ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 412 อย่าหยุด!
บทที่ 412 อย่าหยุด!
บทที่ 412 อย่าหยุด!
แขนของเขาถูกจับกุมเอาไว้จนผู้นำสำนักถึงกับสะดุ้ง จากนั้นกลับกลายเป็นโกรธจัด
“แม้แต่ในราชสำนักต้าเซียก็ยังมีปีศาจเช่นพวกเราไม่ใช่หรือ?!”
เขาระเบิดความโกรธออกมากลายเป็นคลื่นลมสีเลือด ทำให้สายเบ็ดของชายชราถึงกับสั่นไหว ผู้ชมทั้งหมดต่างเห็นสถานการณ์เลวร้ายจึงคิดถอยหนี
ยิ่งไปกว่านั้น องครักษ์จากราชสำนักก็หยุดยืนอยู่โดยรอบอีกครั้ง เหล็กมากมายนับไม่ถ้วนถูกขว้างเข้าหาผู้นำสำนักเพื่อจับกุม
ผู้นำสำนักทุบกล่องกระบี่ และทันทีที่กระบี่เทพโลหิตปรากฏออกมา มันได้สร้างความน่าสะพรึงด้วยการไล่สับฟันองครักษ์ที่อยู่โดยรอบ
“ท่านประมุข นี่มันไม่ถูกต้องแล้ว!”
ไป๋ลี่แสดงความซื่อสัตย์ด้วยการอยู่เคียงข้างเขาแล้วตะโกนบอก
“ข้าเพิ่งเห็นว่าท่านสังหารผู้คนไปมากกว่าครึ่ง แต่หลังจากนั้นรูปปั้นของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานก็สว่างวาบขึ้นมา แล้ว…”
“แล้วจากนั้นเกิดสิ่งใด?!”
ผู้นำสำนักถามโดยไม่คิดหันกลับมามอง เขายังคงสะบัดกระบี่เทพโลหิตเพื่อขับไล่สายเบ็ดที่น่ารำคาญของเตี้ยวโส่วออกไปให้พ้น
“จากนั้นเวลาจะย้อนกลับ!”
ไป๋ลี่ตะโกนออกมาคล้ายกับประหลาดใจ
“ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งการฟื้นคืนชีพของผู้ที่ตายตก การกลับมาขององครักษ์รักษาการณ์ ส่วนท่านก็กลับสู่ช่วงเวลาที่ยังไม่ชักกระบี่เทพโลหิต… ท่านไม่ตระหนักงั้นหรือว่าเวลาถูกย้อนกลับ!”
“อะไรกัน?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ลี่ จิตใจของผู้นำสำนักถึงกับสั่นสะท้าน
เวลาทั้งหมดถูกย้อนกลับงั้นหรือ… นี่คือสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการด้วยซ้ำ! แม้แต่เทพเจ้าที่แท้จริงที่เคยเชื่อมั่นว่าแข็งแกร่ง ผู้ที่เขาทุ่มเทความศรัทธา ทั้งอุทิศตนให้ ก็ยังไม่อาจทำสิ่งนี้ได้
บัดนี้ เทพเจ้าจอมปลอมนามว่า ‘เจ้าจอมชี้นำที่บังเอิญมีบารมีเหลือล้น เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน’ สามารถทำสิ่งนี้ได้ และตอนนี้เขาเองก็ยังยืนอยู่บนอาณาเขตของตนเองพร้อมกับกระบี่เล่มใหญ่
ผู้คนมากมายและศพกลาดเกลื่อน สามารถอธิบายทุกสิ่งในวันนี้ได้ชัดเจนแล้ว
ผู้นำสำนักถึงกับโศกเศร้า เขามองย้อนกลับไปในชีวิตของตนเอง… เขาต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน กล้าหาญไร้ผู้ใดเทียบ ทั้งยังทนทุกข์ทรมานจากความยากลำบาก ผ่านการถูกไล่ล่าราวกับสุนัขจนตรอก และครั้งหนึ่งเคยเรียกลมฝนได้ดั่งใจ แต่สุดท้ายก็ไม่คิดว่าตนเองจะโดนเด็กชายตัวเล็ก ๆ ข้างกายกล่าวแนะนำเช่นนี้
แต่สำหรับผู้ที่ศรัทธาเทพอสูรโลหิตแห่งความตาย เห็นได้ชัดว่าไม่อาจกลับใจโดยง่าย โดยเฉพาะผู้คลั่งไคล้เฉกเช่นประมุขผู้นี้ ยิ่งสิ้นหวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเค้นความปรารถนาที่ต้องการต่อสู้และฆ่าฟันได้มากเท่านั้น
ผู้นำสำนักร้องคำราม พลังแห่งความโกรธเกรี้ยวหลั่งไหลเข้าสู่กระบี่เทพโลหิตในมือ ตอนนี้กระบี่เทพโลหิตกลายเป็นผู้ชักนำ ลำแสงสีเลือดปรากฏขึ้นเชื่อมสวรรค์และโลกเข้าด้วยกัน ก่อนจะเปิดช่องเพื่อเชื่อมต่อกับมิติอื่น
บนถนนต่าง ๆ เปลวไฟโลกันตร์นับไม่ถ้วนพุ่งลงสู่พื้นดิน กลายเป็นจอมมารสูงใหญ่สวมเกราะชั้นเลิศหลายสิบตัว พวกมันมีอาวุธในมือครบครัน ในเวลาเดียวกัน… ลำแสงสีเลือดถูกอัดฉีดเข้าสู่ร่างกายของผู้นำสำนัก ทำให้เขากลายเป็นอสูรที่สูงส่งกว่าอสูรตนอื่น ๆ
และยังมีโลหิตอีกส่วนที่พยายามจะเจาะเข้าสู่ร่างกายของไป๋ลี่ แต่เมื่อมันเข้าใกล้เขา… ก็จะถูกแขนจำแลงที่ยื่นออกมาจากด้านหลังโยนออกไปอีกมิติหนึ่ง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ทุกคนไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้… เทพอสูรโลหิตแห่งความตายที่กำลังเฝ้ามองสนามรบนี้ก็เช่นกัน
“ในนามของเทพอสูรโลหิตแห่งความตาย!”
ผู้นำลัทธิคลั่งกลายเป็นอสูรยักษ์ผู้ถือกระบี่เทพโลหิตในมือ เขาคำรามขณะชี้ไปยังปรมาจารย์อันดับหนึ่งของโลกที่อยู่บนที่นั่งคนดู
“ฆ่าพวกนอกรีตให้หมดสิ้น!”
“โฮก!!”
เสียงคำรามดังขึ้น อสูรโลหิตทั้งหมดก็พุ่งเข้าหาฝูงชนอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งเหล่าชนชั้นสูงบนที่นั่งคนดู และเหล่าผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกที่เข้าร่วมการแข่งขันของสมาพันธ์กระบี่ก็พุ่งทะยานออกมาต่อสู้ร่วมกัน
ในเวลาเดียวกัน ซือเฉินที่อยู่ถัดจากเตี้ยวโส่วก็หยิบหลอดไม้ออกมายัดตะกั่ว แล้วยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า… ณ เชิงเขาหยวนชิงพลันมีเสียงตะโกนดังขึ้น ทหารแห่งอาณาจักรต้าเซียจำนวนนับไม่ถ้วนร้องโห่กันอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาวิ่งขึ้นมาด้านบนเป็นวงล้อมเพื่อล้อมอสูรยักษ์ตัวใหญ่ไว้ได้
ทั้งผู้คนทั้งทหารม้าต่างตะลุมบอน อสูรยักษ์สูงหลายจั้งก้าวต่อไปด้านหน้า พวกมันพุ่งปะทะฝูงชนและฝูงทหารม้าอย่างไม่เกรงกลัว จนฝูงชนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศทางจากการกวัดแกว่งอาวุธในมือของเหล่าอสูรยักษ์
อย่างไรก็ตาม ทหารของอาณาจักรต้าเซียถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทั้งยังได้ฝึกฝนพิเศษเพื่อต่อสู้กับเหล่าอสูรยักษ์ ทั้งยังมีผู้คนที่เป็นปรมาจารย์มีชื่อเสียงเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย ดังนั้นหลังจากอสูรยักษ์เหล่านี้พุ่งเข้าใส่ฝูงชน ก็กลับกลายเป็นว่ามันติดหล่มขนาดใหญ่จนลึกลงใต้พื้นดิน สุดท้ายก็ยังต้องแบกรับความเสียหายจากทุกทิศทาง
หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดด้วยการเผชิญหน้ากับอสูรยักษ์ที่ได้รับพลังจากเทพอสูรโลหิตแห่งความตาย ตอนนี้สถานการณ์ของอาณาจักรต้าเซียก็ยังนับว่ายากลำบากไม่น้อย
“อสูรยักษ์เหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป…”
แม่ทัพบางคนกล่าวรายงานเตี้ยวโส่วขณะต่อสู้
“มหาราชครู เหล่าอสูรพวกนี้ได้รับการเสริมกำลังอย่างต่อเนื่อง! คนของพวกเราไม่เพียงพอ!”
“ข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน”
ชายชราเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะสะบัดเบ็ดตกปลาเพื่อต่อสู้กับจอมมารยักษ์ที่เป็นผู้นำ ทว่าตอนนี้ร่างกายของเขาเกิดรอยแผลไม่น้อย
ตอนที่ผิวกายเริ่มรู้สึกเจ็บปวด เขาได้ยินว่าสหายเก่าหลายคนในหมู่บ้านชิงสือบุกทะลวงผ่านระดับสิบของขั้นกลั่นลมปราณแล้ว จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นเทพเจ้าแห่งแผ่นดินที่แท้จริง สุดท้ายพวกเขาจะเข้าสู่แดนเซียนต่อไป
เมื่อเข้าสู่ขั้นนั้นแล้วจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ หากต้องเผชิญหน้ากับจอมมารตนนี้อีกครั้ง
“มหาราชครู ช่วยข้าด้วย!”
ในเวลานี้ กลุ่มนายน้อยที่กำลังอพยพฝูงชนก็ชักกระบี่ออกพร้อมกับร้องตะโกน
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? กลับไปซะ!” ชายชราเบิกตากว้างพร้อมตะโกน “เจ้าคือความหวังของอาณาจักรต้าเซีย ไม่อาจตายตกที่นี่! นอกจากนี้จอมมารสามารถเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ในขั้นเทพเจ้าแห่งแผ่นดินอันดับต้น ๆ ของโลก แล้วพวกตัวจ้อยเช่นเจ้าจะมาหาความสนุกสนานแถวนี้ได้อย่างไร!”
“ไม่เป็นไร! เรามีท่าไม้ตาย!”
จินเฟิ่งหลาย ชายถือดาบเป็นผู้นำกลุ่ม เขาเหลือบมองนักรบคนอื่น ๆ ก่อนจะหันหลังกลับ และโค้งคำนับต่อรูปปั้นของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน
“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน โปรดมอบพลังแก่ข้าด้วย!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทหารแห่งอาณาจักรต้าเซียก็คิดดุด่าเขา ทว่าดวงตากลับต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งตรงหน้า
เป็นเพราะพวกเขามาถึงสถานที่แห่งนี้ช้าเกินไป ดังนั้นจึงไม่เห็นภาพที่เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานสำแดงฤทธิ์ก่อนหน้านี้ และเมื่อชายผู้นั้นกล่าวบูชา รูปหล่อดินดั้งเดิมของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานก็ค่อย ๆ เคลื่อนไหวยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า เหยียดนิ้วชี้ออก ก่อนจะเคลื่อนเข้าหาจินเฟิ่งหลายและคนอื่น ๆ นักรบหนุ่มสาวเหล่านั้นที่อยู่ในขั้นที่เจ็ดหรือแปดของขั้นกลั่นลมปราณพลันลืมตาขึ้น
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังในร่างกายเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ตอนนี้มีเทพเจ้าแห่งแผ่นดินวัยหนุ่มสาวนับสิบถือกำเนิดขึ้นแล้ว!
“พวกเราจะช่วยพวกท่าน!”
หลังจากที่พวกเขาทะลวงผ่านสภาวะตีบตันมาได้ เหล่านักรบหนุ่มสาวเหล่านี้ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขากระโดดไปมาอย่างคล่องแคล่ว และใช้ฐานการฝึกฝนที่ทรงพลังเพื่อสังหารอสูรตรงหน้า
เมื่อกำลังเสริมของกองกำลังใหม่มาถึง สถานการณ์ที่เคยเสียเปรียบก็พลิกผันทันที อาณาจักรต้าเซียกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง แม้ว่าอสูรยักษ์พวกนั้นจะบ้าคลั่ง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถูกผู้ฝึกตนในเจียงหูล้มคว่ำทีละตัว… แผ่นดินสั่นสะท้านเกิดเสียงดังจากการต่อสู้อันดุเดือดนี้
ท้ายที่สุด เทพอสูรที่จุติลงมาโดยผู้นำสำนักหลายคนถูกผู้ฝึกตนขั้นเทพเจ้าแห่งแผ่นดินปิดล้อม และสุดท้ายก็ตายตกไป
เขายกนิ้วขึ้นก่อนจะคำรามขึ้นท้องฟ้า
“อย่าหยุดลงมา!”
ไม่มีใครทราบว่าเขาพูดกับใคร แต่ครู่ต่อมา เทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ก็สูญเสียพลังทั้งหมดที่มี นิ้วหนึ่งยังคงชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า และเข่าทั้งสองข้างก็ทรุดลงกับพื้น
กระบี่เทพโลหิตและเทพอสูรทั้งหมดล้มลงกับพื้น จากนั้นลำแสงที่ถูกปลดปล่อยออกจากรูปปั้นของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานก็พลันเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย