ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 421 อ๊ะ บุตรสาวจะแซงข้าไปแล้ว
บทที่ 421 อ๊ะ บุตรสาวจะแซงข้าไปแล้ว
บทที่ 421 อ๊ะ บุตรสาวจะแซงข้าไปแล้ว
ตุ๊กตาในอาภรณ์ดุจดังราชวงศ์นี้เป็นอาจารย์อสูรของไป๋ซวี่เซียงที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมนาง
มันดูน่ารักน่าชัง แต่มีพลังเช่นเดียวกับร่างกายของเด็กหญิง ความสามารถของอาจารย์อสูรของไป๋ซวี่เซียงนั้นรุนแรงยิ่ง หมีตัวนี้ไม่ได้ถูกบีบแบนจนกลายเป็นแอ่งโลหิตหรือเศษเนื้อ แต่มันกลับกลายเป็นแบนราบเหมือนแป้งเกี๊ยว
ไป๋ซวี่เซียงหยิบกระดาษสีขาวม้วนหนึ่งออกจากถุงเก็บของที่เอว และตุ๊กตาราชวงศ์ก็หยิบเอาหมีแบนราบขึ้นมาวางด้านบน จากนั้นภาพวาดหมีดำลายเส้นงดงามก็ปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้น
ดูเหมือนว่าอาจารย์อสูรของไป๋ซวี่เซียงจะมีทักษะในการสกัดห้ามปราม แต่ด้วยพลังของไป๋ซวี่เซียงแล้ว อาจารย์อสูรจึงสามารถผนึกวัตถุที่ต้องการไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ได้ด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นในม้วนภาพ คันฉ่อง หรือไม่แม้แต่ช่องว่างระหว่างพื้นกับประตู ก็ยังสามารถสร้างมิติในนั้นและปิดผนึกบางสิ่งลงไปได้
แน่นอนว่าพลังอันทรงคุณประโยชน์นี้ก็ย่อมมีขีดจำกัดเช่นกัน ปัจจุบันไป๋ซวี่เซียงสามารถผนึกผู้ฝึกตนที่อยู่ภายใต้ขั้นผสานร่างเท่านั้น ยังไม่อาจทะลวงผ่านไปขั้นเหนือกว่านั้นได้ เช่นนี้มิติที่ถูกสร้างขึ้นจึงยังเปราะบาง ดังนั้นแม้ว่าจะมีผู้ฝึกตนที่มีระดับฝึกฝนสูงกว่าขั้นผสานร่างถูกผนึก ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะสามารถฝ่าฟันออกมาได้ด้วยกำลังของตน
“พวกเจ้าสบายดีหรือไม่?”
เมื่อเห็นไป๋ซวี่เซียงนำม้วนภาพเก็บเข้าที่อย่างมีความสุขหลังจากปิดผนึกหมีดำเสร็จสิ้น ไป๋ชิวหรานก็มองดูบิดาและบุตรชายที่กำลังหวาดกลัว ก่อนจะกล่าวถามอย่างอ่อนโยน
“พวกข้าไม่เป็นไรแล้วขอรับ”
ผู้เป็นบิดาถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มองไป๋ชิวหรานกับไป๋ซวี่เซียงอย่างนึกขอบคุณ
“ขอบคุณเซียนทั้งสองที่ช่วยเหลือพวกข้า”
“เป็นบุตรสาวของข้าเอง ไม่ใช่เซียน… ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าควรรีบกลับบ้านโดยเร็ว”
ไป๋ชิวหรานโบกมือให้กับพวกเขา
“หลังจากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินพบเจอกับภัยพิบัติ ทุกสิ่งยังไม่สงบลงโดยสมบูรณ์ ยังมีภูตผีปีศาจมากมาย หากคิดเดินทางพวกเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก”
“ขอรับ”
หลังจากกล่าวคำลากับบุตรชายและบิดา ไป๋ชิวหรานก็กลับสู่สำนักเหอฮวนพร้อมกับธิดา
ครั้นมาถึงที่ประตูก็ได้พบกับซูเซียงเสวี่ยที่เพิ่งกลับมา ไป๋ซวี่เซียงรีบวิ่งไปอวดผลงานด้วยความร่าเริง
“ดูสิ! ท่านมารดาสอง วันนี้ข้าจับหมีดำได้!”
“ซวี่เซียงเก่งจริงหนอ!” ซูเซียงเสวี่ยย่อตัวลง ก่อนจะลูบศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ไหนข้าขอดูหน่อย… โอ้ เจ้าเก่งกาจขึ้นไม่น้อย”
“สิ่งนี้กินได้หรือไม่?”
ไป๋ซวี่เซียงเขย่าม้วนตำราขณะถามพร้อมกับกัดนิ้วตนเอง
“แน่นอน! เอามันไปมอบให้มารดาหลี แล้วนางจะจัดการมัน”
ซูเซียงเสวี่ยลูบหลังของไป๋ซวี่เซียงอย่าแผ่วเบา ร่างน้อย ๆ ทรุดตัวลงจมหายไปในพื้น กลายเป็นเงาบางเบาแล้วพุ่งเข้าไปในลานบ้าน
ซูเซียงเสวี่ยมองดูเด็กหญิงตัวน้อยเข้าไปด้านในด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก จากนั้นจึงเดินไปหาไป๋ชิวหรานพร้อมกล่าวว่า
“ท่านคิดจะส่งซวี่เซียงไปเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือไม่?”
“ดูจากความเร็วของนางแล้ว ตอนนี้ข้าแอบหวาดกลัวเล็กน้อย” ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ “ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้ได้หรือไม่”
ไป๋ซวี่เซียงอายุห้าขวบแล้ว และแม้กระทั่งในหมู่บุตรหลานของผู้ฝึกตน เกือบถึงเวลาแล้วที่นางจะต้องได้พบกับอาจารย์ที่เหมาะสม จากนั้นจึงฝึกฝนและเรียนรู้
ไป๋ชิวหรานและเหล่ามารดาของเด็กหญิงกำลังคิดว่าไป๋ซวี่เซียงจะไปศึกษาที่ใดได้บ้าง
สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดดูเหมือนจะเป็นแดนเซียนกลาง ซึ่งมีเหล่าเซียนที่ดีที่สุดในแดนเซียนและโลกรวมตัวกันอยู่ ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยพรสวรรค์เหลือคณานับ และในหอสมุดของแดนเซียนกลางก็ยังมีตำราจากทั่วทุกมุมโลก มันไม่ง่ายเลยที่จะหาวิธีฝึกฝนที่เหมาะสมกับไป๋ซวี่เซียง
ทว่าปัญหาเดียวก็คือความสัมพันธ์ของไป๋ชิวหรานและสถานะของไป๋ซวี่เซียงนั้นสูงส่งเกินไป อีกทั้งคนที่ดูแลแดนเซียนกลางไม่ว่าจะเป็นเล่อเจิ้นเทียน หรือโม่เฉินต่างก็ให้ความสำคัญกับการเคารพต่ออาวุโส
ไป๋ซวี่เซียงนั้นซุกซน และเมื่อนางไปถึงที่นั่น ต่อให้เป็นจักรพรรดิเซียนกลางหรือจักรพรรดิเซียนหงเฉินก็ไม่อาจยับยั้งนางได้อีกทั้งยังจะถูกนางปั่นหัวเอาด้วย
เช่นเดียวกันกับสำนักกระบี่ชิงหมิง เจวี๋ยอวิ๋นจื่อดูคล้ายจะไม่จริงจังนัก ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักไม่มีผู้ใดหวาดกลัวไป๋ชิวหราน แต่อย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจรับมือกับไป๋ซวี่เซียงได้
และสำนักอสูรสวรรค์ของหลีจิ่นเหยาก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ผู้นำสำนักอสูรสวรรค์ภาคภูมิใจมาตลอดหลายทศวรรษ เวลานี้ถูกเรียกขานว่า ‘ถูกศิษย์ล้มล้างและรังแก’ หากไป๋ชิวหรานปล่อยให้บุตรสาวไปที่อยู่นั่น เขากังวลจริง ๆ ว่าจี้หลิงอวิ๋นกับหวงฝู่เฟิงจะไม่อาจเอาชีวิตรอดได้
ส่วนในสำนักเหอฮวนของมารดาที่สองของนาง ซูเซียงเสวี่ยสามารถรับมือกับนางได้ แต่เหล่าอาวุโสรวมทั้งซูเซียงเสวี่ยล้วนมีความอ่อนโยนของความเป็นแม่ เขาจึงไม่ต้องการให้ไป๋ซวี่เซียงเรียนรู้ในสำนักเหอฮวน
อีกไม่นานไป๋ชิวหรานและพวกพ้องของเขาจะละทิ้งโลกใบนี้และเข้าสู่อีกฟากฝั่งของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ ในเวลานั้นภายในสำนักเหอฮวนจะเหลือเพียงโหยวเหมยเฉียวซึ่งไม่อาจรับมือไป๋ซวี่เซียงได้อย่างแน่นอน
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ไป๋ชิวหรานจึงนึกถึงใครบางคนที่อาวุโสยิ่งกว่าเขาและสามารถดูแลไป๋ซวี่เซียงได้ชั่วคราว ดังนั้นเขาจึงมุ่งไปหาที่ปรึกษาของตนเองที่สำนักกระบี่ชิงหมิง
สำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิเต๋าอย่างเป็นทางการ เล่อเจิ้นเทียนจัดตำแหน่งสำหรับพวกเขาทั้งสองในแดนเซียนกลาง และให้พวกเขาอาศัยอยู่ในแดนสวรรค์ห่าวถิงเซียวร่วมกับเทพีซีเหอ และยังมีอีกาสามขาผู้สันโดษช่วยกวดขัน
นอกจากนี้ยังหมายความว่ามีทั้งผู้อาวุโสของไป๋ชิวหรานและเจียงหลานอยู่ที่นั่น หากไป๋ซวี่เซียงซุกซนมากเกินไป หลิวอวิ๋นและเทพีซีเหอก็จะสามารถรับมือกับเด็กน้อยผู้นี้ได้โดยไม่มีผู้โต้แย้ง
นอกจากนี้ เทพีซีเหอและเทพีอีกาสามขายังเป็นเทพเจ้าระดับสูง ส่วนชาวสำนักกระบี่ชิงหมิงและผู้อาวุโสหลิวเป็นเซียนที่ใกล้เคียงระดับจักรพรรดิเซียนแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่มีปัญหาในการคุมพฤติกรรมไป๋ซวี่เซียงสักระยะหนึ่ง
“แต่หากเด็กหญิงตัวน้อยรู้ว่าพวกเรากำลังจะส่งนางไปศึกษา นางย่อมร้องไห้ไม่ยอม”
ไป๋ชิวหรานกล่าวขณะเดินอยู่ในสนาม
“ไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรก็ต้องออกไปอยู่ดี”
ซูเซียงเสวี่ยยิ้มพร้อมกล่าวว่า
“และเมื่อนางเติบโตขึ้น ในอนาคตนางย่อมไม่ตำหนิพวกเรา”
“โตขึ้น…”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกหดหู่
“ก่อนหน้านั้นย่อมมีช่วงที่นางดื้อรั้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่านางจะเกลียดข้าที่เป็นบิดาหรือไม่?”
ซูเซียงเสวี่ยเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมลูบหลังอีกฝ่าย
ทั้งสองเดินเข้าไปในครัว และเวลานี้หลีจิ่นเหยาจัดการกับหมีดำเสร็จสิ้นแล้ว แม่นางน้อยม้วนแขนเสื้อและลับมีดสองเล่มด้วยเขี้ยวมังกร ท่าทางของนางไม่ต่างอะไรจากแม่ครัวห้องเครื่องหลวง
นางตัดอุ้งเท้าหมีดำทั้งสี่ข้างออก ก่อนจะหั่นเป็นชิ้นเพื่อเตรียมเคี่ยวในน้ำแกง
เจียงหลานอุ้มบุตรสาวเอาไว้และยืนดูอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่ไป๋ซวี่เซียงจับจ้องโถซุปที่แม่นางน้อยตั้งไว้บนเตา แววตาของนางเป็นประกาย มีหยดน้ำลายไหลออกจากมุมปากเล็ก ๆ
“เจ้านักชิมตัวน้อย”
ไป๋ชิวหรานเดินเข้าไปพร้อมกับช่วยนางทำความสะอาดมุมปาก ก่อนจะหยิกแก้มอวบเบา ๆ
“นางได้นิสัยนี้จากผู้ใดกันนะ?”
“ข้ากลับมาแล้ว!”
ทุกคนเข้ามารวมตัวกันในครัวเพื่อดูหลีจิ่นเหยาแสดงฝีมือการทำอาหาร เวลานี้เสียงของถังรั่วเวยก็ดังขึ้นจากด้านนอก
สตรีผู้นี้ไม่มีอะไรทำ นางจึงวิ่งไปที่สำนักกระบี่ชิงหมิงและรัฐซ่างเสวียน มีข่าวลือเล่าต่อว่าหลานสาวของนางลังเลที่จะมีสามีเพื่อสืบทอดสายเลือด แต่สุดท้ายสตรีผู้นี้ก็ต้องกลับมาหาไป๋ชิวหราน
ไป๋ชิวหรานรับเลือดของหลานสาวและ ‘สนม’ ของอีกฝ่าย ก่อนจะใช้วิชาหลอมสร้างกายเพื่อสร้างทารกด้วยโลหิตของราชสำนักซ่างเสวี่ยน จากนั้นก็โยนให้หลานสาวของนางเพื่อไปเลี้ยงดูเป็นทายาทสืบทอด
“โอ้! ซวี่เซียงก็อยู่ที่นี่หรือ!”
ถังรั่วเวยเดินเข้ามาเห็นไป๋ซวี่เซียง นางวิ่งเข้าหาเด็กน้อยพร้อมกับกอดร่างเล็กที่อยู่บนอ้อมแขนของเจียงหลาน
“มาให้พี่หญิงกอดสักหน่อยเถิด!”
“ไม่!”
จู่ ๆ ไป๋ซวี่เซียงก็ขัดขืนด้วยความโกรธเคือง นางผลักหน้าอกของถังรั่วเวยและหดร่างกายเป็นเงากลับสู่อ้อมแขนของเจียงหลานอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย!”
ใบหน้าของถังรั่วเวยแดงก่ำ แต่นางไม่อาจทำใจโกรธเด็กน้อยได้ สุดท้ายก็ยอมละทิ้งความพยายาม
เป็นเช่นนี้ทุกครั้งเพราะทักษะการหลอมร่างกายของนางยังไม่สำเร็จ และการที่นางกอดเด็กตัวเล็ก ๆ จึงทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดยิ่งนัก ร่างกายของไป๋ซวี่เซียงไม่อาจต้านทานแผ่นเหล็กที่หน้าอกของถังรั่วเวยได้เลย
“เจ้าควรฝึกฝนให้ถึงขั้นที่ห้าสิบก่อนจะกอดนาง” เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานก็ส่งรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา “ไม่เช่นนั้นคงจะน่าอับอายนักที่ถูกซวี่เซียงปฏิเสธทุกครั้งไป”
“หึ!”
ถังรั่วเวยเหลือบมองไป๋ซวี่เซียงแล้วเผยรอยยิ้มดูถูกให้กับไป๋ชิวหราน
“ข้าน่ะหรือ? ข้าไม่ทราบว่าบุคคลตรงหน้านี้จะเป็นอย่างไรเมื่อได้รู้ว่าเขากำลังจะโดนบุตรสาวที่ไม่เคยฝึกฝนอย่างเป็นระเบียบแซงหน้าไป… น่าอับอายแทนจริง ๆ”