ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 410 รวบรัด
บทที่ 410 รวบรัด
บทที่ 410 รวบรัด
ในคืนก่อนการแข่งขันกระบี่รอบชิงชนะเลิศ ไป๋ชิวหรานกลับมาที่โลกวัตถุและยืนขวางทางไป๋ลี่บนถนนของเมืองตู่โจว
เด็กชายคนนี้ทำตัวน่าเอ็นดูอยู่บนท้องถนน และขอให้เหล่าผู้ฝึกตนหญิงของเจียงหูขายของกินให้ ไป๋ชิวหรานกล่าวขอโทษสตรีผู้นั้น ก่อนจะดึงเสื้อเขาลากเข้าสู่มุมเปลี่ยว
“ท่านอาจารย์ตามหาข้างั้นหรือ?” ไป๋ลี่ถาม
“เมื่อไหร่เจ้าจะทำลายสำนักเทพโลหิตแห่งความสุข? เร็วที่สุดคือเมื่อไหร่?”
ใบหน้าของไป๋ชิวหรานหลายเป็นจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้น? ข้ากำลังจะเข้าสู่สถานที่ตั้งของพวกเขาเพื่อก่อความวุ่นวาย” ไป๋ลี่ถามอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์มีสิ่งสำคัญต้องทำในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าข้ามีสิ่งสำคัญต้องทำ… แน่นอนว่าข้าต้องทดลองเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด! จากนั้นก็ทิ้งงานที่เหลือให้กับเหล่าเซียน และกลับบ้านไปหาภรรยา รอบุตรคลอด เรื่องของข้ามีเท่านี้ แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว มันกดดันยิ่งกว่านั้น!”
ไป๋ชิวหรานตบบ่าของไป๋ลี่
“หลังจากข้ากลับไปคราวนี้… ข้าได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับรังรักของเจ้า”
“ไม่มีทาง!”
ไป๋ลี่ยิ้มและตอบกลับ
“ข้าเกิดใหม่ที่นี่เพียงสิบสองปี และยังไม่ได้สร้างโอสถทองคำด้วยซ้ำ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? ข้าสามารถใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามร้อยปีก่อนจะกลับสู่แดนเซียน!”
“ไอ้เด็กโง่! ปกติเจ้าฉลาดนักหนา แต่ตอนนี้กลับโง่เขลานัก เจ้ากำลังหลอกตนเองอยู่หรือไร?”
ไป๋ชิวหรานมองเขาด้วยแววตาสงสาร
“เจ้าคิดว่าโลกใดที่เหล่าสตรีคิดพักผ่อน? เจิ้นเทียนจะหยุดยั้งพวกเขาได้หรือ? แล้วจะกล้าหยุดยั้งสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ นั่นคือคำถาม”
รอยยิ้มของไป๋ลี่แข็งค้าง
“เช่นนั้น… พวกเรารีบทำงานกันเถิด”
ไป๋ชิวหรานโอบไหล่ของเขาพร้อมกล่าวปลอบโยน
“รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จซะ! แล้วกินอาหารที่บำรุงกำลังกาย บำรุงตับไต ดูแลร่างกายให้ดี… เอาล่ะ คิดในแง่ดี อย่างน้อยนางสนมเหล่านั้นของเจ้าก็ไม่ได้ออกไปหาชายอื่น พวกนางเฝ้ารอเพียงเจ้าใช่ไหมล่ะ?”
“เฮ้อ… ปล่อยข้าไปไม่ได้หรือ?” ไป๋ลี่กล่าวด้วยริมฝีปากแทบจะสั่นระริก “ข้ายังเป็นเด็ก!”
“ผู้ใดบอก? เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว” ไป๋ชิวหรานดุ “แล้วผู้ใดสั่งสอนให้เจ้าไปร่วมรักกับสตรีมากมายเช่นนั้น อย่าลืมว่าเจ้ามีภรรยาอีกหนึ่งคนในชาตินี้ด้วย แต่ตอนนี้ภรรยาในชาติที่แล้วของเจ้ากำลังสร้างความวุ่นวาย เจ้าต้องจัดการกับพวกนางก่อน!”
ไป๋ลี่ถึงกับพูดไม่ออก
“เอาล่ะ ข้าบอกกล่าวไปทุกสิ่งแล้ว อย่าได้กล่าวว่าอาจารย์ไม่ช่วยเหลือ”
ไป๋ชิวหรานชักมือกลับขณะกล่าวคำ
“หากท่านต้องการเร่ง ข้าก็จะเร่งด้วยเช่นกัน เมื่อการประลองของสมาพันธ์กระบี่จบลง ข้าจะไปจัดการกับเทพโลหิตแห่งความตายด้วยตนเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋ชิวหรานจึงออกจากที่นี่ และหายลับไปที่มุมถนน
…
หลังจากกล่าวคำลากับอาจารย์ ไป๋ลี่รีบกลับไปที่ ‘ป้อมปราการ’ เขาไตร่ตรองข้อดีและข้อเสียแล้วจึงใช้ทักษะพิเศษส่งสารไปยังผู้ศรัทธาเทพโลหิตแห่งความตายที่ซุกซ่อนอยู่ในเมืองตู่โจวยกเว้นผู้นำสำนัก
เวลาเที่ยงคืน… ผู้คนจากทั่วทุกมุมเมืองมารวมตัวกันในที่มั่นของไป๋ลี่ ซึ่งนี่คือที่อยู่อาศัยของเขาด้วย
ทุกคนได้มารวมตัวกันแล้ว ยกเว้นเพียงผู้นำสำนัก บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมดโค้งคำนับต่อไป๋ลี่ผู้ยืนอยู่บนโต๊ะ
“ท่านนักบุญเรียกพวกเรามาที่นี่เพื่อสิ่งใดหรือ?”
“พวกเรากำลังจะเปลี่ยนแผน” ไป๋ลี่กล่าวคำจริงจัง “หลังจากงานประลองของสมาพันธ์กระบี่จบสิ้นลง เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานก็พร้อมที่จะจัดการกับเทพโลหิตแห่งความตาย พวกเราต้องสังหารเทพโลหิตตนนี้เพื่อชดเชยความผิดบาปทั้งหมดที่เคยก่อ!”
“เร็วขนาดนั้นเลยรึ?”
ลูกศิษย์คนอื่น ๆ เริ่มกระวนกระวาย แม้ว่าจะเข้าร่วมกับไป๋ลี่และเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็เคยศรัทธาเทพโลหิตแห่งความตาย และเมื่อได้ยินว่าเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานกำลังจะสังหารเทพโลหิตแห่งความตายอย่างกะทันหันเช่นนี้… พวกเขาเตรียมใจไม่ทัน
“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
แน่นอน ยังมีผู้ศรัทธาบางคนไม่ได้ชื่นชอบในเทพโลหิตแห่งความตาย เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้น
“พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่า… เหตุใดจึงถูกส่งตัวมาที่ตู่โจวเพื่อทำลายแผนเผยแผ่ลัทธิของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน? เหตุใดเทพโลหิตแห่งความตายจึงเกลียดชังเขา? แล้วยังให้ผู้นำสำนักสังเวยโลหิตครั้งใหญ่ อีกทั้งทำไมยังมอบกระบี่เทพโลหิตเพื่อช่วยให้เขาได้รับชัยชนะ?”
ไป๋ลี่ถามกลับ
“พวกเราได้ยินมาว่า เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเกลียดชังเทพโลหิตแห่งความตาย… เพราะท่านเทพโลหิตแห่งความตายสร้างความขุ่นเคืองแก่เขา”
บรรดาลูกศิษย์กล่าวตอบอย่างเฉยเมย
“เป็นความจริง เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานสร้างความขุ่นเคืองให้กับเทพโลหิตแห่งความตาย แต่พวกเจ้าคงไม่ทราบว่าสร้างความขุ่นเคืองอย่างไรหรือ?”
ไป๋ลี่ส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวคำฉะฉาน
“ข้าจะเล่าให้ฟัง! เพราะอยู่ในที่เกิดเหตุ เวลานั้นข้าซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน และได้รับชมสถานการณ์ทั้งหมด เวลานั้นเทพอสูรโลหิตแห่งความตายนำกองทัพของเขาเข้าโจมตีอาณาเขตของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน แล้วเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเห็นว่าอสูรเหล่านี้กล้าหาญยิ่งนัก จึงนำเหล่าเซียนออกไปสู้รบในทันที ซึ่งเทพโลหิตแห่งความตายพ่ายแพ้ในคราวนั้น ไม่เพียงแต่กองทัพอสูรภายใต้อำนาจของเขาต้องถูกกวาดล้าง ยิ่งกว่านั้น ตัวมันเองยังถูกพระสนมของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานตัดแขน จากนั้น… เขาก็หนีกลับไปที่รังของตนเอง และซ่อนตัวอยู่ภายในนั้นด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าออกมาเผชิญหน้ากับเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน เป็นเพราะเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมจึงต้องยืมมือของพวกเจ้าที่เป็นผู้ศรัทธาเพื่อจัดการกับเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานแทน”
“เรื่องเป็นเช่นนั้นเอง!”
บรรดาผู้ศรัทธาถึงกับตื่นตระหนกเมื่อได้รับฟัง
“ปรากฏว่าเป็นเพราะเทพเจ้าที่พวกเราเคยศรัทธามาก่อนเป็นเทพลวงโลก!”
“ถูกต้อง! เทพเจ้าที่แท้จริงย่อมไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น”
ไป๋ลี่มองเหล่าผู้ศรัทธา
“ฟังข้า! สิ่งที่เจ้าต้องการแต่ไม่อาจได้รับเมื่อเข้าสู่สำนักเทพโลหิตแห่งความสุข พวกเจ้าก็ตระหนักได้แล้ว… ว่าเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานสามารถมอบให้ได้ทันทีใช่หรือไม่? ยิ่งกว่านั้น… ท่านยังไม่ต้องการให้พวกเจ้าสังเวยโลหิตอย่างโหดเหี้ยม ทุกสิ่งที่มอบให้ล้วนจริงใจ เช่นนั้นจึงไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น นี่คือสัญญาณว่าเทพเจ้าของพวกเรานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ? เอาล่ะ ละทิ้งความมืด แล้วเดินทางสู่แสงสว่างเถิดสหายทั้งหลาย!”
เหล่าผู้ศรัทธาที่อยู่ตรงนั้นต่างเห็นด้วย จากนั้นก็เริ่มสรรเสริญถึงความยิ่งใหญ่ของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานและเหล่าบริวาร
“แต่ว่านักบุญ…” บางคนยังสงสัย “แล้วผู้นำสำนักล่ะ? จริงหรือที่… เราไม่อาจดึงเขากลับมาได้?”
“หากเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น นั่นคือโชคชะตาของเขาแล้ว”
ไป๋ลี่กล่าวราวกับตนเองเป็นเทพเจ้า
“นอกจากนี้ ตามที่เราตกลงกันในตอนต้น… แม้ว่าพวกเจ้าจะเข้าร่วมกับเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน แต่พวกเจ้าก็ต้องหมั่นสร้างความดี สะสมคุณธรรมเพื่อชำระล้างบาปที่เคยได้ก่อไว้เมื่อครั้งอยู่ในสำนักเทพโลหิตแห่งความสุข อย่างน้อยมันก็ต้องใช้เวลากว่าร้อยปีในการสะสมบุญ… เอาล่ะ ข้าขอสัญญาในนามของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้น”
บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมดต่างพยักหน้า
“อย่างไรก็ตาม ผู้นำสำนักเทพโลหิตแห่งความสุขอยู่ในตำแหน่งมานานหลายปี และในชั่วชีวิตของเขากระทำเรื่องชั่วช้าไปมากเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ อีกอย่างเขาไม่ได้สำนึกผิดด้วยซ้ำ”
ไป๋ลี่กล่าวอย่างหมดหนทาง
“อย่างไรแล้วบาปย่อมถูกชดใช้ เพราะเขาไม่ยอมชำระหนี้ตอนที่ยังมีชีวิต เมื่อตายตก เขาจะต้องเข้าสู่แดนปรโลกเพื่อถูกตัดสินบาป จากนั้นจึงค่อยรับโทษ… ไม่ต้องกังวลไป ในยมโลกไม่มีโทษประหารชีวิต สหายที่ตายตกไป เมื่อไถ่บาปเสร็จสิ้นแล้ว เขาจะได้ไปเกิดใหม่แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ภายหลัง”
“แล้ววันพรุ่งนี้…”
“ทุกคนกลับไปพักผ่อนให้เพียงพอเถิด อยากจะหลับนอนถึงเที่ยงวันก็ไม่เป็นไร”
ไป๋ลี่กล่าวกับคนอื่น ๆ
“จะดีกว่าหากข้าเป็นคนจัดการกับผู้นำสำนัก ไม่ต้องกังวล เมื่อพวกเจ้าตื่นมา ทุกสิ่งก็จบสิ้นแล้ว”