ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 4 วันนี้เป็นวันที่ดี
บทที่ 4 วันนี้เป็นวันที่ดี
มันเป็นวันที่มีสายลมโชยอ่อน บรรยากาศเช่นนี้เหมาะแก่การจิบสุราชมท้องฟ้า ทุกครั้งที่ไป๋ชิวหรานลงจากยอดเขา เขาจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะแยกตัวออกมาอยู่สันโดษ แต่เขาก็รู้สึกว่าชีวิตยังติดอยู่กับสำนักกระบี่ชิงหมิงอยู่ เวลานี้ได้ลงจากเขา จึงรู้สึกว่าเป็นไป๋ชิวหรานคนปกติมากกว่าตอนเป็นอาจารย์ลุงไป๋ชิวหรานของสำนักกระบี่ชิงหมิง
ในกู่โจวนั้นมีอยู่สิบรัฐ ส่วนรัฐที่อยู่ด้านล่างยอดเขาชิงหมิงก็คือรัฐซ่างเสวียน ภายในรัฐนี้มีวัตถุดิบสำหรับกลั่นโอสถมากมายที่เขาต้องการ
ขณะลงจากยอดชิงหมิง ไป๋ชิวหรานได้เลี่ยงเมืองเสวียนเจี้ยนและเดินไปตามเส้นทางหลักของรัฐซ่างเสวียน ถึงแม้เขาจะไม่สามารถใช้วิชากระบี่ล่องเวหาได้ แต่ก็สามารถบินบนอากาศโดยใช้ลมปราณที่ไม่สิ้นสุดผสานกับวิชาตัวเบา ทว่าเขาก็ไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่นัก
หลังจากผ่านมาสามพันปี ไป๋ชิวหรานก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการลงเขาเพื่อไปหาวัตถุดิบและกลับมาอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ที่ลงจากเขา นอกจากจะไปเพื่อหาวัตถุดิบแล้ว เขายังต้องการเดินทางเพื่อพักผ่อนกายใจไปด้วย
ดังนั้นเขาจึงไม่เดินทางโดยใช้พลังจากลมปราณ กลับกันเขาได้เดินทางลงเขาไปยังเมืองใกล้ ๆ เมืองเสวียนเจี้ยนโดยใช้ม้าพร้อมเงินที่ได้มาจากสำนัก
แต่หลังจากเดินทางมาได้ไม่นาน ไป๋ชิวหรานก็ถูกกลุ่มคนที่ดูไม่เป็นมิตรเข้าขวางทางไว้
“ขอโทษที…”
เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ดูแข็งแกร่งเหล่านี้ ไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยถามไปอย่างสุภาพ
“ทุกคนเข้ามาขวางที่นี่ เกิดเหตุอันใดขึ้นงั้นหรือ?”
“เกิดเหตุ?”
กลุ่มคนเข้ามาล้อมเขาไว้ จากนั้นชายที่ถือมีดขนาดใหญ่และแหวนทองแดงอยู่ในมือเดินเข้ามาพลางใช้ลิ้นเลียมีด
“ถูกต้อง พวกเราเห็นว่าคุณชายดูมีฐานะ พวกเราจึงต้องการจะขอยืมเงินมาช่วยดูแลป่าเขาเสียหน่อย”
“ปิดทางเพื่อปล้นงั้นหรือ?” ไป๋ชิวหรานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ทุกท่าน หากข้าจำไม่ผิดนี้คือเส้นทางสัญจรหลักของรัฐซ่างเสวียนนะ”
“ทางหลักแล้วมันทำไม?” คนที่ดูเป็นหัวหน้ากลุ่มพูดตอบ
“จักรพรรดิของซ่างเสวียนตกอยู่ในอาการวิกฤต ทหารที่ประจำการอยู่แถบนี้ถูกย้ายไปนานแล้ว หากเจ้าไม่ส่งเงินมาให้ก็อย่าหวังว่าเทพสวรรค์จะช่วยชีวิตเจ้าได้!”
สถานการณ์ของรัฐซ่างเสวียนหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ขณะมองกลุ่มโจรยืนหัวเราะอยู่รอบด้าน เขาก็แอบครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ในใจ
เขาจำได้ว่าตอนลงจากเขาเมื่อร้อยปีก่อน รัฐซ่างเสวียนเป็นรัฐที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงและประชาชนก็อยู่กันอย่างสงบสุข
แต่เดิมแคว้นกู่โจวและพื้นที่ใกล้เคียงได้รับการคุ้มครองโดยสำนักกระบี่ชิงหมิง ดังนั้นจึงไม่มีสำนักบ่มเพาะพลังอื่นกล้าเข้ามาบุกดินแดนของสำนักกระบี่ชิงหมิง
โดยทั่วไปมีเหตุผลอยู่สองประการที่พวกโจรหรือปีศาจในละแวกนี้จะจู่โจมศิษย์สำนักชิงหมิงที่ลงจากเขา หนึ่งก็คือความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในรัฐซ่างเสวียน
และอีกอย่างคือสงครามของรัฐทั้งสิบในแคว้นกู่โจว หรือความโกลาหลที่เกิดจากสงครามของชนชั้นสูง
สิ่งต่าง ๆ เช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่เข้าไปยุ่ง เพราะพวกเขาคือสำนักเพื่อบ่มเพาะพลังในวิถีสู่การเป็นเซียน ไม่ใช่มหาอำนาจในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดความโกลาหล หรือรัฐต่าง ๆ ทำสงครามกัน สำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่สนใจแม้แต่น้อย และเป็นการดีที่สุดที่พวกเขาจะไม่ยุ่งเรื่องเหล่านี้
ผู้ฝึกตนต้องไม่ยุ่งกับการต่อสู้ของมนุษย์ มันคือคำสอนของเซียนชิงหมิงที่มีต่อไป๋ชิวหราน และศิษย์คนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม หากเป็นเรื่องโจรหรือการดักปล้นสะดมจะแตกต่างออกไป ถึงแม้การแก่งแย่งชิงดีของรัฐเหล่านั้นจะไม่ใช่เรื่องของพวกเขา แต่หากมีโจรปรากฏตัวขึ้น พวกมันย่อมทำร้ายคนบริสุทธิ์และทุกคนที่ผ่านเส้นทางนี้ โดยปกติหากศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงพบโจร พวกเขาจะร่วมมือกันปราบอย่างไม่ลังเล
เมื่อนึกได้เช่นนี้ ไป๋ชิวหรานจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆ ขณะที่มือขยับไปจับด้ามกระบี่ตรงเอวและกำลังจะชักออกมา
ประกายกระบี่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ เป็นผลให้กลุ่มโจรรู้ว่าไป๋ชิวหรานคิดจะทำสิ่งใด กลุ่มโจรเหล่านั้นคิดจะสู้กลับ ดังนั้นพวกมันจึงยกอาวุธขึ้น
แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังของกลุ่มโจร
“หยุดนะ!”
เงาสีดำทะยานมาจากด้านหลัง ใครคนนั้นได้ถีบโจรคนหนึ่งที่ใกล้สุดลงไปกองกับพื้น
กลุ่มโจรถึงกับตื่นตระหนกเมื่อเห็นสิ่งนี้ ขณะเดียวกันไป๋ชิวหรานก็ได้หันไปมองผู้ที่เข้ามาช่วย
ผู้ที่ปรากฏตัวเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปี เขามีผิวสีขาว ใบหน้าหล่อเหลา และมีเส้นผมสีดำ เขารวบผมไว้ด้านหลังศีรษะและมัดด้วยผ้าสีขาว นอกจากนั้นยังสวมเสื้อผ้าสีขาวลายปักรูปเมฆพร้อมถือกระบี่ยาวสามฉื่อ*[1] อยู่ในมือราวกับเป็นเหมือนคุณชายของตระกูลสูงศักดิ์ที่ออกมาเดินเล่นตามเชิงเขา
ในเวลานี้ หนุ่มน้อยหน้าหยกได้เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ดุดัน จากนั้นจึงเริ่มตะคอกด่ากลุ่มโจร “ในเวลากลางวันแสก ๆ เช่นนี้กลับมาปิดทางเพื่อปล้นสะดม พวกเจ้าไม่เคารพกฎของจักรพรรดิแห่งซ่างเสวียนเลยงั้นหรือ!”
“กฎ?”
กลุ่มโจรมองหน้ากันชั่วครู่ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
“ช่างหัวกฎของจักรพรรดิปะไร พี่น้องพวกเราแทบจะอดตายกันหมด ใครจะมาสนใจกฎบ้ากฎบอนั่นอีก ตอนนี้แค่ทำให้ท้องอิ่มได้ก็เพียงพอแล้ว! พี่น้องทุกคน จัดการพวกมันกันเถอะ ตรงหน้านี่มันแกะอ้วนพีชัด ๆ!”
“หัวหน้า หลังจากจัดการพวกมันแล้วข้าว่าจะขออะไรสักหน่อย” โจรคนหนึ่งใช้ลิ้นเลียรอบปาก
“พวกเราไม่ได้สนุกกันมาหลายวันแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้หน้าตาหล่อเหลา บางที…”
“ไอ้บัดซบ!” หัวหน้าโจรเตะลูกน้องคนที่พูด “นี่แกต้องการจะทำอะไร? คิดว่าปล้นเงินพวกมันเรียบร้อยแล้วข้าไม่พาแกไปสถานเริงรมย์งั้นหรือ? หืม?”
“แต่พวกเรายังมีประกาศจับติดอยู่ในเมืองนะ!” โจรผู้นั้นเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ถึงแม้ทางรัฐจะไม่ส่งทหารมา แต่ในเมืองยังมีทหารอยู่ เราจะถูกสังหารหากถูกพบตัว”
หัวหน้าโจรครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และดูเหมือนจะเป็นความจริง ดังนั้นเขาจึงมองไปทางไป๋ชิวหรานพร้อมกล่าว “เอาล่ะ ลองดูให้ดีสิ ไอ้หนุ่มผมสีขาวตรงนั้นก็ดูดีไม่น้อย ไว้ข้าจะจับมันกลับไปด้วยก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของโจรทั้งสอง เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาก็เผยใบหน้าโกรธเกรี้ยวทันที แม้แต่ไป๋ชิวหรานที่ยิ้มอยู่ก็เปลี่ยนรอยยิ้มธรรมดาเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
สามพันปีในช่วงของการบ่มเพาะพลัง ถึงแม้เขาจะมีอารมณ์ที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่โกรธเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้
“พวกโจรไร้ยางอาย!”
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนจะโกรธยิ่งกว่าเขา เมื่อเห็นกลุ่มโจรพร้อมจะโจมตี เขาจึงชักกระบี่ยาวออกมาและจู่โจมก่อน
พลังปราณอันบริสุทธิ์ปรากฏออกมาจากร่างกายของเจ้าตัว และมีแสงสีทองจาง ๆ สว่างขึ้นบนกระบี่ของเด็กหนุ่ม จากนั้นเขาก็สะบัดมือปล่อยปราณสีทองพุ่งออกไปตัดหัวของโจรที่ให้คำแนะนำก่อนหน้านี้
โอ้ ดูเหมือนจะอยู่ขั้นกลั่นลมปราณเช่นเดียวกับเราสินะ
ไป๋ชิวหรานนึกคิดในใจ
ถึงแม้ขั้นกลั่นลมปราณจะเป็นทางผ่านไปสู่การบ่มเพาะพลังที่แท้จริง มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณในโลกนี้ มันยังคงมีผู้คนจากตระกูลใหญ่ ชนชั้นสูง หรือบางสำนักบ่มเพาะพลังที่เป็นยอดฝีมือในขั้นกลั่นลมปราณอยู่
เมื่อผู้ฝึกตนเข้าสู่ขั้นกลั่นลมปราณแล้ว พวกเขาจะสามารถดึงพลังปราณที่แท้จริงจากร่างกายมาใช้เพื่อจู่โจม หรือสร้างเกราะคุ้มกันให้ร่างกายได้ และความแข็งแกร่งของมันก็ยังสูงถึงสิบเท่าของพลังกายในปัจจุบัน
นี่คือลักษณะของผู้กลั่นลมปราณที่แท้จริง เช่นเดียวกับไป๋ชิวหรานที่สามารถแยกภูเขาและแม่น้ำได้ด้วยลมปราณเดียว กล่าวได้ว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่ขั้นกลั่นลมปราณไปแล้ว
ไม่นาน โลหิตได้กระเซ็นออกมาจากคอที่ไร้ศีรษะของโจรผู้นั้นก่อนจะล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นปราณกระบี่สีทองนี้ สีหน้ากลุ่มโจรถึงกลับเปลี่ยนไปทันที
“ปราณแท้จริง? มันคือผู้ฝึกตน!” หัวหน้าโจรตะโกนขึ้นดังก่อนจะวิ่งเข้าไปในป่าด้านข้างโดยไม่หันกลับมามอง “หนีเร็ว!”
กลุ่มโจรต่างพากันทิ้งอาวุธและหนีเข้าไปข้างทาง เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ทำเพียงแค่มองด้วยใบหน้าที่เย็นชา เขาไม่คิดที่จะไล่ตามต่อราวกับแค่ต้องการจะขู่พวกโจรเท่านั้น มันเหมือนกับหมาแมวที่ชอบข่มขู่อีกฝ่ายเมื่อเข้ามาในเขตแดนของตน ดังนั้นเมื่อเห็นกลุ่มโจรหนี เด็กหนุ่มจึงไม่คิดจะไล่ตาม
ถึงแม้เขาจะไม่คิดจะสังหารทุกคน แต่ไป๋ชิวหรานกลับคิดจะสังหารทุกคน
ดังนั้นขณะที่เด็กหนุ่มยืนมอง ปราณเส้นสีขาวก็ได้กวาดออกไปเป็นแนวนอนยาวถึงห้าจั้ง มันตรงเข้าไปในป่าจนปรากฏรอยกระบี่ในขั้นกลั่นลมปราณบนต้นไม้แทบทุกต้น
ไม่นานหลังจากนั้นจึงได้เกิดเสียงกระทบกันดังขึ้น ต้นไม้ที่ถูกคมกระบี่ถูกแยกออกเป็นสองท่อนและล้มลงในทันที
กลุ่มโจรเองก็ถูกปราณกระบี่นี้ฟันขาดสองท่อนเช่นเดียวกัน
[1] 1 ฉื่อ ยาวราวศอกมนุษย์ หรือใกล้เคียง 1 ฟุต