ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 40 เผ่ามาร
บทที่ 40 เผ่ามาร
“พวกเราควรกลับไปที่พระราชวังหลวงอีกครั้งหนึ่ง”
เมื่อออกจากภัตตาคารที่ผู้คนเล่าลือกันว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุ จั่วเหยียนเฟยก็เสนอขึ้น “ทหารราชองครักษ์ที่ติดตามองค์รัชทายาทในเวลานั้นจะต้องรู้แน่ว่าองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ที่ไหน เราต้องเร่งมือขึ้นเล็กน้อย ข้ากลัวเหลือเกินว่าฆาตกรอาจลงมือจัดการกับพยานเหล่านี้”
“อืม” ถังรั่วเวยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่แล้วไป๋ชิวหรานกลับยกมือขึ้น “เอ่อ ศิษย์พี่หญิง พี่จั่วเหยียนเฟย”
“หืม? ศิษย์น้องไป๋ มีอะไรรึ?” จั่วเหยียนเฟยถามอย่างนึกสงสัย
“ตอนนี้คดีดูแปลกประหลาดทั้งยังซับซ้อนขึ้นไปทุกที หากต้องเจาะลึกลงไปอีก เห็นทีข้าเองคงช่วยอะไรพวกท่านไม่ได้มากนัก” ไป๋ชิวหรานแสร้งทำเป็นกระดากอายขณะกล่าวต่อ “เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นภาระแก่พวกท่านมากไปกว่านี้ ข้าเห็นว่าตัวข้าควรแยกตัวไปสืบหาเบาะแสภายในวังหลวงเองดีกว่า”
ถังรั่วเวยเดินตรงไปหาไป๋ชิวหราน หันแผ่นหลังให้กับจั่วเหยียนเฟยก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “อาจารย์ ท่านต้องการทำสิ่งใด?”
“ข้าจะเลี่ยงไปที่อื่นเพื่อสอบถามความจากสหายของข้า” ไป๋ชิวหรานยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ทว่ากลับส่งกระแสจิตถ่ายทอดให้ห้วงความคิดของถังรั่วเวยได้รับทราบ
เมื่อคนศิษย์ได้ยินคำว่าสหาย ก็พลันนึกถึง ‘มิตรสหาย’ ที่ไป๋ชิวหรานเคยเข้าพบที่หอนางโลมอันเป็นที่ตั้งของสำนักเหอฮวน ซึ่งเขาเคยเข้าไปถามไถ่ข้อมูลก่อนหน้านี้
ในเมื่อสำนักเหอฮวนมีเพียงศิษย์ผู้หญิง คาดว่าสหายผู้นี้ของเขาก็คงเป็นสตรีอย่างไม่ต้องสงสัย ครั้นนึกถึงนิสัยโกหกปลิ้นปล้อนของศิษย์สำนักเหอฮวนแล้ว ถังรั่วเวยก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก
ถึงกระนั้นนางกลับเข้าใจเขาอย่างแจ่มแจ้ง ประการแรกนางรับปากทำภารกิจนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถทิ้งจั่วเหยียนเฟยไว้กลางทางและติดตามไป๋ชิวหรานไปยังตรอกดอกไม้ไฟได้ ประการที่สอง การลงเขาในครั้งนี้ก็เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของนางเองทั้งนั้น ตามหลักแล้วแม้แต่ไป๋ชิวหรานก็ไม่ควรตามลงมาด้วยซ้ำ
ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้นั้นประจักษ์ชัดแล้วว่าไม่ธรรมดา ในอนาคตหากไปในสถานที่อันตรายอื่นใด หากถังรั่วเวยต้องการติดตามไปก็ควรมีพลังที่แข็งแกร่งพอที่จะดูแลตนเองได้ มิเช่นนั้นการติดตามเขาไปจะกลายเป็นขวดน้ำมันหนักอึ้งที่เพิ่มความรำคาญของไป๋ชิวหรานเสียเปล่า
ดังนั้นนางจึงหยุดชะงักเพื่อครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวตอบ
“ข้าเข้าใจแล้ว ศิษย์น้องจงอยู่ที่นี่ต่อไปเถิด ปล่อยให้ข้าและพี่เหยียนเฟยจัดการสะสางเรื่องนี้เอง”
—
ภายในลานหลังเขตแดนเริงรมย์ สาวงามผมดำขลับที่สวมใส่ชุดขาวกำลังลูบไล้ไปตามสายพิณที่อยู่ตรงหน้า
เสียงพิณไพเราะแว่วเคล้าไปกับเสียงกรอบแกรบกระทบกันของใบไผ่ ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานใจ อีกทั้งเสียงพิณยังแฝงไว้ด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ทำให้ผู้คนยิ่งฟังก็ยิ่งจรรโลงใจ พลอยให้นึกสงสัยว่าผู้ที่สามารถบรรเลงเพลงพิณนี้ได้แท้จริงแล้วตัวตนเป็นเช่นไรกันแน่
ทันใดนั้นเสียงพึมพำแผ่วกลับแว่วแทรกเข้ามาตามกระแสลม ทว่าซูเซียงเสวี่ยกลับไม่หยุดบรรเลงพิณในทันที นางเพียงถอนหายใจ “ครั้งหน้าหากเจ้ามา ช่วยเข้าผ่านทางประตูมาได้หรือไม่?”
“ข้าไม่ชอบศิษย์ของท่านเอาเสียเลย พวกนางทั้งพูดมากทั้งน่ารำคาญ” สายลมอ่อนพัดโชยผ่านใบไม้ ก่อนจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างกลางลานบ้าน เผยให้เห็นเงาร่างมนุษย์ท่ามกลางสายลมนั้น
หญิงสาวสวมชุดผ้าโปร่งสีเขียว เรือนผมของนางเป็นสีเขียวมรกตเฉกเช่นเดียวกันปรากฏตัวกลางลานกว้างของซูเซียงเสวี่ย ก่อนจะโค้งคำนับซูเซียงเสวี่ยด้วยความนอบน้อม
“ไม่ได้พบเจอท่านนานมากทีเดียว องค์หญิง”
“ข้าไม่ใช่องค์หญิงเสียหน่อย” ซูเซียงเสวี่ยถอนหายใจอีกครั้ง จากนั้นจึงหยุดบรรเลงพิณ “ในเมื่อเจ้าอุตส่าห์มาถึงที่นี่ หมายความว่าพวกที่เตร่ไปมาอยู่ในรัฐติ่งกั๋วมาจากเผ่ามารจริงหรือ?”
“ถูกแล้ว ช่วงนี้พวกเราถูกส่งตัวมาที่นี่ให้กวาดต้อนพวกเผ่ามารทั้งหลายไปยังโลกอสูร” หญิงสาวผมเขียวมรกตกล่าวแล้วจึงเงยหน้ามองซูเซียงเสวี่ย “องค์…แม่นางเซียงเสวี่ย ท่านไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมจากปากชุ่ยหลัวแล้วเดินทางกลับแดนอสูรจริงหรือ?”
“ซูเซียงเสวี่ยเป็นมนุษย์หาใช่ปีศาจ เหตุใดต้องกลับไปยังโลกอสูรด้วยเล่า?” สตรีเจ้าสำนักหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาก่อนรินลงในถ้วยให้ตนเอง
“อายุขัยขององค์จักรพรรดิอสูรใกล้ถึงกาลสูญสิ้นเต็มที” หญิงสาวที่เรียกตนเองว่าชุ่ยหลัวกล่าวประโยคหนึ่งออกมา
มือของซูเซียงเสวี่ยชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวต่อไป “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้ากัน?”
“หลังจากองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์เมื่อสองพันปีก่อน จักรพรรดิอสูรก็มิได้ทรงมีรัชทายาทอีกเลย ตอนนี้จักรพรรดิอสูรใกล้สิ้นพระชนม์เต็มทีแล้ว สิบราชาแห่งโลกอสูรล้วนเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหว…”
“นั่นต้องโทษที่ตัวเขาเอง หากองค์รัชทายาทไม่สั่งการสังหารหมู่สิบครั้งในหลินโจว บรรพบุรุษของสำนักกระบี่ชิงหมิงคงไม่ลงมือสังหารเขาโดยตรง” ซูเซียงเสวี่ยกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “องค์จักรพรรดิอสูรเองก็ไม่ต่างกัน ในเมื่อเขามีนิสัยเจ้าชู้ประตูดินถึงเพียงนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่ให้กำเนิดบุตรชายอีกสองคนเล่า? รอให้เรื่องบานปลายแล้วค่อยอ้อนวอนให้ข้ากลับไปปรนนิบัติเขางั้นรึ ช่างน่าอับอายเสียจริง”
ชุ่ยหลัวถึงขั้นปริปากเอ่ยคำใดไม่ออก
“ไปเสียเถอะ เครือข่ายข่าวกรองของสำนักเหอฮวนระบุตำแหน่งของพวกอสูรเหล่านั้นไว้แล้ว ส่วนพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ที่ใดแน่ เจ้าจงออกไปทางประตูแล้วแจ้งความประสงค์ให้คนช่วยพาไปที่นั่น” ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยพลางโบกมือ “เรื่องนี้มีมนุษย์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องพัวพัน ดังนั้นข้าหวังเหลือเกินว่าเจ้าจะสงบสติอารมณ์ลงบ้าง ไม่ง่ายเลยที่ยุทธภพจะดำรงอยู่อย่างสันติสุขมานานนับสองพันปี หากเผ่ามนุษย์และเผ่ามารออกรบราฆ่าฟันกันอีกครั้ง คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฝ่ายใดทั้งนั้น”
“เช่นนั้นชุ่ยหลัวขอตัวลาก่อน” หญิงสาวผมเขียวมรกตโค้งคำนับอีกครั้ง ก่อนที่กระแสลมหมุนจะพัดพาเอาใบไม้ห่อหุ้มร่างกายของนางไว้และหายตัวไป
หลังจากชุ่ยหลัวจากไป ซูเซียงเสวี่ยก็นั่งลงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโพล่งขึ้นว่า “ออกมาเถิด นางจากไปแล้ว”
เอี๊ยด…
ทันทีที่ฝ่ายสตรีพูดจบ ไป๋ชิวหรานก็ผลักประตูเรือนเดินออกมาพร้อมลูบปลายจมูกของตนไปพลาง
“หึ ข้านึกไม่ถึงเลยจริง ๆ คนอย่างไป๋ชิวหรานก็มีวันที่ต้องหลบซ่อนจากสายตาผู้อื่นด้วยหรือนี่?”
ซูเซียงเสวี่ยเบือนหน้าไปมองเขา ดวงตาและสีหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลัวนางงั้นหรือ?”
“เปล่า ข้ายึดตามคำกล่าวของเจ้า ควรนึกถึงความสงบสุขระหว่างสองเผ่าพันธุ์เป็นหลัก” ไป๋ชิวหรานเดินไปนั่งลงตรงข้ามซูเซียงเสวี่ยอย่างไม่ค่อยพึงพอใจนัก “ถึงอย่างไรตอนนั้นข้าไม่เพียงแต่สังหารองค์รัชทายาทแห่งเผ่ามารเท่านั้น แต่ยังสังหารมารดาของนางอีกด้วย… ชุ่ยหลัวไม่ใช่อสูรที่คิดใคร่ครวญถึงผลดีและผลร้ายอย่างใจเย็นเป็นแน่”
ซูเซียงเสวี่ยหยิบถ้วยชาออกมาก่อนจะรินน้ำชาร้อนให้กับชายหนุ่มผมขาว ขณะที่ฝ่ายหลังนั้นยังคงกล่าวต่อไป “ข้าเองก็ใช่ว่าจะมีน้ำอดน้ำทนไม่สู้คนประหนึ่งพระพุทธรูปหยกเสียเมื่อไร ถูกด่าทอแล้วคงไม่พ้นตอบโต้ หากนางพบหน้าข้าจริง ข้าคงต้องต่อสู้กลับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของนาง ข้าไม่ควรปรากฏตัวต่อหน้านางถึงจะเป็นการดีกว่า”
“อันที่จริง ในช่วงระยะเวลาสองพันปีมานี้ ความเกลียดชังอาฆาตแค้นคงลดน้อยถอยลงตามลำดับไปมากโข” ซูเซียงเสวี่ยกลอกตา “หากเจ้าฟังคำแนะนำจากข้าและปล่อยให้ชุ่ยหลัวทุบตีเจ้าเสียบ้าง บางทีวันนี้เจ้าอาจจะสามารถคลี่คลายความแค้นนี้ลงได้ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าคงไม่ถูกนางฆ่าตายเป็นแน่”
“มีเหตุผลใดกันที่ข้าจะถูกนางทุบตีแล้วไม่ตอบโต้?” ไป๋ชิวหรานถามกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “นางไม่ใช่มารดาของข้าเสียหน่อย”
“ช่างเสียเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้รังเกียจสถานะของเจ้าเสียเมื่อไร” ซูเซียงเสวี่ยเอื้อมมือไปตบไหล่ไป๋ชิวหรานเบา ๆ “รักษาความสัมพันธ์ไว้ให้มั่นดีแล้ว”
ชายผมขาวจิบชาที่อยู่ตรงหน้าจนหมดถ้วย ในขณะที่สตรีคนงามเริ่มบรรเลงพิณ
“จะว่าไป เจ้าเบื่อหน่ายที่จะเล่นเกมรักและฝึกฝนวิชาให้กับลูกศิษย์เช่นองค์หญิงแห่งซ่างเสวียนแล้วหรืออย่างไร? เหตุใดจึงปลีกตัวมาพบข้าที่นี่ได้?” ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยถามขณะบรรเลงพิณด้วยความสุนทรีย์ “หรือเกิดติดใจสำนักเหอฮวนของข้าขึ้นมาเสียได้?”
“เปล่า ข้าบังเอิญพบเห็นว่าอสูรจิ้งจอกมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทแห่งติ่งกั๋ว ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อบอกเล่าให้เจ้ารู้ไว้” ไป๋ชิวหรานถอนหายใจยาว “ถึงอย่างไรก็ผ่านมานับสองพันปีแล้ว ปัจจุบันหนุ่มสาวเหล่านี้คงไม่รู้ว่าอสูรจิ้งจอกตนนี้เป็นหนึ่งในตัวแทนจากเผ่าอสูร แต่…จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็คงรู้อยู่แล้ว ข้าไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่อต้องการดื่มชากับเจ้าแน่”
“ไม่ต้องดูแลศิษย์สายตรงของเจ้าแล้วรึ?” ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยถาม
“ผู้ที่สังหารองค์รัชทายาทมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นสร้างรากฐานในช่วงปลาย อีกทั้งฝีมือของเขายังหยาบกระด้างอย่างหาที่เปรียบไม่ได้” ไป๋ชิวหรานเอ่ยตอบ “รั่วเวยมีลูกศิษย์จากกองทัพเทพยุทธ์ร่วมทางด้วย หากพวกนางสองชีวิตไม่สามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับนี้ได้ ทันทีที่ข้ากลับไปยังสำนักจะทำการลงโทษนางด้วยตนเอง เวลานี้ปัญหาเดียวที่ข้านึกหวั่น ข้ากลัวเหลือเกินว่าชุ่ยหลัวจะหุนหันพลันแล่นก่อเรื่องในอาณาเขตของเผ่ามนุษย์ หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต”
“เช่นนี้แล้วยังไม่รีบไปอีก?”
“จะรีบร้อนตื่นตระหนกไปไยกัน? รอจนรั่วเวยและสหายของนางเสาะหาที่ซ่อนตัวของเหล่าอสูรพวกนั้นให้พบเสียก่อนค่อยเข้าไปวุ่นวายก็ไม่เสียหาย” ไป๋ชิวหรานวางถ้วยชาลงก่อนจะเอ่ยถามนาง “หรือว่าท่านเจ้าสำนักซูไม่ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสเช่นข้า?”
“แน่นอนว่าข้ายินดีต้อนรับเจ้า” เสียงพิณดังก้องกังวาน พร้อมด้วยสาวงามผู้บรรเลงที่สวมใส่ชุดขาวเผยรอยยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ทำให้ผู้ที่พบเห็นอดรู้สึกหลงใหลไม่ได้
“หากเจ้าไม่นึกรังเกียจ จะอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อยก็ย่อมได้”