ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 41 การโจมตี
บทที่ 41 การโจมตี
เรื่องที่จั่วเหยียนเฟยกังวลยิ่ง ในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว
นางและถังรั่วเวยกลับมาถึงวังหลวง กล่าวอำลาไป๋ชิวหรานแล้วรีบตรงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ชวีเผิงทันที แต่เมื่อถามถึงเรื่องนี้จึงได้รู้ว่าทหารองครักษ์ที่คอยปกป้องรัชทายาทในวันนั้น ได้รับโทษหนักเพราะบกพร่องต่อหน้าที่ หลังจากถามไถ่ความเสร็จสรรพ พวกเขาจึงถูกฮ่องเต้ชวีเผิงที่โกรธถึงขีดสุดบั่นคอจนตายตกไปทั้งหมด
ด้วยเหตุดังกล่าว ฮ่องเต้ชวีเผิงจึงกล่าวขออภัยต่อจั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
“แต่หากแม่นางทั้งสองต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ ข้าพอจะคาดเดาได้เช่นกัน ทว่าไม่รู้จะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด”
ฮ่องเต้ชวีเผิงอธิบายหลังจากกล่าวคำขออภัยแล้ว
“เท่าที่รู้เกี่ยวกับอุปนิสัยของลูกชายข้า บางทีสถานที่ซึ่งเขาเสียชีวิตอาจจะไม่ใช่ภัตตาคารแห่งนั้นแต่เป็นที่อื่น”
“โอ้?”
จั่วเหยียนเฟยเอ่ยถามต่อทันที
“เหตุใดฝ่าบาททรงกล่าวเช่นนั้น?”
“โม่รั่วเป็นราชโอรสของข้า ทั้งยังเป็นองค์รัชทายาทที่ข้าแต่งตั้งมากับมือ แน่นอนว่าข้าย่อมรู้จักเขาเป็นอย่างดี”
ฮ่องเต้ชวีเผิงชะงักด้วยความลังเลไปครู่หนึ่ง
“โอรสของข้าผู้นี้ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ มีความกตัญญูกตเวที มั่นคง ความสามารถทุกสิ่งอย่างล้วนประเสริฐ ทว่าติดนิสัยเจ้าชู้เกินไปสักหน่อย ถึงกระนั้นก็ไม่คิดว่านิสัยเช่นนี้จะเป็นข้อเสียสำหรับการขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ดังนั้นด้วยอุปนิสัยแล้ว… หลังจากดูการแสดงจบแล้ว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เขาคงส่งคนไปเชิญสตรีที่ตนพึงใจไปยังสถานที่ซึ่งจัดเตรียมไว้เพื่อเลี้ยงฉลองฤดูใบไม้ผลิอย่างแน่นอน”
ได้ยินดังนั้น จั่วเหยียนเฟยก็หน้าแดงเล็กน้อย กลับกันถังรั่วเวยที่เกิดในตระกูลเชื้อพระวงศ์ สีหน้ากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยถามต่อว่า
“ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะ ว่าองค์รัชทายาทนิยมเรียกขานสตรีผู้เป็นที่โปรดปรานไปที่ใดกัน?”
“แน่นอน… ข้ารู้ ที่แห่งนั้นคือเรือสำราญอันวิจิตรที่ข้ามอบให้เป็นของกำนัลแก่เขาเนื่องในวันประสูติครบรอบสิบปี”
ฮ่องเต้ชวีเผิงตอบกลับ
“เวลานี้มันน่าจะยังจอดลอยลำอยู่ในคลอง หากพวกเจ้าต้องการไปตรวจสอบ ข้าจะส่งคนให้นำทางเข้าไป”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
…
ภายใต้การนำของเหล่าขุนนาง จั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยก็ได้เดินทางมาถึงริมคลอง และมองเห็นเรือสำราญที่องค์รัชทายาทติ่งกั๋วมีในครอบครองอยู่ไกล ๆ
ท่ามกลางลำคลองที่กว้างขวางกลางเมืองหลวงติ่งกั๋ว เรือสำราญลำนี้นับว่าโดดเด่นที่สุด มีความยาวตลอดลำประมาณห้าถึงสิบจั้ง บนเรือเป็นอาคารสามชั้น ตัวเรือส่วนใหญ่แต่งแต้มด้วยสีแดงเข้มเป็นพื้นหลังพร้อมกับวาดลวดลายสีทอง เสาระเบียงกับชายคาตกแต่งด้วยภาพเมฆ มังกร และหงส์เพลิง แสดงให้เห็นถึงฐานะอันสูงส่งของเจ้าของเรือ
บนตัวเรือยังมีช่องสำหรับให้ทหารใช้ยิงธนู หมายความว่าในช่วงเวลาคับขัน เรือสำราญลำนี้ยังสามารถแปรเปลี่ยนกลายเป็นเรือรบได้อย่างทันท่วงที!
“น่าเสียดายเหลือเกิน”
เมื่อเห็นเรืออันโอ่อ่าวิจิตรลำนี้แล้ว ถังรั่วเวยจึงได้แต่ถอนหายใจ
“องค์รัชทายาทกลับใช้เรือคุณลักษณะดีเช่นนี้แปลงให้เป็นห้องเสพสตรีเคลื่อนที่เสียอย่างนั้น”
“แค่ก แค่ก”
ใบหน้าของจั่วเหยียนเฟยพลันแดงระเรื่อ
“รั่วเวย พวกเราขึ้นไปสำรวจสักหน่อยเถิด ส่วนขุนนางท่านนี้ รบกวนท่านมาส่งถึงที่แล้ว ตอนนี้ท่านกลับไปเสียก่อนเถอะ”
ขุนนางแห่งแคว้นติ่งกั๋วโค้งคำนับก่อนจะเดินจากไป ส่วนจั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยก็พากันขึ้นไปบนเรือสำราญลำนั้น
ชั้นแรกของตัวเรือถูกตกแต่งสำหรับใช้สอยเป็นห้องโถง ส่วนชั้นที่สองดูเหมือนจะเป็นที่สำหรับรับประทานอาหาร จั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยเดินขึ้นไปยังชั้นสาม ที่นี่คือจุดที่องค์รัชทายาทแห่งติ่งกั๋วพักค้างแรมอยู่บนเรือสำราญ ซึ่งก็คือจุดเกิดเหตุที่องค์ฮ่องเต้ชวีเผิงคาดเดาไว้
“มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่จริง ๆ”
ทันทีที่เดินเข้ามา จั่วเหยียนเฟยก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ นางจึงชี้ไปที่หน้าต่างด้านซ้ายของห้องพร้อมกล่าวว่า
“หน้าต่างบานนี้มีสภาพใหม่เกินไป”
ถังรั่วเวยมองตามทิศทางที่จั่วเหยียนเฟยชี้ เป็นอย่างที่นางคาดคิดไว้ ถึงแม้บานหน้าต่างกระดาษสีแดงสดจะมีลักษณะไม่แตกต่างจากหน้าต่างอีกบานหนึ่งที่อยู่คนละฝั่ง แต่เมื่อสังเกตให้ถี่ถ้วนจะพบว่ามันต่างกันเล็กน้อย
อีกทั้งยังมีฝุ่นเกาะน้อยมาก หากเทียบกับหน้าต่างบานอื่น ๆ บนตัวเรือ
“ในเมื่อองค์ฮ่องเต้ชวีเผิงคาดเดาไว้แต่แรกแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะไม่ส่งคนให้มาตรวจสอบที่นี่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่พบถึงปัญหา ประการแรกเป็นเพราะนี่คือเรือสำราญส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาท พวกเขาจึงไม่กล้าแตะต้องสิ่งใดละเอียดจนเกินไป ประการที่สอง ในช่วงเวลาที่ว่านี้ คนร้ายจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน”
จั่วเหยียนเฟยเดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับผลักบานหน้าต่างออก เบื้องล่างตัวเรือเป็นลำคลองสีเขียวมรกต
“คนผู้นั้นคงผลักหน้าต่างบานนี้ หรือไม่ก็พังมันเพื่อบุกเข้ามา”
“พวกเราไปเสาะหาเบาะแสอื่นเพิ่มเติมกันดีกว่า”
ถังรั่วเวยเสนอ
ทั้งสองเดินสำรวจรอบห้องอีกครั้งหนึ่ง เห็นทีที่นี่คงจะได้รับการบูรณะซ่อมแซมใหม่ทั้งหมดหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น ไม่ว่าเครื่องประดับบนโต๊ะ หรือมุ้งกันยุงบนเตียงล้วนแต่จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมต่อการกลับมาใช้งานอีกครั้งตลอดเวลา
“เอ๋? นี่คือสิ่งใดกัน?”
หลังจากค้นหาจนทั่ว ถังรั่วเวยที่มีสายตาเฉียบแหลมจึงพบเข้ากับเบาะแสบางอย่างบนพื้น เป็นขนสีขาวเส้นสั้นซึ่งติดอยู่ในรอยแยกของพื้นไม้ หากไม่เพ่งสายตาอย่างละเอียดคงมองเห็นไม่ชัดเป็นแน่
หญิงสาวย่อตัวลงเตรียมจะหยิบเอาขนเส้นนั้นออกมาพินิจ
“รั่วเวย! ระวัง!”
ทันใดนั้น เสียงของจั่วเหยียนเฟยพลันดังขึ้น ถังรั่วเวยรู้สึกว่าท้ายทอยของตนร้อนวาบ จากนั้นแสงไฟพุ่งทะลุเข้ามาจากนอกหน้าต่างก่อนปักลงสู่พื้น ทำให้พื้นไม้ไหม้เกรียมเป็นสีดำสนิท
ไฟมอดดับลงโดยสมบูรณ์ เผยให้เห็นดาบบินขนาดเล็กสีแดงเพลิง
“ผู้ฝึกตนงั้นรึ?”
ใบหน้าของจั่วเหยียนเฟยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางยกชายเสื้อตัวเองขึ้น ระหว่างที่ชายผ้าปลิวสะบัดอยู่กลางอากาศ ในมือพลันปรากฏหอกสีเงินสองเล่มขึ้นมา
ดาบบินเล่มนั้นหันปลายแหลมคมกลับมาแล้วพุ่งตรงเข้าหาจั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยอย่างบ้าคลั่ง จั่วเหยียนเฟยแค่นเสียงคำรามในลำคออย่างเย็นชา พลางยกหอกสั้นทั้งสองกวัดแกว่งไปมา กระทั่งเกิดเป็นกระแสไอเย็นเฉียบ จากนั้นจึงเริ่มสู้กับดาบบินเล่มนั้นอย่างคล่องแคล่ว
หลังปะทะกันเพียงไม่กี่ครั้ง เปลวเพลิงเจิดจรัสบนดาบบินเล่มนี้ก็ค่อย ๆ ลดขนาดเล็กลง บนคมดาบบางส่วนถูกแช่แข็งด้วยความเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะขยายตัวใหญ่ขึ้นลามไปทั่วทั้งเล่ม
เสียงฟุ่บดังขึ้นพร้อมกับดาบบินเล่มนั้นที่ถูกผู้เป็นเจ้าของดึงกลับไป ขณะเดียวกันหน้าต่างทั้งสองฝั่งของตัวเรือสำราญก็ถูกฝ่ายศัตรูโจมตีจนแหลกละเอียดโดยพร้อมเพรียงกัน!
ใบหน้าของผู้จู่โจมทั้งสองสวมหน้ากากซ่อนเร้นใบหน้าเอาไว้ หนึ่งในนั้นกำลังกวัดแกว่งดาบบินไปมา ทั้งร่างมีเปลวเพลิงโหมพันอยู่ล้อมรอบ ก่อนที่จะยื่นมือออกไปโจมตีจั่วเหยียนเฟยด้วยฝ่ามือ
จั่วเหยียนเฟยไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย นางใช้หอกขวางกั้น ขับไล่ชายสวมหน้ากากออกไป จากนั้นประกบหอกสั้นสองเล่มในมือเข้าด้วยกัน จนมันแปรสภาพกลายเป็นหอกยาวสีเงิน แสงเย็นยะเยือกพุ่งออกไปตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวกับมังกร หมายจ้วงแทงผู้ฝึกตนธาตุไฟ!
ในเวลาเดียวกันนั้น ชายสวมหน้ากากอีกคนก็โถมตัวเข้าใส่ถังรั่วเวย ฝ่ามือของเขาปรากฏไอน้ำเย็นยะเยือก ดูเหมือนว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นผู้ฝึกตนธาตุน้ำ
“หึ!”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะโจมตี ถังรั่วเวยก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันหลุดออกมาจากปากเขา
พลังปราณการฝึกตนของคนผู้นี้สูงกว่าถังรั่วเวยเล็กน้อย การลงมือลอบโจมตีในครั้งนี้ คงจะเป็นเพราะนึกลำพองที่ตนเป็นผู้ฝึกตนธาตุน้ำ การต่อสู้เหนือลำคลองนี้ จึงนับได้ว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบเอื้ออำนวยให้กับเขาอย่างแท้จริง
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาคิดผิดอย่างมหันต์!
เมื่อเห็นจิตสังหารของคู่ต่อสู้ที่พุ่งทะยานเข้ามา ถังรั่วเวยจึงไม่ซ่อนเร้นกระบวนท่าอีกต่อไป และใช้เทคนิคหลบหลีกที่ฝึกฝนมาหลายปีกับแม่ลิงบนภูเขา ผนวกกับความยืดหยุ่นที่ฝึกฝนด้วยวิชาหลอมสร้างกาย ถังรั่วเวยก้มตัวลง อาศัยมุมห้องช่วยในการหักหลบเลี่ยงการโจมตีของอีกฝ่าย
จากนั้นนางก็ยึดมั่นในตำแหน่งเดิมของตนอย่างมั่นคง ก่อนจะเปิดริมฝีปากให้อ้ากว้าง
แสงสว่างวาบของดาบบินสีดำสนิทพุ่งหายไปตรงหน้า ผู้ที่ลอบโจมตีส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดก่อนจะลอยกระเด็นออกไปทางหน้าต่าง
ครั้นเห็นผลลัพธ์เช่นนั้น ผู้ฝึกตนธาตุไฟที่กำลังต่อสู้อยู่อีกฝั่งก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน เขาพลาดท่าไปเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้นจึงถูกจั่วเหยียนเฟยซัดจนกระเด็นตามออกไป
ถังรั่วเวยและจั่วเหยียนเฟยวิ่งไปที่หน้าต่าง เห็นผู้ฝึกตนธาตุไฟเหยียบดาบบินของตนแล้วรีบอ้อมไปอีกฝั่งของตัวเรือบนหางเสือ ก่อนจะช่วยเหลือสหายผู้ฝึกตนธาตุน้ำอีกคนไว้ จากนั้นจึงเหินทะยานขึ้นสูงหลบหนีออกจากบริเวณลำคลองไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง