ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 420 หมีดำกับบุตรสาวที่ยังไม่ได้ฝึกฝน
บทที่ 420 หมีดำกับบุตรสาวที่ยังไม่ได้ฝึกฝน
บทที่ 420 หมีดำกับบุตรสาวที่ยังไม่ได้ฝึกฝน
ไม่กี่ปีต่อมา… ภายในป่าท้อในหยุนโจว
ชายหนุ่มผมขาวกำลังเดินอยู่ในกลุ่ม บนไหล่มีเด็กหญิงตัวน้อยผมสีดำที่ดูคล้ายกับตุ๊กตากำลังฮัมเพลงอย่างมีความสุข
เขากล่าวขึ้นเมื่อได้ฟังนางฮัมเพลง
“ซวี่เซียง ผู้ใดสอนเพลงนี้ให้กับเจ้าหรือ?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น เด็กหญิงตัวน้อยบนบ่าก็กล่าวตอบอย่างร่าเริง
“ท่านพ่อ มารดารองเป็นผู้สอนข้า!”
“อ้อ… เป็นเซียงเสวี่ย”
ชายหนุ่มผมขาวครุ่นคิด
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าเนื้อเพลงที่กล่าวออกมาหมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่รู้”
สาวน้อยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่
“เพลงนี้เป็นการอุปมาความบริสุทธิ์ของหัวใจสตรี ที่ดูสง่างามราวกับดอกหลันฮวา”
ชายหนุ่มผมขาวบอกกล่าวกับนาง
“เจ้าเกิดในเดือนเมษายนที่ดอกหลันฮวาบาน ชื่อที่มารดาของเจ้าตั้งจึงมาจากบทกวีสรรเสริญความงามของหลันฮวาด้วย ดังนั้นเจ้าจงเติบโตเป็นดอกดอกหลันฮวาที่งดงามในอนาคต เชื่อฟัง และอย่าเป็นสาวน้อยที่ประทินโฉมหนาดังปูนฉาบ ห้ามติดตามเวลาที่มารดาหลับนอนกับพ่อ แล้วอย่าผนึกท่านลุงจื้อเซียนไว้ในคันฉ่อง ได้หรือไม่?”
ไป๋ชิวหราน ชายหนุ่มผมขาวที่กลายเป็นคุณพ่อมือใหม่กล่าวกับลูกสาวด้วยความหดหู่
จื้อเซียนเคยไปที่โลกนั้นมาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าจื้อเซียนไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ในโลกวัตถุเลย ดังนั้นเมื่อเขาอยู่ในโลกใบนั้น ไป๋ชิวหรานจึงแขวนเขาไว้บนร่างของอาจารย์อสูรเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน กะโหลกนี้อยู่ในเขตแดนจิตสำนึกมานานหลายปี เขามุ่งเน้นที่จะสังเกตและศึกษาความคิดของอสูร จนกระทั่งไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ออกจากโลกวัตถุและกลับมาสู่โลกใบนี้
ตอนนี้จื้อเซียนพักผ่อนอยู่ในบ้านของไป๋ชิวหราน และเป็นเพียงกะโหลกธรรมดา แต่ในบางครั้งหากมีสิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้นในสำนักเหอฮวนหรือสำนักอื่น ๆ มันก็จะบินออกไปรับชม
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มันรอว่าเมื่อใดไป๋ชิวหรานจะโจมตีปราการแห่งความตระหนักรู้ที่อยู่เบื้องหน้าของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ และเมื่อถึงเวลานั้นก็จะได้ติดตามไปด้วยเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ยังไม่ทราบเกี่ยวกับวิถีสวรรค์
แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เจียงหลานเพิ่งคลอดบุตร ไป๋ชิวหรานไม่อาจละทิ้งภรรยาและบุตรสาวเพื่อตรงไปยังกำแพงแห่งความตระหนักรู้ได้ แม้ว่าเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานจะสามารถเอาชนะเทพอสูรโลหิตแห่งความตายได้ และได้รับความศรัทธาจากโลกใบนั้น แต่ช่องว่างความแข็งแกร่งของมันก็ยังห่างไกลจากเทพอสูรที่ตั้งมั่นอยู่ด้านหลังกำแพงแห่งความตระหนักรู้มานานหลายปี ไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่าเป็นความห่างไกลราวกับสวรรค์และพื้นดิน
ดังนั้นจื้อเซียนจึงทำได้เพียงอดทนรอ โชคดีที่ในปัจจุบันนี้มันกำลังป่วน ไม่เช่นนั้นมันจะไม่ยอมทนอยู่ภายในถ้ำอย่างนิ่งเฉย
อย่างไรก็ตาม แม้จื้อเซียนจะพยายามมากเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถอดทนกับสมาชิกใหม่ของไป๋ชิวหรานได้ ตั้งแต่คลอดออกมานั้นไป๋ซวี่เซียงก็ซุกซนนัก จนจวบปัจจุบันนางก็ยังคงไม่หยุดยั้ง
มันไม่เคยมีปัญหา จนกระทั่งเมื่อนางเล่นซ่อนหากับมารดาและพี่สาวสองสามคนที่บ้าน นางซ่อนตัวอยู่ในมุมที่พวกเขามองไม่เห็น แต่เมื่อนางเติบโตขึ้น ความสามารถของไป๋ซวี่เซียงยิ่งแข็งแกร่งตามไปด้วย นางเรียนรู้ที่จะหลบซ่อนสิ่งของ และปิดผนึกสิ่งที่นางโปรดปรานเอาไว้ในคันฉ่อง หรือแม้แต่ภาพต่าง ๆ เพื่อซุกซ่อนมัน
จื้อเซียนผู้เคยเป็นเครื่องประดับรอบเอวชายหนุ่มจึงประสบภัยพิบัติ เมื่อเร็ว ๆ นี้ต้องทุกข์ทนด้วยการถูกเหวี่ยงไปรอบ ๆ บรรพบุรุษตัวน้อยผู้นี้ และที่สำคัญคือมันไม่สามารถเอาชนะไป๋ซวี่เซียงผู้นี้ได้
แต่เจียงหลานรู้สึกว่าความซุกซนของไป๋ซวี่เซียงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีชีวิตชีวา ความร่าเริง และสุขภาพจิตที่ดี ซูเซียงเสวี่ย หลีจิ่นเหยา และถังรั่วเวยก็เอาอกเอาใจเด็กน้อยผู้นี้มาก ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงทำได้เพียงอดกลั้น และดูแลตนเองเท่านั้น
“อ้อ… เข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ชิวหราน ไป๋ซวี่เซียงก็กล่าวตอบอย่างไม่แยแส ก่อนจะหายตัวไปจากบ่าของไป๋ชิวหราน
ครู่ต่อมา… นางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่เดิม และยื่นมือที่จับกุมบางสิ่งมาให้เขารับชม
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ดูแมลงนี่สิ!”
ไป๋ชิวหรานมองอย่างพิจารณา ตอนนี้ไป๋ซวี่เซียงถือตะขาบตัวใหญ่ไว้ในมือน้อย ๆ มือเท้านับไม่ถ้วนกำลังเต้นระบำท่ามกลางอากาศ กรงเล็บที่น่าหวาดกลัวเปิดเผยสู่สายตา เห็นครั้งเดียวก็ทราบได้ถึงพิษร้ายแรงของมัน แต่พิษที่น่ากลัวนี้ไม่อาจทำอะไรร่างกายของไป๋ซวี่เซียงที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ เช่นนั้นตะขาบใหญ่จึงทำได้เพียงดิ้นรนและยอมสยบให้กับไป๋ซวี่เซียงอย่างช่วยไม่ได้
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากมุมมองด้านพันธุกรรมนั้นไป๋ซวี่เซียงได้สืบทอดทุกสิ่งอย่างจากเจียงหลานผู้เป็นมารดา แต่เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเจียงหลานผอมกะหร่องหรือไม่เมื่อครั้งยังเยาว์
ไป๋ชิวหรานคาดหวังว่าเมื่อเด็กน้อยผู้นี้เติบโตขึ้น นางจะเป็นคนมีคุณธรรมและไหวพริบที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับมารดาของนาง เพื่อที่บิดาผู้นี้จะได้ทุกข์ทรมานน้อยลง
บิดาและบุตรสาวเดินออกจากป่าท้อพร้อมกับมุ่งสู่ถนนตรงหน้า ไป๋ชิวหรานเงยหน้ามองท้องฟ้าก่อนจะกล่าวขึ้น
“ได้เวลากลับบ้านแล้ว ตอนนี้แม่ทูนหัวหลีน่าจะทำอาหารเย็นเสร็จสิ้น”
“โอ้!”
ไป๋ซวี่เซียงพยักหน้า ก่อนจะมองซ้ายและขวา ทันใดนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า
“ท่านพ่อ เหมือนว่าคนตรงนั้นจะพบเจอปัญหา”
“หืม?”
สัมผัสเทวะของไป๋ชิวหรานพุ่งไปยังทิศทางที่บุตรสาวชี้ และพบว่าบนถนนลูกรังที่ห่างไกลออกไป มีบิดาและบุตรชายกำลังถูกหมีดำตัวใหญ่ที่เป็นสัตว์ประหลาดโจมตีที่กลางถนน พวกเขาทั้งสองไม่กล้าเคลื่อนไหว
หลังจากผ่านพ้นภัยพิบัติจากเผ่าปีศาจในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ประชากรก็ลดหายไปอย่างรวดเร็ว หลายเมืองหรือแคว้นเล็ก ๆ ก็ถูกเผ่าปีศาจสังหารจนสิ้น ดังนั้นจำนวนสัตว์ป่าในภูเขาจึงเพิ่มมากขึ้น และพวกมันค่อย ๆ วิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์ประหลาดในที่สุด
หมีดำผู้หิวโหยมีน้ำลายหยาดเยิ้มที่ปาก สาเหตุที่มันยังไม่กินบิดาและบุตรชายตรงหน้าก็เพราะผู้เป็นบิดากำลังถือขวานคมปลาบไว้ด้วยความหวาดหวั่น
สัตว์ร้ายตนนี้มีความฉลาดอย่างมาก มันเข้าใจว่าคนตรงหน้าไม่ได้น่าหวาดกลัว แต่บิดายังยืนปกป้องบุตรชายแม้ว่าจะกำลังหวาดกลัว ซึ่งหากถูกต้อนให้จนมุม บิดาผู้นั้นอาจระเบิดพลังที่น่ากลัวออกมาได้
สิ่งที่หมีดำต้องการคือท้องอิ่ม แต่มันไม่ได้ต้องการบอบช้ำจากความหิว มันเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีสติปัญญา และสัตว์อื่น ๆ มากมายที่อยู่ในสงครามช่วงนั้นก็มีสติปัญญาขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หมีดำเดินไปรอบ ๆ บิดาและบุตรชาย มันเพียงอดทนรอไม่พุ่งเข้าไปโจมตี ตอนนี้มันใช้กำลังกาย ความอดทน และความระมัดระวังมุ่งเป้าไปที่บิดาและบุตรชายตรงหน้า
“ไปช่วยพวกเขา”
ไป๋ชิวหรานจับบุตรสาวไว้แน่น ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของหมีดำทันที
พึ่บ!
ไป๋ชิวหรานหยุดลงบนพื้นโดยไม่ได้ปิดกั้นเสียงของตนเอง ส่งผลให้หมีดำตื่นตระหนกกับเสียงที่ดังจากด้านหลัง มันหันศีรษะกลับมาเห็นสองพ่อลูกไร้ซึ่งอาวุธตรงหน้า มันจึงอ้าปากคำรามลั่นพร้อมทะยานใส่ทั้งสองทันที
“นี่!”
เมื่อหมีดำวิ่งเข้ามา เด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่บนบ่าของชายผมขาวก็ชี้ไปที่มัน ก่อนจะเผยให้เห็นอสูรที่อยู่ด้านหลังของนาง มันมาพร้อมกับเสื้อคลุมใหญ่และแขนยาวราวกับตุ๊กตาน่ารักน่าชัง ตุ๊กตาตัวนั้นเหยียดแขนออกกว้าง
หมีดำตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง! ก่อนจะถูกฝ่ามือซัดลงมาจนแบนราบ