆ จะถูกเจ้าหน้าที่เรียกพบในภายหลัง หรือยอมจ่ายเงินในทันทีเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่เหล่าผู้ฝึกตนนิรนามไร้ชื่อมักเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่ไม่อาจตามตัวพบได้
แต่เรื่องทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วย เช่น หากสร้างปัญหาภายในเมืองหลวง นั่นหมายความว่ากำลังดูหมิ่นองค์จักรพรรดิ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ไม่อาจตามจับตัวผู้กระทำผิดมาได้ พวกเขาจะถูกลงโทษจากผู้บังคับบัญชาของตนเอง
ตอนนี้แม้ว่าตู่โจวจะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีภูมิประเทศแปลกประหลาด แต่ก็เป็นเมืองที่กำหนดให้ใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานสมาพันธ์กระบี่ขึ้นภายใต้อำนาจของราชวงศ์ต้าเซีย และเร็ว ๆ นี้ยังมีข่าวออกมาว่ากลุ่มขุนนางระดับสูงก็จะมาเยือนสถานที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ข้อกำหนดการจัดการ และกำลังพลในเมืองทั้งหมดถูกเปลี่ยนแปลง ไม่เกินจริงเลยหากจะกล่าวว่านี่คือเมืองหลวงชั่วคราว!
ณ เมืองแห่งนี้ ผู้ฝึกตนไม่ใช่คนโง่เขลา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่คิดลงมือ จินเฟิ่งหลายจึงกล่าวขอโทษอย่างสำนึกผิด และยอมจ่ายค่าปรับ จากนั้นจึงเดินออกจากศาลาว่าการประจำเมืองได้
เขายืนอยู่หน้าประตูศาลาว่าการประจำเมือง ศีรษะก้มต่ำด้วยความรู้สึกหดหู่
ประการแรก เขาพ่ายแพ้การต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับซ่างเฉียน และอีกฝ่ายยังคงเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในเมืองตู่โจวแห่งนี้ ช่วงบ่ายวันนี้ทั้งเมืองตู่โจวดูจะทราบว่าทักษะกระบี่ของจินเฟิ่งหลายนั้นไม่อาจเทียบเท่ากับซ่างเฉียน ข่าวลือเหล่านี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้เขาถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันตามกฎของสมาพันธ์กระบี่ในอดีต หากยังคงดื้อด้านและลงชื่อสมัคร ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงทั้งหมดที่มีจะหายไปเท่านั้น แต่ชื่อเสียงของสำนักดาบปีกผีเสื้อทองคำก็จะพังทลายไปกับเขาด้วย
ประการที่สอง เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการประจำเมืองที่นี่เข้มงวดมาก ผู้ชนะคือราชาของผู้พ่ายแพ้ ผู้ที่สูญเสียหน้าตาทางสังคมบนท้องถนนตู่โจวไม่เพียงจะสูญเสียชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังต้องเสียค่าปรับถึงสองเท่า นี่ไม่ใช่เพียงการมอบเงินให้กับศาลาว่าการประจำเมือง แต่มันเป็นการมอบส่วนหนึ่งให้กับผู้ชนะ
จินเฟิ่งหลายใช้จ่ายเงินออกไปถึงยี่สิบสองตำลึง นี่ไม่ใช่เงินเล็กน้อยสำหรับคนธรรมดา เพราะมันสามารถใช้เพื่อตั้งถิ่นฐานได้ เงินที่ราชสำนักจ่ายออกไปเพื่อมอบให้กับสำนักต่าง ๆ นั้น แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์สายตรงของสำนักก็ไม่อาจใช้ฟุ่มเฟือยได้
แน่นอนว่าสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือการพ่ายแพ้ต่อซ่างเฉียน…
จินเฟิ่งหลายได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินตรงไปที่ร้านขายยาในเมืองตู่โจว งานสมาพันธ์กระบี่ที่กำลังจะถูกจัดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ทำให้พ่อค้ามากมายพากันเข้าสู่เมืองตู่โจว ทั้งพ่อค้ายา หรือมีคนมาตั้งโรงเตี๊ยม ซึ่งสามารถทำเงินจากสถานการณ์นี้ได้มากมาย และสิ่งสำคัญคือ การควบคุมของราชสำนัก บางคนในเจียงหูที่ชื่นชอบรังแกพ่อค้าและไม่ยอมจ่ายเงินก็จะถูกจับกุมอย่างสัตย์ซื่อ สิ่งนี้เองที่ทำให้ชาวตู่โจวทั้งหมดกล่าวยกย่องนักบุญทั้งหมดในวันนี้
เขาเดินต่อไปไม่กี่ก้าว ก็มีคนรู้จักปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ศิษย์พี่จิน”
หลินเซิง ศิษย์จากสำนักกระบี่หลัวซาในผิงโจวถือกระบี่และยืนพิงประตูร้านเล็ก ๆ ข้างถนน เมื่อเขาเห็นจินเฟิ่งหลายที่กำลังเดินเข้ามา เขาก็ยืดตัวขึ้นและร้องเรียกอีกฝ่ายในทันที
“ศิษย์พี่หลิน”
จินเฟิ่งหลายกับหลินเซิงเป็นนักกระบี่เช่นเดียวกัน อีกทั้งบิดาของเขายังคุ้นเคยกับอาจารย์ของหลินเซิง ดังนั้นหลังจากไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ทั้งสองจึงเป็นสหายที่ดีต่อกัน เมื่อเห็นหลินเซิงอยู่ที่นี่ จินเฟิ่งหลายก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
“ศิษย์พี่หลินมาที่นี่เพื่อปลอบข้าหรือไร?”
เขากล่าวถาม
“เป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินว่าท่านประลองกับคนทางเหนือของเมือง และดูเหมือนว่าศิษย์พี่จินจะไม่ใช่คนชอบสร้างปัญหา ข้าเดาว่าคู่ต่อสู้ของท่านคงจะน่ารำคาญไม่น้อย”
หลินเซิงเข้ามาพูดคุยขณะเดินไปพร้อมกับจินเฟิ่งหลาย
“ศิษย์พี่จิน… ชัยชนะและความพ่ายแพ้ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปใส่ใจเลย กล่าวตรง ๆ ว่างานสมาพันธ์กระบี่ครั้งนี้ไม่ได้ตระเตรียมไว้สำหรับรุ่นน้องเช่นพวกเรา ศิษย์พี่จินจึงไม่ควรกังวล”
“นี่… ศิษย์พี่หลินคงไม่ทราบอะไรเสียแล้ว ข้าไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องแพ้ชนะนักหรอก”
จินเฟิ่งหลายถอนหายใจ
“แต่ว่าคู่ต่อสู้ของข้า… น่ารำคาญจริง ๆ”
หลินเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ศิษย์พี่จิน เหตุใดจึงไม่รับฟังเรื่องราวของข้าก่อนล่ะ”
“เช่นนั้นศิษย์พี่หลินก็กล่าวมาเถิด”
“เรื่องนี้มาจากข้าเอง ศิษย์พี่จินคงทราบว่าในผิงโจวมีสามสำนักที่พยายามต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเมืองผิงโจว ลั่วหัวเยวี่ยนศิษย์หอพับกระบี่เป็นบุคคลที่ข้าเกลียดชังยิ่งนัก เขานำหน้าข้าไปก้าวหนึ่ง วันนั้นข้าถูกมันท้าประลองที่หน้าประตู จากนั้นก็ถูกมันสั่งสอนบทเรียนราคาแพงให้”
หลินเซิงกล่าว
“หลังจากวันนั้น ข้าจึงฝึกฝนอย่างหนัก และยังเพิ่มเวลาสำหรับฝึกกระบี่และฝึกจิตวิญญาณเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยามในทุกวัน ยกเว้นกิน ดื่ม นอน ข้าจะใช้เวลาที่เหลือฝึกฝนอยู่ในสำนัก จักรพรรดิเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในสำนักของเรา ในที่สุดสามเดือนถัดมา ข้าก็สามารถทะลวงผ่านขอบเขตความเป็นมนุษย์ได้ แล้ววันหนึ่งข้าก็ได้พบลั่วหัวเยวี่ยนอีกครั้ง”
“แล้วศิษย์พี่หลินได้แก้แค้นหรือไม่?”
จินเฟิ่งหลายถามอย่างใคร่รู้
“ไม่ ตอนที่ข้าได้พบเขา วันนั้นเขาฝึกฝนอยู่ในขอบเขตความเป็นมนุษย์มานานกว่าสามเดือนแล้ว”
หลินเซิงกล่าวด้วยใบหน้าหดหู่
“ข้าคงขายหน้าอีกครั้งหากพ่ายแพ้”
จินเฟิ่งหลายถึงกับพูดไม่ออก
“แล้วศิษย์พี่หลินคิดจะเล่าสิ่งใดให้ข้าฟังงั้นหรือ?”
“ข้ากำลังบอกว่าข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่”
หลินเซิงตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่ากังวลเลย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่เป็นไร จงพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อคุ้นชินกับมัน”
จินเฟิ่งหลายสะบัดมือของอีกฝ่ายพร้อมกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ไอ้บัดซบนั่นเคยกล่าววาจาหยาบคายต่อมารดาของข้าในที่โจ่งแจ้ง และข้าไม่อาจละเว้นมันได้ ไม่มีวันคุ้นชินกับความพ่ายแพ้หรือให้อภัยเด็ดขาด!”
“โอ้ เช่นนั้นหรือ?” หลินเซิงจับมืออีกฝ่ายพร้อมกล่าวขอโทษ “ข้าคงกล่าววาจาไม่ดีกับพี่ชายแล้ว แต่การจะนั่งกังวลต่อปัญหาเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์นัก เอาล่ะ กินยาเสร็จแล้วเราไปดื่มกันสักหน่อยดีกว่า”
“ข้าเพิ่งถูกทำร้ายมา บาดแผลยังสด แล้วข้าจะดื่มได้อย่างไร? ข้าควรรักษาบาดแผลก่อนหรือไม่?”
อีกฝ่ายถาม
“ดื่มเพื่อฆ่าเชื้อ”
ขณะพูด หลินเซิงก็ดึงจินเฟิ่งหลายตรงไปยังร้านขายยาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ทว่ากลับมีชายผมขาวรูปงามปรากฏตรงหน้าขวางทางพวกเขาเอาไว้
“เจ้าคิดทำสิ่งใด?”
หลินเซิงมองชายผมขาวตรงหน้าพร้อมกล่าวถามอย่างระมัดระวัง
“ข้าเพียงบังเอิญผ่านมา และได้ยินพี่ชายผู้นี้บอกกล่าวว่าพ่ายแพ้การประลอง”
ไป๋ชิวหรานกล่าวเสียงต่ำ
“พี่ชายผู้นี้ เคยได้ยินนามของ ‘เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน’ หรือไม่…”
“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน?”
จินเฟิ่งหลายไตร่ตรองก่อนจะตอบออกมา
“องค์จักรพรรดิเพิ่งบอกกล่าวให้พวกเราแสดงความศรัทธาต่อคนผู้นี้เมื่อเร็ว ๆ นี้หรือไม่? ข้าเคยได้ยิน แล้วเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
“โอ้ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันคุ้นเคยนัก…”
หลินเซิงมองดูฉากตรงหน้าพร้อมครุ่นคิด จากนั้นเขาก็มองไป๋ชิวหรานก่อนจะตระหนักได้ว่า
“โอ้ เสียงนี้ ข้าจดจำได้แล้ว คนบ้าที่เคยขวางทางข้าบนสะพานเมืองผิงโจว!”
เขาตะโกนเสียงดัง และคนรอบข้างทั้งหมดก็ได้ยินเสียงตะโกนของหลินเซิง ชาวบ้านทั้งหมดหันมองตามทิศทางเสียงทันที แต่หลังจากเห็นว่าทั้งสามไม่ได้ทะเลาะกัน พวกเขาก็แยกย้ายไปอย่างไม่แยแส
ไป๋ชิวหรานหดลำคอลงอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับลดเสียงต่ำลง
“สหาย โปรดให้อภัยข้าในวันนั้น”
เขากล่าวกับหลินเซิง
“คราวนี้ข้าไม่ได้มาตามตอแยเจ้า เช่นนั้นเจ้าอย่ามายุ่ง”
“แต่คนที่เจ้ากำลังวุ่นวายคือพี่ชายข้า! ข้าไม่อาจทนเห็นศิษย์พี่จินตกไปอยู่ในเงื้อมมือคนบ้าเช่นเจ้า!”
หลินเซิงจับไหล่ไป๋ชิวหรานก่อนจะกล่าวอย่างดุดัน เขาไม่รอให้ไป๋ชิวหรานได้โต้กลับ หลินเซิงก็ตะโกนเสียงดังขึ้นทันที
“พี่น้องเอ๋ย มีพวกลัทธิคลั่งอยู่ที่นี่!”